หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1554 เทพจอมยุทธ์คนที่สาม

บทที่ 1554 เทพจอมยุทธ์คนที่สาม

เสียงดังก้องพร้อมกับพลังลึกลับสะท้อนไปทั่วทุกมุมมหาพันภพ

ในเวลาเดียวกันทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานสูงตระหง่านด้วยความตกใจ

กระดานนี้ทั้งลึกลับและโบราณนำพาแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับน้ำหนักของโลก

ที่ทวีปหลิงหมัวจอมยุทธ์ทุกคนก็ตัวสั่น พวกเขารู้ว่าทำเนียบเหนือภพเป็นตัวแทนของอะไร

นั่นหมายความว่านอกเหนือจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแล้ว มหาพันภพจะมีเทพจอมยุทธ์ทำเนียบเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง

นี่เป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพ

หลินต้งและเซียวเหยียนรู้สึกพอใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ นอกจากนี้ขวัญกำลังใจของเหล่าจอมยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

“ทำเนียบเหนือภพ?!”

การปรากฏขึ้นของกระดานโบราณขับไล่ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เทพปีศาจกวาดมองไปที่ร่างสูงโปร่งที่เบื้องล่างนั่นด้วยสายตาโหดร้าย

“ที่แท้มหาพันภพพยายามจะสร้างจอมยุทธ์เหนือภพขึ้นมาใหม่ในช่วงห้าปีนี้นี่เอง!”

เทพปีศาจหรี่ตาลงเยาะเย้ย “แต่ถึงพลังของไอ้หนูนี่จะค่อนข้างดี แต่ก็ยังขาดไปส่วนหนึ่งที่จะเขียนชื่อของตนเองไว้บนกระดานบ้านั่น”

ด้วยสายตาเฉียบคม เทพปีศาจสามารถบอกได้เลยว่าขุมพลังของมู่เฉินอาจจะอยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจารึกชื่อไว้ได้

มู่เฉินได้ยินเสียงเยาะเย้ยอย่างชัดเจน ทว่าเขากลับไม่สนใจเงยหน้าขึ้นมองกระดานโบราณด้วยแววตาลุกโชน

ในที่สุดเขาก็สามารถทำตามความปรารถนาที่ตั้งไว้ได้แล้ว

ตอนนี้เขาเริ่มวาดตราประทับ รัศมีระเบิดออก ทุกคนสามารถเห็นร่างโบราณที่เอิบอาบด้วยรัศมีนิรันดร์—ร่างมหาเทพนิรันดร์!

ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ก้าวออกมารวมเข้ากับร่างกายเขา ขณะนี้รัศมีระเบิดออกมาจากมู่เฉิน ทำให้ทั้งร่างของเขาดูราวกับอัญมณีโปร่งแสง เมื่อคลื่นหลิงไหลเวียนก็เกิดแรงกดดันที่ไม่อาจจินตนาการได้

เวลานี้แม้แต่จอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนยังรู้สึกกดดันอย่างมากจากมู่เฉิน

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนมู่เฉินค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมา กดลงบนกระดานโบราณ

ฮึ่ม!

ในช่วงเวลาที่สัมผัสกันจักรวาลก็สั่นสะเทือน พลังลึกลับบนทำเนียบพยายามขัดขวางเขาจากการสร้างชื่อเอาไว้

“ยังขาดนิดหน่อย” หลินต้งและเซียวเหยียนแสดงความคิดเห็น เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินอาจจะสามารถกระตุ้นทำเนียบเหนือภพได้ แต่ก็ยังไม่พอที่จะเขียนชื่อตนเองลงไป

นี่มีสาเหตุมาจากรากฐานของเขา เพราะสุดท้ายเขาก็ยังอ่อนเยาว์ ต่อให้สืบทอดมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์แล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมายนี้

“ดูเหมือนความหวังของพวกแกจะดับวูบลงแล้วใช่ไหม?” เทพปีศาจยิ้มตาหยี

เสียงหัวเราะระเบิดจากกองทัพจักรวรรดิปีศาจ ขณะตอกหน้าใส่มหาพันภพ

ทว่าหลินต้ง เซียวเหยียนและจอมยุทธ์สูงสุดคนอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากพวกเขาคาดการณ์เรื่องนี้มานานแล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินก็ไม่คิดจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองอย่างเดียวในการเขียนชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพ

ท่าทางของมู่เฉินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาไม่ได้ฝืนเมื่อพบสิ่งกีดขวาง แต่กลับหลับตาลง

การหลับตากินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ

ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกงุนงง จู่ๆ มิติก็ฉีกออกจากกันด้านหลังมู่เฉิน ทุกคนเห็นเงาร่างสีดำและสีขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา

ภาพเงาทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีดำและสีขาวตามลำดับ ดูเหมือนกันกับมู่เฉินมาก

“เรามาสายไปหน่อย” มู่เฉินชุดดำยิ้มแหย

“มาถูกเวลาเลยทีเดียว” มู่เฉินยิ้มขณะที่พูดต่อ “ลงมือเถอะ”

ร่างรองทั้งสองพยักหน้าพลางประสานมือ จากนั้นรัศมีหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกที่เบื้องหลังพวกเขาราวกับกลายเป็นโลกแห่งพลังงานหลิง

ภายในโลกมีร่างเงาโบราณสองร่างปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

ร่างหนึ่งดูเหมือนทำจากอัญมณีขาวใสซึ่งเอิบอาบด้วยความสว่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเส้นทางของแสงกระทั่งมิติก็ยังทนทานขึ้นจนไม่สามารถทำลายได้

อีกร่างหนึ่งดูเหมือนไร้ตัวตน แต่กลับถูกห่อหุ้มด้วยพลังงานไร้ขอบเขต ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนยังรู้สึกว่าตัวตนอ่อนแอ

ร่างมหารัศมีอนันด์!

ร่างมหาปราชญ์วิญญาณ!

ทุกคนมองไปที่ร่างสองร่างพร้อมกับประกายไฟแล่นพล่านในดวงตา ทั้งสองร่างก็คือหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาล ไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนจริงๆ

นั่นหมายความว่าเวลานี้มู่เฉินเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพปฐมกาลสามร่าง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เขาทำได้จริงๆ” หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจ วิชาสามพิสุทธิ์มีความลึกซึ้งอย่างแท้จริง แต่นั่นก็เป็นโชคชะตาของมู่เฉินด้วย ซึ่งแปลว่าวิชาสามพิสุทธิ์เหมาะสมกับเขามาก กระทั่งพวกเขาเองยังไม่รู้สึกว่าจะทำได้ดีกว่าเขา

รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าเทพปีศาจแข็งค้างขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกล้ำ “ไม่คิดว่าจะมีคนสามารถรวมร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามไว้ในคนคนเดียวได้”

เขาสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทั้งสามเป็นร่างเดียวกัน นี่น่าจะเป็นทักษะพิมพ์ร่างที่ลึกซึ้ง ที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและฝึกฝนร่างมหาเทพปฐมกาลได้

จอมยุทธ์จะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองที่เบื้องหน้าทำเนียบเหนือภพ แต่มู่เฉินทั้งสามเป็นคนเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถร่วมมือกัน

นั่นหมายความว่าไม่ยากแล้วที่มันจะเขียนชื่อไว้บนกระดานโบราณเส็งเคร็งนั่น

ดวงตาของเทพปีศาจวูบไหว คิดจะลงมือทำลายแต่สุดท้ายก็รั้งตัวเองไว้ เพราะการปรากฏขึ้นของทำเนียบเหนือภพทำให้เวลานี้พลังงานพิภพแข็งแกร่งอย่างที่สุด ดังนั้นหากเขาออกกระบวนท่าอะไรก็จะถูกโจมตีจากกระดานโบราณแทน

แม้ว่าอนาคตเขาจะจัดการกับกระดานนั่นเพื่อให้อยู่ในการควบคุม แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ดังนั้นเขาจึงกดรัศมีปีศาจโดยรอบมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา

ฮึ่ม!

ในเวลาเดียวกันร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณก็ได้หลอมรวมกับร่างรองของมู่เฉิน คลื่นหลิงของพวกเขาเพิ่มขึ้นในระดับที่น่ากลัว

“ให้เราช่วยเสริมแรงเจ้า!”

ร่างรองทั้งสองคำรามขณะที่ยื่นมือออกมาพร้อมกับกระแสพลังงานหลิงที่ไร้ขอบเขตสองสายระเบิดออกมาจากฝ่ามือพวกเขา

ตู้ม!

กระแสพลังทั้งสองรวมกันที่นิ้วของมู่เฉิน นิ้วก็โปร่งใสแบบคลุมเครือ

พร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด นิ้วของมู่เฉินก็ค่อยๆ แตะลงไป

เมื่อนิ้ววาดลงไป แรงกีดขวางลึกลับก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดวงตาของมู่เฉินระเบิดด้วยแสงแหลมคมพลางกดลงไปอย่างแรง

ฮึ่ม!

ขณะนั้นระลอกคลื่นกระจายออกไปบนทำเนียบเหนือภพ ม้วนตัวไปทั่วมหาพันภพโลก

ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงโบราณในเวลานี้

แรงกีดขวางลึกลับถูกเจาะทะลุในเวลานี้ มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่านิ้วได้กดลงบนทำเนียบแล้ว จากนั้นก็ตวัดเส้นสายบนกระดานลึกลับ

พร้อมกับนิ้วของมู่เฉินพลิ้วไหว ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลึกลับที่รวบรวมบนกระดานพร้อมกับเส้นสายที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เมื่อเส้นสายสุดท้ายสะบัดลง พลังยิ่งใหญ่ก็กวาดออกมา คำว่า ‘มู่’ ถูกจารึกไว้บนทำเนียบเหนือภพเรียบร้อย

มู่!

เมื่อปลายตัวอักษรจบลง มู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่และคิดดำเนินการต่อ ทว่าเขาก็ต้องหยุดลงเพราะรู้สึกได้ว่าตนเองยังไม่แข็งแกร่งพอ

“ทำเนียบเหนือภพแยกออกเป็นส่วนชื่อและแซ่ ตราบใดที่จารึกทั้งสองส่วนเสร็จถึงจะนับว่าได้จารึกชื่อไว้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“แต่การพยายามทำส่วนที่สองให้เสร็จยากกว่าส่วนแรก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้งถึงติดอยู่ในขั้นตอนนี้”

มู่เฉินสั่นหัวอย่างเสียดาย ถ้าเขาจารึกชื่อทั้งหมดได้การจัดการกับเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะไม่มีปัญหา

ขณะที่เขาถอนหายใจในหัวใจ มู่เฉินก็ถอนมือกลับ ขณะเดียวกันอักษรมู่ก็เปล่งประกายความสดใสราวกับว่าถูกตราตรึงในส่วนลึกของสุริยจักรวาลนี้แล้ว

พลังลึกลับพลิ้วลงมาห่อหุ้มมู่เฉินทั้งสาม

พวกมู่เฉินหลับตาลงเสื้อผ้ากระพือไหว ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ค่อยๆ แทรกซึมออกจากร่างมู่เฉิน

นี่เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

มู่เฉินทั้งสามสบตากันพลางยิ้ม พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับในร่างกาย นี่คือพลังงานพิภพ

ตอนนี้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนยิ่งขึ้นไปอีก

“ยินดีกับการจารึกชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพได้” เซียวเหยียนกับหลินต้งยิ้มขณะประสานมือไปทางมู่เฉิน

ยามนี้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว

ทุกคนในมหาพันภพเฝ้ามองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้นและเสียงดังก้องขึ้น

“ขอแสดงความยินดีกับเทพจักรพรรดิมู่ที่เขียนชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพได้!”

ฉิงเทียนและเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นปลายก็โค้งคำนับให้ น้ำเสียงพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความเคารพ ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะยืนในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแล้ว หลังจากจารึกชื่อไว้บนทำเนียบสำเร็จ

ด้วยสถานะของเขาสมควรได้การเรียกว่าเทพจักรพรรดิมู่แล้ว!

นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินคือเทพจอมยุทธ์อันดับสามของมหาพันภพ!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท