หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1558 ไพ่ตายใบสุดท้าย

บทที่ 1558 ไพ่ตายใบสุดท้าย

“เนตรที่สิบ!”

ใต้หล้าเงียบงัน ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างเทพปีศาจ ขณะนี้ดวงตาทั้งเก้าถูกลบหายไปแม้แต่ดวงตาปกติก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า มีเพียงดวงตาชั่วร้ายที่หน้าผากหนึ่งเดียวเท่านั้น

ดวงตาที่ชั่วร้ายนั้นมืดมนอย่างไม่น่าเชื่อราวกับว่าทำให้โลกแปดเปื้อนด้วยความชั่วร้าย

แรงกดดันปีศาจจางๆ ค่อยๆ กระจายออกจากร่างกายของเทพปีศาจพร้อมกันนั้นก็ทำให้พิภพเขตล่างแห่งนี้เริ่มสั่นสะเทือนและล่มสลาย

มากจนมีแม้แต่ริ้วแรงกดดันปีศาจที่เล็ดลอดออกไปจนทำให้ทวีปหลิงหมัวแตกร้าว

ทั่วมหาพันภพเริ่มโยกคลอนทีละน้อย

“ดวงตาที่สิบ…ที่แท้สถานะเก้าเนตรไม่ใช่ขีดจำกัดของมัน”

ใบหน้าของฉิงเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในมหาพันภพซีดขาว ภายใต้สถานะเก้าเนตรเซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉินก็ต้องทำงานร่วมกัน แล้วพวกเขาจะต่อสู้กับสิบเนตรได้อย่างไร?

ดังนั้นเมื่อทุกคนมองกันและกันก็ต่างเห็นความสิ้นหวังในดวงตา

“หรือมหาพันภพจะถึงวาระจริงๆ” เริ่มมีบางคนคร่ำครวญออกมา พวกเขาต่อสู้อย่างขมขื่นห้าปี แต่สุดท้ายก็ไร้ผลหรือ?

ทั่วทั้งมหาพันภพกวาดตัวด้วยความเงียบงัน ทุกคนตกตะลึงกับร่างเทพปีศาจจนพูดไม่ออก มีเพียงความสิ้นหวังเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นในแววตา

ในพิภพเขตล่างสีหน้าของมู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนก็เปลี่ยนไปรุนแรง พวกเขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่สบายใจ

ฉากนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาเช่นกัน

ตัดสินจากแรงกดดันปีศาจที่เอิบอาบจากร่างกายเทพปีศาจ พวกเขาก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเพิ่มมากกว่าแต่ก่อนมาก

“จะต่อยังไงดี?” หลินต้งถาม แต่ในเวลานี้เขายังสงบสติอารมณ์ใจเย็นอยู่

เซียวเหยียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ตอบว่า “จะทำอะไรได้อีก?”

มู่เฉินตอบเสียงเบา “ทำได้เพียงสู้ด้วยชีวิต”

ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากันพร้อมกับแววตาแน่วแน่ พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไป เร้ากระบวนท่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

“มหาเพลิงเทวะ!”

“มหาจักรวาล!”

“ลูกแก้วมหาดารา!”

ทั้งสามคนปลดปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดไปที่เทพปีศาจอีกครั้ง

แต่คราวนี้เทพปีศาจไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น ส่วนโค้งเย้ยหยันแย้มขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากดวงตาที่สิบ

ลำแสงสีดำช่างมืดมิดสามารถกลืนกินแสงสว่างทุกชนิดได้

เมื่อลำแสงสีดำส่องไปยังการโจมตีทั้งสาม เซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉินก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้าน เพราะเห็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดอ่อนแอลงเรื่อยๆ ที่เบื้องหน้าก่อนที่จะสลายหายไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถทำให้เทพปีศาจเกิดการบาดเจ็บเมื่อครู่ได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย

ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบงัน

เทพปีศาจแตะดวงตาชั่วร้ายที่หน้าผากก็ยิ้มบาง “ข้าเสียสละดวงตาเก้าดวงเพื่อสร้างดวงตาที่สิบ ราคาที่ต้องจ่ายก็คืออายุขัยของตัวเอง ถ้าข้ายังไม่สามารถทำลายมหาพันภพได้อีก ไม่เท่ากับข้าสูญเสียครั้งใหญ่เหรอ?”

แสงสีดำไหลเวียนอยู่ในดวงตา เขามองไปที่ทั้งสามคนพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าให้โอกาสพวกแกไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกแกไม่รับไว้”

เซียวเหยียนหรี่ตาลงไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ เพลิงร้อนระอุพุ่งขึ้นบนร่างกายพร้อมกับสีหน้าช่วยไม่ได้

“แม้ว่ามหาพันภพจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่เราไม่มีทางหนีพ้น”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… การลากมันลงนรกไปพร้อมกับเราก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

เสียงของเซียวเหยียนดังก้องด้วยความแน่วแน่ขณะที่หลินต้งพยักหน้าเบาๆ เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถคิดมากได้แล้ว เพราะพวกเขาเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของมหาพันภพ หากพวกเขาล้มเหลวทุกคนที่รักก็จะดับสูญ

เวลาเดียวกันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหลินต้งก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองที่เมียรักทั้งสอง “ในอดีตเจ้าเต็มใจสละชีวิตเพื่อข้า วันนี้ข้าไม่กลัวที่จะปกป้องพวกเจ้า”

“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าเป็นอันตรายเว้นแต่ข้าจะตาย”

บนทวีปหลิงหมัวนายหญิงทั้งสี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงจูงใจนั่น ใบหน้าของพวกนางเปลี่ยนไปรุนแรง

“หลินต้งไม่!”

ใบหน้าของอิ้งฮวนฮวนซีดลงพร้อมกับเสียงกรีดแหลมดังขึ้น ร่างนางสว่างวาบเตรียมจะพุ่งออกไป แต่กลับถูกหลิงชิงจู๋ที่ดวงตาแดงก่ำหยุดไว้

“เจ้าไปก็ได้แต่ขัดขวางพวกเขา” หลิงชิงจู๋กัดริมฝีปากพูดต่อว่า “ถ้าพวกเขาถูกบังคับให้ไปขั้นตอนนั้นไม่มีอะไรที่เราสามารถช่วยได้ อย่างมากเราก็ติดตามพวกเขาไปเท่านั้น”

“แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องลากพวกปีศาจลงนรกไปพร้อมกันด้วย!”

คำพูดของหลิงชิงจู๋เต็มไปจิตสังหาร

อิ้งฮวนฮวนสงบใจลงพร้อมกับสีหน้าเย็นชา ไอเย็นสุดขั้วแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปที่เทพปีศาจ

ใบหน้าของเซียวซุนเอ๋อก็ซีดเซียวขณะที่มองไปที่ไฉ่หลิงที่กำลังตัวสั่นเทิ้ม นางจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น “พี่ไฉ่หลิง แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เซียวเซียวและเซียวหลิน พวกลูกยังต้องการการดูแลจากเจ้า”

ไฉ่หลิงกุมมือเซียวซุนเอ๋อตอบว่า “ซุนเอ๋อ เจ้าเห็นแก่ตัวไปกับเขาคนเดียวแบบนี้ไม่ได้ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นเซียวซุนเอ๋อก็ยิ้มอย่างขมขื่น

ในพิภพเขตล่างดวงตาที่สิบของเทพปีศาจก็กะพริบเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีที่มาจากเซียวเหยียนและหลินต้ง “อะไรกัน? พวกแกคิดจะเขียนบทซ้ำกับไอ้เทพจักรพรรดินิรันดร์โดยการการฆ่าตัวตายหมู่เรอะ?

“แต่คราวนี้ข้าว่าคงไม่มีโอกาสสำหรับพวกแก”

หลินต้งและเซียวเหยียนตอกกลับอย่างไม่แยแส “ไม่ลองก็ไม่รู้”

พูดจบทั้งสองก็ก้าวออกไป

แต่ขณะนั้นเองก็มีมือยื่นออกมาจับแขนพวกเขาไว้

หลินต้งและเซียวเหยียนอึ้งไปก่อนที่จะหันกลับมา “มู่เฉิน?”

มู่เฉินเม้มริมฝีปากขณะที่มองทั้งสองคน “พวกท่านทั้งสองทรงคุณธรรม ข้าชื่นชมอย่างสุดซึ้ง แต่บางทีเราอาจยังไม่หมดหวังขนาดนั้น”

หลินต้งและเซียวเหยียนสบตากันด้วยความตกใจ การเผชิญหน้าครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงอำนาจของเทพปีศาจแล้ว นอกเหนือจากการจุดชนวนตัวเอง พวกเขาก็ไม่สามารถคิดหาวิธีอื่นได้แล้ว

“เจ้ามีวิธีอื่นเรอะ?” เซียวเหยียนถามด้วยความรู้สึกไม่น่าเชื่อ

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งมู่เฉินก็ตอบว่า “ลองดูได้”

หัวใจของหลินต้งและเซียวเหยียนสั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกว่านี่ไม่น่าเชื่อเกินไป แต่เนื่องจากความไว้วางใจที่มีต่อมู่เฉินในที่สุดพวกเขาก็พยักหน้า

“ได้ งั้นเจ้าลองดูเลย ถ้าไม่สำเร็จ พวกข้าค่อยใช้ชีวิตเพื่อกำจัดมัน”

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ พลางพยักหน้า “ถ้าถึงตอนนั้นจริงข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”

พูดจบเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง ไม่นานกระดานลึกลับก็เคลื่อนลงมาจากขอบฟ้าลงมาสู่พิภพเขตล่างแห่งนี้

“ทำเนียบเหนือภพ?”

หลินต้งและเซียวเหยียนอึ้งไปกับภาพนี้พลางรู้สึกงุนงงไปหมด ‘มู่เฉินเรียกทำเนียบเหนือภพมาทำไม? เขาคิดจะเขียนชื่อเต็มลงไปเหรอ? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร?’

ทุกคนในมหาพันภพก็งุนงงเมื่อเห็นฉากนี้

เผชิญกับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ ขณะที่มู่เฉินอีกสองคนก็ทะยานเข้ามาหา

ยามนี้มู่เฉินทั้งสามหลับตาลงโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

เมื่อดูฉากนี้หลายคนรู้สึกงงงวยมากขึ้น

“เฮ้ เวลานี้แล้วแกยังคิดเล่นกลอีกเหรอ? อย่างแกต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานกว่าจะเขียนชื่อเต็มบนกระดานเส็งเคร็งนั่น!” เทพปีศาจหัวเราะเยาะ

ตอบสนองต่อคำเยาะเย้ย มู่เฉินก็ไม่สนใจ

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้นด้วยความโล่งใจ “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”

“อะไรรึ?” หลินต้งและเซียวเหยียนยังงงไม่หาย

โฮก!

กีด!

ทันทีที่สิ้นเสียงถาม เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังก้อง ทุกคนต้องตกใจเมื่อเห็นลำแสงสีทองสองสายพุ่งลงไปในพิภพเขตล่าง พวกเขาก็คือมังกรทองและหงส์ฟ้า

เมื่อมังกรทองและหงส์ฟ้าพลิ้วลงมา ก็ก่อตัวกันเป็นสองเงาร่างที่ทำให้ทุกคนตะลึงสุดขีด

ภาพเงาสีทองทั้งสองดูเหมือนกับมู่เฉินทุกประการ!

หลินต้งและเซียวเหยียนหดดวงตาด้วยความตกใจ เนื่องจากพวกเขาพบว่าร่างทั้งสองนั้นมีความผันผวนเช่นเดียวกับมู่เฉินและก็เป็นจอมยุทธ์เหนือภพเช่นกัน!

“นี่…เป็นไปได้ยังไง?”

เมื่อมู่เฉินเห็นมู่เฉินทั้งสองก็ยิ้ม ย้อนกลับไปตอนนั้นที่เขาได้รับคัมภีร์หลงเฟิ่งจากมิติหลงเฟิ่ง เขาก็เลี้ยงดูเทพอสูรทั้งสองด้วยเลือดกลั่นของเขาเอง ดังนั้นทั้งสองคนจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขาเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อเขาบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์ ไม่เพียงแต่ร่างรองทั้งสองของเขาเปลี่ยนไป แม้แต่จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ยังได้รับโอกาสและแยกออกมา

ดังนั้นจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจึงก่อร่างกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรเทพสร้างในดินแดนเสิ่นโซ่เพื่อฝึกฝน

ในความเป็นจริงเมื่อเขาแยกมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง วิชาสามพิสุทธิ์ของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผู้คิดค้นทักษะนี้ก็คงไม่เคยคิดมาก่อนว่าสามพิสุทธิ์จะสร้างตัวตนได้ถึงห้าคน…

แต่ที่สุดแล้วก็น่าเป็นเพราะสถานการณ์พิเศษของมู่เฉินร่วมด้วย เนื่องจากเขาใช้แก่นโลหิตแท้ของตนเองในการเลี้ยงดูเทพอสูรทั้งสองมาหลายปี มิหนำซ้ำยังได้สร้างจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเอาไว้ซึ่งเต็มไปด้วยจิตสำนึกของตัวเอง

ยามนี้หลินต้งและเซียวเหยียนก็หายตกใจพลางถอนหายใจในใจ ‘แต่แม้จะมีร่างรองเพิ่มขึ้นอีกสองคน ก็คงไม่สามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพได้’

“เจ้าสองคนคงลำบากมาก” มู่เฉินหันไปยิ้มให้กับร่างเทพอสูรทั้งสอง

“พวกเจ้าประสบความสำเร็จหรือไม่?” มู่เฉินชุดดำและชุดขาวถามขึ้น

“เมื่อครู่นี่เอง เราประสบความสำเร็จแบบโชคช่วย”

ร่างรองเทพอสูรทั้งสองพยักหน้า สร้างตราประทับขึ้น

ในเวลานี้รัศมีกระจ่างใสไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเบื้องหลังทั้งสอง ความผันผวนโบราณก็ถูกปลดปล่อยออกมา หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างเงาโบราณสองร่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลัง

นั่นเป็นความผันผวนเช่นเดียวกับสุดยอดร่างเทห์สวรรค์ในตำนาน!

“นั่นคือ…” หลินต้งและเซียวเหยียนหัวใจสั่นสะท้าน

ฉิงเทียนและทุกคนในทวีปหลิงหมัวต่างตกตะลึงขณะที่เขาอุทาน “ร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่างของมหาพันภพ—ร่างมหาเทพรัตติกาลและร่างมหาสุญตา!”

หมัวเฮอเทียนก็เกิดความไม่เชื่อบนใบหน้า ก่อนที่จะมองไปที่เฮยเธียนและหวางฉิว “เจ้าสองคนส่งร่างมหาเทพปฐมกาลให้ไอ้หนูนั่นตั้งแต่เมื่อไร?”

เฮยเธียนและหวางฉิวสบตากันก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อไม่กี่ปีก่อน มู่เฉินแอบมาขอยืมร่างมหาเทพปฐมกาล แต่ว่าในตอนนั้นตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นเขาจึงให้พวกข้าเก็บทุกอย่างเป็นความลับน่ะ”

ทุกคนตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะตื่นเต้น ไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ของมู่เฉินนำพาสายแห่งความหวังกลับมาให้พวกเขาอีกครั้ง หากมู่เฉินสามารถใช้พลังของห้าร่างมหาเทพปฐมกาลได้ เขาอาจมีโอกาสที่จะเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพได้จริงๆ

“น่าเกรงขาม”

หลินต้งและเซียวเหยียนอดชื่นชมไม่ได้ ใครจะคาดเดาได้ว่ามู่เฉินจะสามารถสร้างแยกร่างออกได้ถึงสี่ร่าง!? ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาฝึกฝนร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าด้วย นี่ถือเป็นประวัติการณ์แท้จริง!

มู่เฉินทั้งห้าเงยหน้าขึ้นมองไปกระดานลึกลับ

“ตอนนี้เรามาลองดูว่าจะสามารถฝากชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพและสร้างสุดยอดเทพจอมยุทธ์ที่เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมหาพันภพได้หรือไม่…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท