หนังสือปกดำลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเปิดมัน
เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่รู้จัก ตัวเขามักจะมีความระแวดระวัง รู้จักอดทนอยู่เสมอ
เขามองไปยังเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงครามและเริ่มเอ่ยถามระบบ
“ระบบเทพสงคราม คุณช่วยอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งหกเงื่อนไขที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นร่างเงาเทพให้ฉันฟังหน่อยจะได้ไหม?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ
“หนึ่ง โลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นสิ่งที่ทวยเทพสร้างขึ้น และในเวลานี้ เหล่าทวยเทพก็ได้จากไปแล้ว ขณะที่วันสิ้นโลกกลับปรากฏขึ้น ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ ที่ระบบวันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือนอาณาจักรทั้งมวล จึงตรงตามเงื่อนไขแรกของเหล่าทวยเทพไปโดยปริยาย”
“สอง โลกสมบัติของทริสเต้ใบนี้เป็นสถานที่พำนักของเหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้น”
“สาม เช่าหยินคือดาบที่ถูกหลอมกลั่นโดยเทพบรรพกาล ซึ่งคุณสามารถเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้ได้ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงยอมรับคุณเป็นราชาแห่งท้องทะเล”
“สี่ ตั้งแต่ที่คุณเข้าสู่โลกใบนี้ คุณก็ได้ทำการต่อต้านเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ต้นกำเนิด มาโดยตลอดและยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพก็ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ทั้งหมด”
“ห้า คุณสามารถทำลายสองระบบในเวลาเดียวกัน”
“หก คุณได้รับการยอมรับจากระบบเทพสงคราม เป็นเจ้าของอำนาจเทพสงคราม นอกจากนี้ยังครอบครองกฎเกณฑ์เกี่ยวกับมิติและเวลาของวันสิ้นโลกในอดีตอีกด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้คุณก็น่าจะเข้าใจดี”
เมื่ออ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ลมหายใจของกู่ฉิงซานก็ขาดห้วงไปเล็กน้อย
นั่นสินะ ฉันลอบกลับมาจากมิติและเวลาในอนาคตจริงๆ กลับมาสู่อดีตแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
หากอ้างอิงตามตรรกะทางด้านวิทยาศาสตร์ อนาคตไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมมีอิทธิพลต่ออดีต
แต่ในกรณีของฉัน แท้จริงแล้วจะเป็นอนาคตที่มีอิทธิพลต่ออดีต หรือเป็นอดีตที่มีอิทธิพลต่ออนาคตกันแน่นะ?
ไม่ อันที่จริงแล้วมันควรจะเป็นแบบนี้ต่างหาก
ตนเองและระบบเทพสงครามเริ่มต้นจากการแอบย่องข้ามมิติและเวลาจากอนาคต ดังนั้นช่วงเวลาในอดีตจึงได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในอดีตรูปแบบใหม่ขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้มันสามารถพิจารณาด้วยตรรกะทางวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือ?
กู่ฉิงซานส่ายหัว
เขาย้อนนึกไปถึงมอนสเตอร์ตัวนั้นอีกครั้ง
“ช่างน่าสงสาร…” นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดกับเขาก่อนมันจะตาย
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เรื่องราวมันลึกลับมากเกินไป และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ย่อมไม่มีทางที่จะยืนยันเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้
ขณะนั้นเอง บรรทัดแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ปัจจุบัน คุณสามารถรับของขวัญจากเหล่าทวยเทพได้แล้ว”
พอกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงนี้ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของระบบเทพสงคราม
“นี่คงไม่ใช่กับดักหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ…ใช่ไหม?”
เขาเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แน่นอน เพราะเหล่าทวยเทพไม่ได้เกลียดชังอะไรในตัวระบบ และคุณก็ได้พิสูจน์ถึงจุดยืนของตัวเองด้วยการกระทำภายในโลกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพำนักอยู่นี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ดังนั้น สิ่งที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง จะไม่ถูกนำมาใช้จัดการกับคุณ” ระบบเทพสงครามตอบ
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจและกล่าว “ดีล่ะ ถ้าอย่างงั้นมาดูกันว่าหนังสือปกดำเล่มนี้คืออะไร”
ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือปกดำขึ้นมา
ทันใดนั้นเส้นแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“คุณได้รับหนังสือของขวัญจากเทพผู้รังสรรค์”
“กรุณาเปิดหนังสือเล่มนี้”
กู่ฉิงซานเปิดปกหนังสือที่ปิดอยู่อย่างช้าๆ
ชั่วพริบตาที่มันถูกเปิดออก ตลอดทั้งเล่มของหนังสือปกดำก็สาดประกายรังสีแสงสดใส พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
ภายใต้แสงสว่างอันงดงามนี้ มันเปล่งประกายไปด้วยความหมายของชีวิต และการยกย่องบูชา เวียนว่ายไปมาไม่หยุดเหนือหัวของกู่ฉิงซาน
ในเวลาเดียวกันแสงและเงาระหว่างสวรรค์และโลกก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นร่างยักษ์ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
รูปร่างของอีกฝ่ายใหญ่โตราวกับขุนเขา กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหน้ามีความสูงเพียงแค่ระดับเดียวกันกับเท้าของมันเท่านั้น
ร่างยักษ์มองลงมายังกู่ฉิงซาน เริ่มอ้าปากพูดคุย
“เจ้าเป็นคนที่สามของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ เวลานี้ เจ้าสามารถพูดถึงสิ่งที่ปรารถนามากที่สุดจากในจิตใจออกมาได้”
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักได้ถึงปฏิกิริยาของเขา ระบบเทพสงครามก็เร่งผุดบรรทัดแสง เตือนขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“คุณต้องบอกความจริงออกไป”
ราวกับกลัวว่ากู่ฉิงซานจะเสียโอกาสนี้ไป บนหน้าต่างเทพสงครามจึงปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอีกครั้ง และอธิบายถึงรายละเอียดอย่างรวดเร็ว
“กฎแห่งเหตุและผลของเทพวิญญาณมีกฎเกณฑ์ในตัวของพวกมันเองอยู่ ดังนั้นสิ่งที่คุณกำลังจะพูดออกไป มันต้องเป็นความปรารถนาจากส่วนลึกที่สุดในจิตใจของตัวเองจริงๆ คำขอนั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น”
“ดังนั้น คุณจะต้องเอ่ยความปรารถนาที่จริงแท้ที่สุดในจิตใจของตัวเองออกมา!”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างเทพสงคราม และพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีว่าเขาเข้าใจ
เขามองขึ้นไปยังแสงและเงาของร่างยักษ์บนท้องฟ้า และสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ในความเป็นจริงแล้ว หลายครั้งหลายครา ตัวฉันมักจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองอ่อนแอ ดังนั้นฉันจึงเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง”
เขาเริ่มอธิบาย
“ถ้าหากท่านต้องการจะช่วยฉันจริงๆ ได้โปรดมอบความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำยิ่งกว่าในวันนี้ เพื่อที่ฉันจะได้สามารถใช้มันต่อต้านระบบ สามารถได้รับอิสรภาพ สามารถปกป้องทุกคนที่ฉันต้องการจะปกป้องได้ด้วยเถอะ!”
“ฉันปรารถนาในพลังอันยิ่งใหญ่!”
“อำนาจที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง!”
“ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น และได้รับพลังอำนาจที่มากขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุดล่ะ!”
กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง
เขาสิ้นหวังมากเกินไป เกือบทุกครั้งเลยตนจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสถานการณ์ไร้หนทาง ส่งผลให้ตลอดเวลา เขามักจะรู้สึกราวกับว่าตนกำลังย่ำอยู่ตรงขอบหน้าผาอยู่เสมอๆ ต้องเค้นสมองเฟ้นหาวิธีทุกหนทางในการต่อสู้ เพื่อไขว่คว้าโอกาสอันน้อยนิดให้สามารถรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้
เขาต้องงัดทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ และใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่เขามี
แต่!
หากเขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดหนัก ไม่ต้องเลือกที่จะหลบหนีไปมา หรือใช้ออกด้วยทุกกลยุทธ์ใดๆ เลย
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่หยิบดาบขึ้นมา และใช้มันฟาดฟันแก้ไขทุกๆ ปัญหาก็เท่านั้น!
เหมือนกันกับที่ร่างใหญ่ที่อยู่มากกว่าหนึ่งแสนปีได้กล่าวเอาไว้ ว่าสำหรับช่วงเวลาแห่งวันสิ้นโลก ความอ่อนแอนับว่าเป็นบาปมหันต์!
ฉะนั้น เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!
ในช่วงเวลานี้
ระหว่างเผชิญหน้ากับแสงและเงาของร่างยักษ์เทพบรรพกาล
กู่ฉิงซานได้ระบายความปรารถนาจากส่วนลึกในจิตใจของเขา เปล่งมันออกไปด้วยความจริงใจและทะเยอทะยานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหนือทะเลเมฆ ใต้ผืนฟ้า
แสงและเงาของยักษ์ใหญ่เทพบรรพกาลรับฟังคำขอของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
“แข็งแกร่งขึ้น? นั่นหรือคือสิ่งที่เจ้าปรารถนามากที่สุด?” เขาถาม
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ
แสงและเงาร่างยักษ์กล่าว “ทว่าตามกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งมวล พวกมันย่อมไม่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ที่จู่ๆ ก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ เหตุและผลย่อมมีกฎของตัวมันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถก้าวหน้าในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืนไปได้”
“และที่สำคัญ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมอบอำนาจที่แข็งแกร่งในทันทีให้แก่เจ้าได้”
“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสำแดงผลลัพธ์ช่วยให้เจ้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ดั่งที่ใจเจ้าปรารถนา”
“หากได้รับมัน เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่มันต้องใช้เวลาและความเพียรพยายามอย่างหนัก เจ้าเองจำต้องจ่ายเลือดและเนื้อออกไปมากกว่าคนอื่นๆ จักต้องฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น มีวินัยให้มากยิ่งขึ้น ปฏิบัติตนให้เหมาะสมที่จะได้เป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง”
“กล่าวกันว่ายิ่งทำงานหนักเท่าใด ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะยิ่งมากเท่านั้น ซึ่งหากเจ้าทำแบบที่ว่า มันก็จะเกิดการสอดคล้องกับกฎแห่งเหตุและผล และทุกกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งปวง”
“ของขวัญที่ข้ากำลังจะมอบให้นี้ หากเจ้าไม่มุ่งมั่นทำงานให้หนักยิ่งกว่าผู้อื่นนับสิบเท่า มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย”
“คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ว่าเจ้ายินดีจะยอมรับมันเอาไว้หรือไม่?”
“ฉันยอมรับ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล
แสงและเงาร่างยักษ์พอได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย
แสงและเงายักษ์โบกมือออกไป
เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าเหนือหัวของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดขยับไหวราวกับกระแสธารหลาก ไหลมาท่วมรวมกันบนฝ่ามือของเงายักษ์
รังสีแสงอันเข้มข้นแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วกลายเป็นรูปปั้นที่เปล่งเสียงบางเบานับไม่ถ้วนออกมา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างตั้งใจ และเห็นว่ารูปปั้นที่ว่านั้นมีร่างกายเหมือนคนปกติ ทว่าเหนือขึ้นไปตรงส่วนหัวกลับปรากฏถึงสี่หน้า หันออกไปสี่ทิศ
และเหนือสี่หัวขึ้นไป ก็ยังคงมีอีกสี่หัว หันออกไปในอีกสี่ทิศทางเช่นกัน
และหัวสี่ทิศที่ว่าก็ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลากยาวไปจนถึงเจ็ดชั้น ทว่าชั้นสุดท้ายกลับปรากฏให้เห็นเพียงแค่หัวเดียวเท่านั้น
เมื่อมองไปยังรูปปั้นดังกล่าวนี้ในคราวแรก จะรู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไป แต่หากได้ลองเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้บางอย่างขึ้นมา
แสงและเงายักษ์ถือรูปปั้นนี้และกล่าว
“ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีกฎเกณฑ์พื้นฐานของมัน”
“และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของอาณาจักรทั้งปวงเอาไว้ เพื่อที่จะยับยั้งความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตไม่ให้มากจนเกินไป ‘กฎเกณฑ์แห่งจิตวิญญาณ’ อันลึกล้ำจึงถือกำเนิดขึ้น”
“อำนาจของกฎที่ว่านั่นก็คือ จิตวิญญาณจะไม่สามารถเบี่ยงเบนไปในวิถีอันหลากหลายได้…หากจิตใจของเจ้าเบี่ยงเบนเป้าหมายไปยังอีกสิ่งหนึ่ง ความเชี่ยวชาญในวิถีนั้นๆ ก็จะลดต่ำลง”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำของแสงและเงาร่างยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
เขาย้อนนึกไปถึงในโลกล่องเวหา ย้อนนึกไปถึง ‘ดาบคู่เอกลักษณ์’ เฉียนซานเย่
เพื่อที่จะฝึกฝนทั้งทักษะดาบและกระบี่ให้เชี่ยวชาญ เฉียนซานเย่จำได้ใช้ออกด้วยเทคนิคแยกวิญญาณออกเป็นสองส่วน จึงจะสามารถเชี่ยวชาญทั้งสองทักษะนี้ได้
แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่แตกต่างไปจากหลานซิ่งแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน ที่จำต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากดวงวิญญาณที่แยกออกอยู่ตลอดเวลา
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเช่นนี้ จริงอยู่ที่ว่ามันจะสามารถทำให้ผู้คนฝึกฝนวิถีที่หมายปองจนเชี่ยวชาญได้มากกว่าหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งทางจิตก็จะถดถอยลง และสามารถถูกโจมตีโดยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกล่องเวหา แม้ว่าเขาจะได้ล่วงรู้ถึงเทคนิคแยกวิญญาณนี้ แต่ตนก็ไม่เคยคิดที่จะใยดีมันเลย
แสงและเงายักษ์กล่าวต่อ
“ตอนนี้ ข้าจะใช้อำนาจของทวยเทพ สร้างผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ของเหตุและผล เพื่อเป็นกุญแจสู่การปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า”
“สมบัติชิ้นนี้จะช่วยปลดปล่อยขีดจำกัดจิตวิญญาณไปโดยสมบูรณ์”
“ความหมายก็คือ นับแต่นี้ไป เจ้าจะสามารถฝึกฝนทักษะทั้งหมด สามารถมุ่งเดินไปในทุกๆ วิถีที่หมายปอง โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ สามารถเชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนงได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกามาผูกมัด กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าทุกสรรพชีวิตทั้งมวล”
“หากเจ้าจ่ายออกด้วยหยาดเหงื่อและความเพียรพยายามที่มากพอ ตัวเจ้าจะกลายเป็นเทพสงครามที่ทรงอำนาจ เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ ทุกแขนง”
แสงและเงายักษ์กล่าวจบ ก็โยนรูปปั้นไปทางกู่ฉิงซาน
รูปปั้นตกลงเหนือหัวของกู่ฉิงซาน และทันใดนั้นมันก็แปรสภาพกลายเป็นแสงจรัสอันไร้ที่สิ้นสุด จมหายเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา
ปัง!
กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่กลางอากาศ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ คล้ายกับว่ามีบางอย่างได้รับการปลดปล่อย
พริบตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น ตัวเขาก็ถูกตรวจพบโดยฟ้าดินทันที
บังเกิดคลื่นความผันผวนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
ท่ามกลางตลอดทั้งโลกนับล้านๆ ความผันผวนอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เริ่มทยอยกันปรากฏขึ้น
พวกมันข้ามผ่านขอบเขตมิติและเวลา มาปรากฏกายขึ้นในโลกสมบัติของทริสเต้โดยตรง หลอมรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นความผันผวนที่สร้างแรงกระแทกอันยิ่งใหญ่
พลังที่มองไม่เห็นนี้แม้จะไร้ซึ่งมวลน้ำหนักใดๆ ทว่าขณะเดียวกัน ไม่ว่าสิ่งใดก็มิอาจหยุดยั้งมันได้
ชนิดที่ว่าตราบใดที่มันต้องการ โลกทั้งใบที่มาขวางหน้าก็จะกลายเป็นฝุ่นผงทันที!
อำนาจที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่ร่างของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานตระหนักได้ว่าตนกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่
อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทั้งคนทั้งร่างเขาราวกับถูกแช่แข็ง ไม่แม้กระทั่งจะสามารถขยับนิ้วมือได้
ในเวลานั้นเอง แสงและเงายักษ์ก็เอ่ยปากออกมา
“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป กฎเกณฑ์อันลึกล้ำกำลังสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ้า”
“กฎเกณฑ์ของโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน และพยายามที่จะยับยั้งการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า ทว่าการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้าได้รับการอนุญาตจากทวยเทพซึ่งเป็นผู้สร้างโลกเหล่านั้นขึ้นมา ดังนั้นในสถานการณ์นี้ เจ้าย่อมสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย”
พร้อมกันกับคำพูดของแสงและเงายักษ์ กุญแจแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้น และปกคลุมรอบกายกู่ฉิงซาน
ร่างเงาของรูปปั้นที่มีหัวนับไม่ถ้วนค่อยๆ แตกสลายลง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่คิดหมายจะยับยั้งกู่ฉิงซานก็กระจายหายไปเช่นกัน
……………………………………………..