“ตูม!”
รังสีจรัสดั่งดวงอาทิตย์สาดแสงต่อเนื่อง
ภายใต้แสงจรัส ทุกสิ่งอย่างล้วนล่มสลาย ตลอดทั้งตัวห้องสมุดพังทลาย มอดม้วยเป็นเถ้าถ่าน
ผู้ใช้มนตรายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ให้ตายเถอะ!
สิ่งประดิษฐ์เทวะถูกนำออกไปแล้ว!
แม้ว่ามันจะรู้มานานแล้วว่าตึกหลังนี้ได้รับพรปกปักจากทวยเทพ แต่มันจะไปทันนึกได้อย่างไร ว่าเทพวิญญาณได้ซ่อนบางสิ่งเอาไว้ในผนัง?
แถมตอนนี้สิ่งที่ว่ายังถูกค้นพบและฉกชิงไปแล้ว…
ผู้ใช้มนตราวาดไม้เท้าออกไปอีกครั้ง
เทคนิคมนตราอันลึกล้ำก่อตัวขึ้นเป็นกระแสแสง ฟาดผ่านเป็นแนวขวาง ตัดผ่านสิ่งปลูกสร้างตึกอื่นๆ
ตูม!
ตูม!!
ตูม!!!
สิ่งปลูกสร้างหลังแล้ว หลังเล่าพังทลาย ล่มสลายลงสู่พื้นดิน
อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้มันมีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากเกินไป กระทั่งในภูเขาที่ห่างไกล ก็ยังมีตึกอยู่อีกหลายหลัง
ผู้ใช้มนตราไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสาดโจมตีเลย
แสงสว่างไสวจากนานับมนตรา สะท้อนไปทั่วทั้งเขาวงกต
กระแสลมพัดกระพือ เกล็ดหิมะปลิวว่อนโกลาหล ฉากที่มิแตกต่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งประตูตรงโถงทางเดินถูกเปิดออกอีกครั้ง
พร้อมกันกับชายร่างใหญ่ผิวดำเมี่ยมที่ปรากฏกาย ก้าวยาวๆ เข้ามา
ผู้ใช้มนตราหยุดมือ และมองไปทางอีกฝ่าย
“ไอ้สารเลว รีบปล่อยภรรยากับลูกๆ ของข้ามาเดี๋ยวนี้!” ชายดำเมี่ยมตะโกนด้วยความโกรธ
ผู้ใช้มนตรากล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้าทุกคนเอง ก็ล้วนถูกจองจำไว้โดยเทพวิญญาณ เหตุใดจึงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ข้าคิดหมายจะทำ?”
“แต่เจ้ากักขังวิญญาณของพวกเรา แถมยังบังคับควบคุมร่างกายของพวกเรา!” ชายดำเมี่ยมกัดฟันกล่าว
ทันใดนั้นผู้ใช้มนตราก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกที่สมควรตาย ก็ตกตายลงไปแล้ว ส่วนพวกที่สามารถรอดชีวิตได้เอง ก็ยังคงมีชีวิตอยู่”
ชายดำเมี่ยมตะลึงงัน เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูดโดยสิ้นเชิง
แต่เจ้าตัวก็หาได้คิดพูดมากความไม่ ทั้งคนทั้งร่างกระโจนเข้าห้ำหั่นกับผู้ใช้มนตราทันที
อีกด้านหนึ่งของเขาวงกต
เกือบทุกสิ่งปลูกสร้างราบเป็นหน้ากลองโดยเทคนิคมนตรา
ในพื้นที่ห่างไกล ผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังซ่อนอยู่บนกิ่ง เบื้องหลังของต้นไม้ใหญ่
มันหุบปีก เกาะยึดกับข้างส่วนหลังของใบไม้อย่างหนักแน่น เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพายุหิมะซัดปลิวไปตามลม
เป็นกู่ฉิงซาน
เขาเฝ้าดูผู้ใช้มนตราทำลายตึกรามต่างๆ อย่างเงียบๆ จนกระทั่งชายดำเมี่ยมเดินทางมาถึง
“พวกที่สมควรตาย ก็ตกตายลงไปแล้ว ส่วนพวกที่สามารถรอดชีวิตได้เอง ก็ยังคงมีชีวิตอยู่”
เขาทบทวนประโยคนี้อย่างเงียบๆ
ไอ้คำที่ว่า ‘พวกที่สมควรตาย ก็ตกตายลงไปแล้ว’ นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?
แล้วไหนจะ ‘ส่วนพวกที่สามารถรอดชีวิตได้เอง ก็ยังคงมีชีวิตอยู่’ อีก
เจ้ามอนสเตอร์ มันใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าใครควรจะอยู่หรือตายกัน?
กู่ฉิงซานกำลังขบคิด เสียงของซีน้อยก็ดังขึ้นในใจของเขา
“กู่ฉิงซาน มันทำลายตึกไปมากมายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอีกสองสิ่งประดิษฐ์เทวะที่เหลือจะพลอยถูกทำลายลงไปด้วยเหรอ?”
น้ำเสียงของซีน้อยดูจะกังวลนิดหน่อย
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน “ฉันได้ยินมาว่าการโจมตีของผู้ใช้มนตรานั้นถูกถักทอขึ้นมาจากกฎเกณฑ์ ซึ่งครอบครองพลังอันมหาศาล และสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างลงได้อย่างง่ายดาย”
ซีน้อยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่นายรู้อยู่แล้วเหรอ? เดี๋ยวก่อนสิ! งั้นเหตุผลที่นายเอาสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นแรกมา โดยทิ้งร่องรอยเอาไว้ เป็นเพราะนายต้องการให้มันอาละวาดทำลายตึกอื่นๆ ใช่ไหม?”
กู่ฉิงซาน “ใช่ แต่ฉันต้องการให้มันโกรธมากขึ้น เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สิ่งมีชีวิตโกรธ มันก็มักจะเผยจุดอ่อนบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกเราสามารถล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันได้มากขึ้น”
ซีน้อย “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับตัวตึกต่างๆ กัน? ไม่ใช่ว่าแบบนี้สิ่งประดิษฐ์เทวะจะถูกทำลายลงแล้วเหรอ นี่มันไม่ถูกต้อง นายรู้ตำแหน่งของสิ่งประดิษฐ์เทวะที่เหลืออีกสองชิ้นจริงๆ รึเปล่า!”
กู่ฉิงซาน “สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่สองถูกฝังอยู่ใต้หอนาฬิกา เจ้ามอนสเตอร์พึ่งจะช่วยลดความลำบากให้กับเราที่ต้องเสียเวลาหาทางเข้าหอนาฬิกาไป ดูนั่นสิ มันอยู่ทางซ้ายของเรานี่เอง มันเป็นหอนาฬิกาที่ถูกสร้างมาด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ ทุกช่องทางล้วนปิดมิดชิด ไม่มีประตูให้เข้าออก เราต้องเจาะอุโมงค์ถึงจะเข้าไปได้ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องเจาะอุโมงค์แล้ว พวกเราสามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปได้เลยโดยตรง ”
ซีน้อย “นาย…ไอ้คนเจ้าเล่ห์ นี่ถึงขั้นหลอกใช้มอนสเตอร์ให้ช่วยเปิดทางถล่มหอคอย…”
“มาเถอะ ไปเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นที่สองกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
ผีเสื้อเมื่อสบโอกาส มันก็สยายปีกบินขึ้นไปเกาะลงบนเกล็ดหิมะ ทิ้งตัวมายังกองหิมะหนา
แล้วผีเสื้อก็หายวับไป
กลับกลายเป็นตัวตุ่นปรากฏขึ้นใต้หิมะแทน
มันใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ เตรียมที่จะใช้สองเท้าตะกุยมุดลงไปใต้ดิน แต่แล้วมันก็ลังเล ครุ่นคิดถึงข้อดีข้อเสียอยู่ครู่ สุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยนกลับมาเป็นมดตัวเล็กๆ ดังเดิม
มดใช้ออกด้วยสกิลเทวะไปยังทิศทางของหอนาฬิกา
แล้วมันก็หายวับไป
ปรากฏเกล็ดหิมะน้อยๆ ขึ้นมาแทนที่ในตำแหน่งเดิมของมด ส่วนมดไปแทนที่เกล็ดหิมะ และซ่อนตัวอยู่ภายใต้กองหิมะหนาอย่างเงียบๆ
หากก้มลงมองจากเบื้องบน จะพบว่าพื้นหิมะนั้นเงียบสงบเหมือนป่าช้า ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
ตัวมดมีขนาดไม่ถึงเล็บนิ้วมือ แถมยังใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ ผสานไปกับใช้ร่างเงาแทนที่อย่างเงียบๆ ทั้งหมดหลอมรวมกันอย่างลงตัว ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของมัน ราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่เลย
หลังจากที่มดเคลื่อนไหวครั้งหนึ่ง มันก็จะหยุดไปสักพัก มิกล้าเคลื่อนที่ติดต่อกัน
เนื่องจากตัวมันเล็กจ้อย จึงไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์โดยรวมได้ ระหว่างว่างเว้น มันจึงเงี่ยหูลงแนบกับพื้น และฟังเสียงที่เกิดขึ้น
ในอีกด้านหนึ่งของเขาวงกต การต่อสู้ยังคงเดือดพล่านรุนแรง
ผู้ใช้มนตราเกือบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันดุเดือดของชายดำเมี่ยมได้ มันชักฝีเท้ากลับไปหลายก้าว ก่อนจะกลับคืนไปเป็นรูปปั้นดังเดิม
วินาทีต่อมา ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปอีกตนก็ปรากฏกายขึ้น
เจ้ามอนสเตอร์ได้เปลี่ยนร่างที่ใช้ควบคุมแล้ว
คราวนี้มันเลือกนักฆ่าที่มีร่างเพรียวบาง
นักฆ่ายกสองกริชยาวขึ้นเสมออก ทุกย่างก้าวช่างแผ่วเบา ไม่กี่ฝีเท้า มันก็มาถึงเบื้องหลังชายดำเมี่ยมได้ในที่สุด
บังเกิดประกายแสงเย็นวาบ
เคร้ง!
กริชกับหางปะทะกันจนบังเกิดเสียงอันคมชัดกรีดแทงทะลุไปในอากาศ
นักฆ่าเร่งหลบหนีหายเข้าไปในเงามืดทันที
ชายดำเมี่ยมไม่ยอม วิ่งไล่ตามเข้าไปในเงามืดติดๆ
บังเกิดเสียงร้องคำรามและการไล่ล่า
การต่อสู้ปะทะขึ้นอีกครั้ง!
…
อีกด้านหนึ่ง
มดน้อยนอนหมอบอยู่กับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เฝ้ารอคอยโอกาสเหมาะๆ อีกสักพัก
ในช่วงจังหวะที่นักฆ่ากับราชาแมงป่องปะทะกันอีกครั้ง ภายใต้เสียงกังวาน มันก็เริ่มขยับกายทันที
คราวนี้ มันสามารถมุ่งหน้ามาถึงสถานที่ตั้งเดิมของหอนาฬิกาได้เลยโดยตรง
ท่ามกลางซากปรักหักพัง ปรากฏขั้นบันไดให้ก้าวเดินลงไป
มดน้อยค่อยๆ ไต่ลงไปตามเส้นทาง
อุโมงค์นี้ทั้งยาวและลึก แถมหลังจากลงมาได้แค่ไม่กี่นาที ตัวอุโมงค์ก็ตั้งชันเป็นแนวดิ่ง
มดน้อยบังเกิดความกระวนกระวาย สุดท้ายตัดสินใจกระโดดลงในแนวดิ่ง ทิ้งตัวสู่เบื้องลึกของอุโมงค์
เฝ้าดิ้นรนพยายามอย่างหนัก สุดท้ายสามารถมาถึงพื้นเบื้องล่างจนได้
สถานที่แห่งนี้เป็นห้องเก็บของโทรมๆ ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุล้าสมัย
หลังจากหลายปีที่ผ่านพ้น อุปกรณ์เหล่านี้ก็บุบสลาย จนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
มดน้อยหลบเลี่ยงอุปกรณ์ต่างๆ ปีนขึ้นไปใจกลางห้องเก็บของ กวาดสายตามองโดยรอบ
แล้วมันก็ค้นพบตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
บริเวณที่ว่า เป็นกองอิฐธรรมดาตรงมุมห้องที่ดูไม่โดดเด่นใดๆ
มดคืบคลานเข้าไป ใช้หนวดสัมผัสกับก้อนอิฐ มันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งที่ถูกรังสรรค์โดยเทพวิญญาณ
หลังจากยืนยันแล้ว มดก็ถอยกลับมาเล็กน้อย
ดาบยาวผลุบขึ้นมาเหนือมดจากในอากาศที่บางเบา และค่อยๆ ชี้ไปที่กองอิฐ
กองอิฐปลดปล่อยคลื่นความผันผวนอันมองไม่เห็นออกมา ดูเหมือนมันจะกำลังตรวจสอบว่าสิ่งใดกันที่กำลังโจมตีมัน
เปรี๊ยะ!
กองอิฐแตกออกจากกัน ถูกทุบทำลายกลายเป็นกรวดขนาดเล็กกระจายลงทั่วพื้นห้อง
กล่องอันประณีตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นทันใด
กู่ฉิงซานสลายความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ก้าวตรงไปข้างหน้า ทำการเก็บกู้กล่อง
เขาสะบัดมือนำดิสก์ค่ายกลออกมา และเริ่มจัดวางทุกประเภทของค่ายกลปกปิด ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก ค่ายกลยับยั้งกลิ่นอาย จากนั้นสุดท้ายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย
เป็นสองกล่อง
หนึ่งจากห้องสมุด อีกหนึ่งพึ่งได้จากใต้หอนาฬิกา
“นายยังลังเลอะไรอยู่อีก?” ซีน้อยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฉันว่าฉันรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าว
“แปลกยังไง?”
“ซีน้อย ในตอนที่เธอผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ และใช้พลังทั้งหมดของเธอไป จากนั้นถูกเทพวิญญาณหยุดเอาไว้ สุดท้ายถูกผนึกลง เป็นแบบนี้ใช่ไหม?”
“ก็ใช่”
“ก็ในส่วนนั่นแหละที่มันแปลก” กู่ฉิงซานพูดอย่างช้าๆ “ก็ในเมื่อเธอแข็งแกร่งกว่าเทพวิญญาณ และกระทั่งเธอเองก็ยังต้องทุ่มพลังทั้งหมดในการผนึกมอนสเตอร์ แต่ตอนนี้เทพวิญญาณได้หายไปแล้ว แล้วฉันจะสามารถผนึกมอนสเตอร์ตัวนั้นจากสิ่งประดิษที่เทพวิญญาณทิ้งเอาไว้ได้อย่างไร?”
ซีน้อยขบคิดอยู่พักหนึ่ง “บางทีในช่วงเวลาที่ฉันหลับใหล เจ็ดเทพปีศาจอาจจะบรรลุในขีดพลังของตนจนถึงจุดสูงสุด เพิ่มพูนอำนาจจนมากพอจะสามารถผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ลงได้อย่างง่ายดายแล้วก็ได้นะ”
“นั่นยิ่งไม่ถูกต้อง ก็ถ้าหากเทพวิญญาณครอบครองความแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น งั้นทำไมพวกเขาถึงได้เลือกที่จะจากไปล่ะ?”
กู่ฉิงซานกล่าว สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆ กลายเป็นร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้ ข้อมูลยังมีจำกัดอยู่ ฉันสามารถตั้งสมมติฐานได้เพียงสามข้อเท่านั้น”
“ข้อแรก เทพปีศาจทั้งเจ็ดยังไม่ตาย พวกเขาทรงพลังและสามารถผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ ถ้าอย่างงั้นทำไมถึงไม่ปรากฏกายขึ้นมาซะเองล่ะ? ถ้าเป็นในกรณีนี้ ฉันคิดว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจึงเลือกซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ดังนั้น สิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นนี้ แท้จริงย่อมต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีอำนาจในการผนึกมอนสเตอร์”
“ข้อสอง เจ็ดเทพปีศาจยังไม่ตาย แต่พวกเขาก็ยังเป็นเหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะผนึกมอนสเตอร์ตนนี้ลงได้”
“ข้อสาม เจ็ดเทพปีศาจได้ตายไปแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่อาจต้านทานบาปอันชั่วร้ายตนนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงอนุมานได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้มากไปกว่าเดิมเลย นั่นคือ พวกเขายังอ่อนแอกว่าเธอเหมือนเดิม”
“ถ้ามันเป็นในข้อแรก พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นข้อสองและสาม การดำรงอยู่ของสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นนี้ จะต้องมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อาจล่วงรู้ได้แน่ๆ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เปิดทั้งสองกล่อง
สิ่งประดิษฐ์เทวะ…สองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ถูกวางไว้ภายในอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ เหลืออีกแค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ภารกิจก็จะเสร็จสมบูรณ์
อ้างอิงตามที่มนุษย์แสงกล่าว มอนสเตอร์จะถูกผนึกอีกครั้ง และกู่ฉิงซานในฐานะผู้ถือครองสิ่งประดิษฐ์เทวะก็จะได้รับรางวัลสูงสุด เขาจะกลายเป็นกึ่งเทพ
แถมกู่ฉิงซานก็ยังล่วงรู้ถึงตำแหน่งของสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นที่สาม
หากสลับเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าพวกเขาคงจะกลายเป็นบ้า ออกไปวิ่งไล่ตามหาสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นสุดท้าย เพื่อเร่งผนึกมอนสเตอร์ไปแล้ว
ทว่ากู่ฉิงซานกลับมิได้ทำเช่นนั้น
เขายังคงเฝ้ามองสองสิ่งประดิษฐ์เทวะด้วยความกังวลเล็กน้อยบนใบหน้า
ซีน้อยเห็นว่าเขาดูผิดปกติไป เลยเอ่ยปลอบ “นายเป็นกังวลเรื่องอะไร? ไม่ต้องวิตกไปหรอก เทพวิญญาณน่ะมักจะจัดเตรียมรางวัลหรือสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย และในบรรดาของเหล่านั้น มันไม่มีอะไรเลย ที่เป็นสิ่งไม่ดีกับมนุษย์อย่างพวกนาย อันที่จริงพวกเขาต้องชื่นชมด้วยซ้ำ ที่นายสามารถผนึกมอนสเตอร์ลงได้”
“จะคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก ซีน้อย จำไม่ได้เหรอ ว่าเราไม่สมควรปล่อยให้โชคชะตาของตนเองไปตกอยู่ในกำมือของคนอื่น โดยเฉพาะกับเทพวิญญาณ”
“ฉันจำได้หรอกหน่า…”
กู่ฉิงซานกล่าวเสียงอ่อน “สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เทพวิญญาณคิดอยู่คืออะไรกันแน่ ฉะนั้น หลังจากที่เก็บรวบรวมสามสิ่งประดิษฐ์เทวะจนครบแล้ว พวกเราจะต้องหยุด”
“หยุด?”
“ใช่ พวกเราจะต้องหยุด เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และคิดให้ดี ให้มันมากกว่านี้อีกครั้งก่อนจะทำอะไรกับมัน”
………………..