บทที่ 361 ผู้อารักขา
เบลลัคสะดุ้งเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดนั่งยองๆ อยู่ข้างลูเซียน สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีเกล็ดอันงดงามที่ดูเหมือนคริสตัลเสียด้วย
“มังกรงั้นรึ” เบลลัคพลันรู้ได้ว่ามันคือตัวอะไรและนึกได้ว่าเจ้าแห่งพายุมีลูกศิษย์เป็นมังกร เขาจึงใจเย็นลง
อัลเฟอร์ริสเชยคางขึ้นแล้วส่งเสียงฮึ่มฮั่มอย่างหยิ่งยโส มันไม่อยากพูดกับเบลลัค
เมื่อเห็นสีหน้าหยิ่งผยองของอัลเฟอร์ริส ลูเซียนก็รู้สึกขำ เขาหันไปหาเบลลัคแล้วเอ่ยถาม “ค้นพบอะไรหรือไม่ เบลลัค”
“จากการไต่สวนรอบแรกของเรา นักเวทที่นำของต้องคำสาปมาให้ท่านไม่ทราบว่าของพวกนั้นคืออะไรจริงๆ พวกเขาต่างซื้อของขวัญเหล่านี้มาจากร้านของลอร์บัน แต่หลังจากที่ทางร้านขายของพวกนี้เสร็จ มันก็ไม่เคยเปิดอีกเลยขอรับ เราไม่รู้เลยว่าลอร์บัน เจ้าของร้านจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทว่า เราบอกได้ว่าความจริงคงจะซับซ้อนกว่าแค่กลุ่มคนไร้ความระมัดระวังที่สร้างของเหล่านี้ขึ้นโดยใช้วัตถุดิบพิเศษนี้เพราะเข้าใจผิดขอรับ”
แม้ว่านักเวทระดับสูงจะไม่สามารถแทรกแซงสมองของคนอื่นเพื่ออ่านหรือแก้ไขความทรงจำของคนคนนั้นได้ พวกเขาก็ยังใช้เวทมนตร์มายาเพื่อให้ได้รู้ในสิ่งที่ต้องการจากนักเวทระดับกลางและต้น
“ไม่รู้เลยว่าลอร์บันจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่…” ลูเซียนพึมพำทวนประโยคนั้น เขานึกสงสัยว่าลอร์บันถูกสังหารหลังจากถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือว่าเขาหนีไปในฐานะผู้วางแผนหลักกันแน่… ลูเซียนเชื่อว่าในกรณีเช่นนี้คงจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะอย่างแรกนั้นต้องอาศัยโชคและยังเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนมากเกินกว่าจะทำตามแผนชั่วร้ายนี้ได้สำเร็จ
เบลลัคพลิกกระดาษไปที่อีกหน้า ซึ่งมีเนื้อหาที่ยืนยันความคิดของลูเซียนอยู่ “ตอนนี้เราเชื่อว่าลอร์บันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้และรู้ตัวดีว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ ตามข้อมูลจากนักเวททั้งหลาย พวกเขาต่างถูกลอร์บันกระตุ้นตอนที่พวกเขาไปซื้อน้ำยาทั่วไปว่าพวกเขาควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านเพื่อที่ในอนาคตพวกเขาอาจจะได้ทำงานในสถาบัน นักเวทหลายคนเป็นลูกค้าประจำของร้านนั้น และก็เป็นลอร์บันที่แนะนำพวกเขาให้ซื้อของต้องคำสาปขอรับ”
“เป็นเช่นนี้…” ลูเซียนลูบคางอย่างครุ่นคิด “มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนผู้นี้หรือไม่”
อัลเฟอร์ริสดูท่าทางเบื่อหน่าย มันก้มตัวลงไปนอนกับพื้นและไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เบลลัคพลิกไปอีกหน้าแล้วกล่าวต่อ “ลอร์บัน เกิดในนครเรนทาโต อาณาจักรโฮล์ม ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ที่นี่มานับแต่รุ่นปู่ ความสามารถทางด้านเวทมนตร์ของเขาถูกค้นพบเมื่อมีอายุได้ยี่สิบปี เขาจึงถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนเวทมนตร์อัลลิน สี่ปีต่อมา เขาจบมาด้วยคะแนนค่อนข้างดีและกลายเป็นนักเวท เชี่ยวชาญทางด้านแสงสว่างและความมืด โหราศาสตร์ เวทธาตุ และแปรธาตุ หลังจากเลื่อนขึ้นเป็นระดับกลางไม่นาน ดวงจิตของเขาก็ได้รับความเสียหายหนักจนพังลงขณะออกไปผจญภัยนอกอัลลินครั้งหนึ่ง และเขาก็ไม่สามารถเลื่อนระดับได้อีกเลย นอกจากนี้เขายังไม่เก่งด้านอาร์คานาศาสตร์ ดังนั้นเขาจึงเริ่มเปิดกิจการร้านแปรธาตุในอัลลิน ลอร์บันอยู่ตัวคนเดียว เขาไม่มีลูก และบิดามารดาของเขาก็จากไปแล้ว เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด และไม่ค่อยมีสหาย ทว่า ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาเริ่มกลายเป็นคนใจเย็นลง อ่อนโยนขึ้น และเริ่มเข้ากับคนอื่นๆ ได้ เขาหายตัวไปเมื่อประมาณสองวันก่อนและเราก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ ขอรับ เราได้แจ้งเรื่องนี้ให้กับนักเวทระดับสูงผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ในแผนกลงทัณฑ์เพื่อดูว่าเราจะทราบอะไรเกี่ยวกับเขาได้บ้างในตอนนี้ ข้าคาดว่าเขาคงจะไปเข้าร่วมกับหน่วยพิทักษ์ราตรีแล้วขอรับ”
“เรามีวิธีการอื่นในการจัดการกับกรณีนี้หรือไม่” ลูเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย มันดูราวกับว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะจบลงเพราะว่าลอร์บันหายตัวไป
เบลลัคยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “เรายังพยายามระบุตำแหน่งที่ลอร์บันได้วัตุดิบพิเศษมาอยู่ขอรับ บางทีวิธีนี้เราอาจจะจับตัวสายลับได้เพิ่ม คณะกรรมการกิจการเป็นกังวลอย่างมากเรื่องความปลอดภัยของท่านอีวานส์ ดังนั้นข้าจะเป็นผู้อารักขาท่านตลอดสามเดือนหลังจากนี้เพราะในช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงอันตรายที่สุดสำหรับท่านขอรับ ภายในอัลลิน ท่านจะไปที่ไหนและทำอะไรก็ได้ตามใจ ท่านไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะตรวจตรารอบๆ และตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ท่านใช้ หากว่าท่านจะออกจากอัลลิน ได้โปรดบอกข้าล่วงหน้าด้วยนะขอรับท่านอีวานส์ ข้าจะได้รายงานให้คณะกรรมการคุ้มครองท่านนอกอัลลิน”
“ขอบใจนะ” ลูเซียนพยักหน้าเล็กน้อย อย่างน้อยคณะกรรมการกิจการก็ยังแสดงท่าทีที่เหมาะสม
ในขณะที่เบลลัคกำลังตรวจดูเครื่องมือเครื่องใช้ภายในห้องทำงาน จู่ๆ อัลเฟอร์ริสก็ยืนขึ้นมาจ้องมองลูเซียนด้วยดวงตากลมโตสีอำพัน “ข้าทำงานได้ดีกว่าเจ้านั่น! ข้าเป็นผู้อารักขาให้ท่านได้! หากว่าท่านจะมอบแหวนมงกุฎแห่งโฮล์มแสนงดงามให้ข้า ท่านจะมีข้าคอยปกป้องตลอดสิบปี! ข้าทำตามพันธสัญญาล่าสุดเสร็จแล้ว ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยขอรับ นายท่าน!”
“ข้าจำได้ว่า… เจ้าเคยบอกว่าแหวนมงกุฎแห่งโฮล์สามารถซื้อตัวเจ้ามาเป็นผู้อารักขาได้หนึ่งร้อยปีนะ” ลูเซียนยิ้มกริ่ม
อัลเฟอร์ริสประหลาดใจเล็กน้อย มันกรอกตาไปมา “ข้าพูดเช่นนั้นรึ… ตอนนั้นข้าไม่ใช้ความคิดให้ดีสักเท่าไรนะขอรับ… นายท่าน เร็วๆ นี้ท่านก็จะได้รับแหวนมงกุฎแห่งโฮล์วงใหม่แล้ว ไหนจะเครื่องรางจากบัลลังก์นิรันดร เหรียญน้ำแข็งและหิมะ เหรียญจันทราสีเงิน…” เมื่ออัลเฟอร์ริสกล่าวมาถึงตรงนี้ ปากของมันก็เริ่มมีน้ำลายไหลย้อยออกมาอีกครั้ง “ท่านเพียงมอบแหวนให้ข้าหนึ่งวง จากนั้นท่านก็จะได้รับมังกรหนึ่งตัว! มังกรที่สามารถต่อสู้ ทำอาหาร เล่นกับท่าน และทำการทดลองบนตัวมันได้! คุ้มจะตาย!”
“นี่คือเกียรติยศของข้า… ข้าไม่สามารถใช้เกียรติยศของข้าซื้อเจ้าได้หรอก…” ลูเซียนพูดด้วยท่าทางที่แสร้งจริงจัง “อีกอย่าง อุปกรณ์เวทมนตร์เหล่านี้ก็มีมนตราคาถาระดับสูงอยู่ด้วย ข้าต้องสวมพวกมันเพื่อปกป้องตัวเอง”
“ข้ามีประโยชน์กว่าของพวกนั้นเสียอีก! ข้ารู้วิธีร่ายคาถาเวทมนตร์ระดับสูง และข้าก็ต่อสู้ทางกายภาพได้ด้วย!” อัลเฟอร์ริสพยายามขายตัวเองอย่างหนัก “ข้าใช้เวทมนตร์จำพวกที่ส่งผลต่อวิญญาณและจิตใจได้เก่งมากๆ แล้วก็เวทที่ใช้กับดวงจิตคนคนหนึ่งด้วย!”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้นนะ บางทีหลังจากที่ข้ากลายเป็นผู้วิเศษหรือนักเวทระดับตำนาน และตอนที่ของพวกนี้กลายเป็นเพียงของสะสม ข้าอาจพิจารณาให้เจ้ายืมแหวน เครื่องราง และเหรียญทั้งหลายสักสองสามร้อยปีก็ได้” ลูเซียนพยายามล่อลวงอัลเฟอร์ริสในขณะที่ให้สัญญาที่ไม่ได้หนักแน่นอะไรกับมังกรตัวน้อย
“สองสามร้อยเลยหรือ” ดวงตาของอัลเฟอร์ริสพลันเปล่งประกาย สำหรับมังกรน้อยอย่างอัลเฟอร์ริสที่ยังเยาว์วัยนัก ข้อเท็จจริงที่ว่ามันสามารถเก็บของล้ำค่าไว้กับตัวได้ถึงหนึ่งถึงสองร้อยปีนั้นนับว่าล่อใจอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ลูเซียนยังไม่ได้บอกอีกด้วยว่ามันสามารถขอยืมของเหล่านี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
อัลเฟอร์ริสกระแอมไอ แล้วพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างปั้นแต่ง “แม้ว่าท่านจะกลายเป็นผู้วิเศษได้แน่ๆ แต่ข้าก็ต้องรออีกตั้งหลายปี คำสัญญาของท่านนั้นเลื่อนลอย ข้าไม่ใช่มังกรโง่นะ”
โทนเสียงที่อัลเฟอร์ริสใช้นั้นคล้ายกับเฟอร์นันโดมากทีเดียว
“ข้าไม่ได้สัญญาเพื่อสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ หรอกนะ ข้าจะมีค่าตอบแทนให้ทุกเดือน” ลูเซียนบอก เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าตอนนี้เขาค่อนข้างร่ำรวยทีเดียว ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบสำหรับการทดลองครอบคลุมอยู่ในทุนของสถาบันแล้ว และส่วนแบ่งกำไรรายเดือนจากโฮล์มการแร่และการเกษตรก็ใกล้จะถึงสามพันแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้น หลังจากกลายเป็นจอมเวทระดับสูง ลูเซียนก็ได้รับสามร้อยแปดสิบคะแนนอาร์คานาจากสภาเวทมนตร์ และลูเซียนก็ยังมีรายได้จากเจตจำนงแห่งธาตุอีกสามร้อย บวกกับหนึ่งพันห้าร้อยคะแนนอาร์คานาที่ลูเซียนจะได้จากคณะกรรมการพิจารณาอาร์คานา รายได้ของเขาจึงไม่น้อยหน้านักเวทระดับสูงส่วนใหญ่เลย
ลูเซียนกำลังจะได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดอีกสองสามรายการ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์อะไรในช่วงนี้ และเพราะเหตุนี้ รายจ่ายจึงลดลงไปมากโข แม้ว่าเขาจะจ้างมังกรตัวหนึ่ง ลูเซียนก็ยังมีเงินมากพอสำหรับพิธีกรรมระดับสูงและการสร้างหอคอยเวทมนตร์ของตนเองในอนาคต
“ตัวข้าแพงนะขอบอก” อัลเฟอร์ริสย้ำ จากนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาเลียมือลูเซียนโดยใช้พละกำลังปานกลาง “นายท่าน ท่านจะจ่ายให้ข้าเท่าไรหรือขอรับ”
“สองพันธาเลทุกเดือน เวลาที่ข้าไม่ได้ออกจากอัลลินไปไหนและตอนที่ข้าไม่ใช้เจ้าเป็นหนูทดลอง เจ้าจะมีอิสระทำอะไรก็ได้ เจ้าจะได้ไปหาเหรียญทองวิบวับจากคนอื่นๆ เพิ่มได้หากเจ้าต้องการ” โทนเสียงของลูเซียนฟังดูล่อลวงใจอย่างยิ่ง
“จริงหรือ แล้วข้าก็ขอยืมแหวน เครื่องราง กับเหรียญของท่านได้เมื่อท่านเลื่อนขึ้นเป็นผู้วิเศษใช่หรือไม่ขอรับ!” ดวงตากลมโตของอัลเฟอร์ริสเปล่งประกายวิบวับ แล้วมันก็กระชากกระดาษหนังออกมาจากใต้หน้าท้องพลางกล่าวว่า “นายท่าน เรามาลงชื่อทำสัญญาหนึ่งร้อยปีกันเถอะ!”
ลูเซียนดีใจมาก มันคุ้มค่าเงินที่เขาจะต้องจ่ายให้เจ้ามังกรที่ระดับมายาศาสตร์คงจะสูงเทียบเท่าระดับเจ็ดเป็นผู้อารักขาของเขา!
“หากเจ้าไม่ว่าอะไร… ข้าขอจ่ายเป็นคะแนนอาร์คานาได้หรือไม่” ลูเซียนถาม เขาเดาเอาว่าอัลเฟอร์ริสคงจะอยากได้เหรียญกับอันญมณีที่เปล่งประกายมากกว่า
“คะแนนอาร์คานาหรือ ไม่มีปัญหาขอรับ! ข้าสามารถนำคะแนนไปซื้ออันญมณีและคริสตัลที่ข้าชอบได้!” ราวกับเล่นมายากล อัลเฟอร์ริสดึงเหรียญตราเวทมนตร์ที่มีวงแหวนเจ็ดวงออกมา และพร้อมกันนั้น มันก็จ้องมองลูเซียนด้วยความมึนงง “ท่านไม่ชอบใช้คะแนนอาร์คานาหรือขอรับ มันออกจะสะดวก!”
ลูเซียนรู้สึกเหมือนตนค่อนข้างล้าสมัย
หลังจากลงนามในสัญญา อัลเฟอร์ริสก็เลียกระดาษหนังและพับเก็บอย่างดี ก่อนที่มันจะเอ่ยด้วยเสียงแหลมเล็กเหมือนเด็กน้อย “นายท่าน ทีนี้ข้าต้องขอตัวไปทำตามสัญญาก่อนให้เสร็จสิ้นก่อนนะขอรับ”
“แต่เจ้าบอกว่า…” ลูเซียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“เกือบแล้ว เกือบแล้วขอรับ! ไม่เกินห้าวัน!” อัลเฟอร์ริสกระพริบตาปริบๆ และโบกอุ้งมือไปมา ภายในเสี้ยววินาที อัลเฟอร์ริสก็วิ่งออกไปจากห้องทำงานของลูเซียนแล้วเรียบร้อย
ลูเซียนยืนอยู่เช่นนั้น พลางลูบคางด้วยท่าทางครุ่นคิด
…
สามวันต่อมา
ลูเซียนได้รับสารจากเจตจำนงแห่งธาตุว่าเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมที่จัดขึ้นในหอคอยเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์มเพื่อหารือกันเรื่องรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม และพวกเขาก็ได้แจ้งว่าให้เขาเดินทางไปที่หอคอยเวทมนตร์ผ่านมามิติพิเศษของแฮททาเวย์
“ท่านอีวานส์ขอรับ เพื่อความปลอดภัย ข้าต้องติดตามไปด้วยขอรับ” เบลลัคกล่าว
ลูเซียนพยักหน้ารับ เขากับเบลลัคมาถึงชั้นสูงสุดของภายในหอคอยเวทมนตร์ขององค์กรเจตจำนงแห่งธาตุประจำเมืองอัลลิน จากนั้นจึงเปิดใช้งานวงแหวนเวท แสงสลัวค่อยๆ เปล่งประกาย
หลังจากรู้สึกวิงเวียนอยากอาเจียน ลูเซียนกับเบลลัคก็มาถึงดินแดนที่ดูราวกับจะถูกท้องฟ้าที่มีดวงดาวดารดาษโอบล้อมไว้ ดวงดาวเหล่านั้นถูกย้อมด้วยสีสันมากมาย ดูเหมือนกับธาตุนานาชนิด จากบนลงล่าง ดินแดนนี้มีทั้งสีเขียว เหลือง แดง ทอง และอื่นๆ อีกมากมาย
ไม่ไกลจากพวกเขา มีหอคอยสูงเสียดฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มันคือหอคอยของแฮททาเวย์ เจ้าแห่งธาตุ
ลูเซียนกับเบลลัคไม่มีเวลามาชื่นชมทัศนียภาพชวนลืมหายใจภายในมิติพิเศษนี้ พวกเขาเดินไปยังอีกฝั่งหนึ่งของหอคอยเวทมนตร์แล้วเปิดใช้งานวงแหวนที่ตรงนั้น
เมื่อแสงสว่างเลือนหายไปและพวกเขากลับมาเห็นทุกอย่างตรงหน้าได้อีกครั้ง พวกเขาก็มาอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอยเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์มแล้วเรียบร้อย