บทที่ 394 ต่างคนต่างมีแผน
แม้ว่าเจ้าหญิงโซเฟียจะชอบเข้าสังคม แต่ในฐานะเจ้าหญิงผู้มีการศึกษาสูง นับได้น้อยครั้งมากที่นางจะหัวเราะออกมาเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าโซเฟียกำลังรู้สึกสนุกสนานไปกับกลลวง ขุนนางที่เหลือต่างก็อิจฉาเป็นอันมาก พวกเขาพากันสงสัยว่าโบลัคบอกอะไรกับนางและทำไมนางถึงดูมีความสุขนัก
โซเฟียต้องใช้เวลาอยู่สองสามวินาทีเพื่อหยุดหัวเราะ แล้วก็กระพริบตาสีเขียวอันงดงามของนาง “โบลัค ท่านน่าสนใจมาก น่าสนใจกว่าที่ข้าคิดไว้”
สมัยที่เจ้าหญิงเพิ่งเริ่มเข้าสู่แวดวงสังคม โบลัคก็เคยหัวเสียที่เขาไม่ได้ตกเป็นที่สนใจอีกต่อไป เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหญิงผู้สง่างามและสูงส่ง ในฐานะทายาทที่สิ้นหวัง โบลัคไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเข้าไปหา แม้เขาจะรู้ว่าการสมรสกับเจ้าหญิงจะยิ่งทำให้สถานะของเขามั่นคงขึ้น
ดังนั้น โซเฟียจึงไม่ได้ประทับใจอะไรในตัวโบลัค ทั้งความเศร้าสร้อย ความเงียบขรึม และไม่มีหวังที่เขาจะได้ขึ้นเป็นดยุกแห่งกอร์สคนต่อไป
ลูเซียนโค้งตัวลงคำนับเจ้าหญิง “ขอบพระทัยสำหรับความเห็นอันงดงามมากพะยะค่ะ ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเอง ลูเซียนก็รู้สึกได้ว่าหญิงชราที่ยืนอยู่ด้านหลังโซเฟียยังอาปากค้างอยู่เล็กน้อย แล้วเจ้าหญิงก็ส่งยิ้มอีกครั้ง โซเฟียยกชายกระโปรงขึ้นและโน้มตัวมาหา นางกระซิบที่หูของลูเซียนต่อหน้าธารกำนัล และลูเซียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวานจากลมหายใจของนาง
“ท่านนี่เก่งกว่าขุนนางพวกนั้นที่คอยแต่จะห่ำหันกันและมัวเมากับชีวิตหรูหรา พวกนั้นน่าเบื่อจะตาย ข้าหวังว่าท่านจะไม่เหมือนพวกนั้น”
ลูเซียนประหลาดใจมาก อยู่ๆ เจ้าหญิงก็มาตีสนิทกับเขา เขาเป็นคนระมัดระวังตัวสูงโดยธรรมชาติ ฉะนั้น ลูเซียนจึงไม่เชื่อว่าเจ้าหญิงจะตกหลุมรักเขาง่ายๆ เช่นนี้
ต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอยู่เบื้องหลัง แต่มันคืออะไรล่ะ?
หญิงชราคนนั้นได้บอกกับเจ้าหญิงว่าโบลัคกลายเป็นอัศวินแล้วหรือยัง? บางที เจ้าหญิงอยากมีส่วนในการเลือกสรรดยุกคนต่อไปของตระกูลกอร์สเพื่อให้สามารถควบคุมตระกูลเชื้อพระวงศ์ได้ดียิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ?
แม้ลูเซียนจะมีความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว เขาก็แสร้งทำเป็นเหนียมอายและตื่นเต้น เขาพยักหน้าหนักๆ และพูดเสียงแผ่วเบาข้างๆ หูของเจ้าหญิง “กระหม่อมจะเป็นอย่างที่กระหม่อมเป็น ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
การตอบรับของลูเซียนเป็นเหตุผลให้เขายกตัวเองเป็นนักแสดงชั้นดี ตอนที่เขาพูด เขาหายใจหนักๆ และร้อนผ่าว ลมหายใจของเขาสัมผัสเข้าที่ติ่งหูของเจ้าหญิง จนบริเวณหูและลำคอของเจ้าหญิงแดงระเรื่อ
ในฐานะนักแสดงมากประสบการณ์ ลูเซียนมั่นใจว่าเจ้าหญิงไม่ได้ตกหลุมรักโบลัค
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ลูเซียนคิดไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขุนนางหลายต่อหลายคนกำลังจับจ้องลูเซียนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
โซเฟียปล่อยชายกระโปรงของนางลง และพยายามยิ้มอย่างจริงใจแต่เป็นกันเอง “ข้าดีใจที่ได้รู้จักท่านดีขึ้น โบลัค”
ก่อนที่ลูเซียนจะตอบอะไร นางก็มองไปที่เดนิซและชิงพูดขึ้น “ข้ามีเรื่องจะขอท่านหน่อย เดนิซ”
“เราไปที่ห้องแต่งตัวเถอะเพคะ” เดนิซควงแขนเจ้าหญิงและเดินนำนางออกจากห้องโถงไป เขาเองก็อยากรู้ว่าโบลัคพูดอะไรกับโซเฟีย
ลูเซียนหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะมองเจ้าหญิงจากด้านหลัง เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า เมื่อหันกลับไป เขาเห็นว่าหญิงชราในชุดสีดำกำลังจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น
เขาพยักหน้าให้หญิงชรา แต่กลับได้รับสายตาที่เยือกเย็นยิ่งกว่าตอบกลับ พวกขุนนางกระจายตัวออกจับกลุ่มย่อยๆ หลังจากเจ้าหญิงจากไป และลูเซียนก็ได้ยืนอยู่เพียงลำพัง
บางคนพยายามสนทนากับโบลัค แต่ก็เป็นเพียงการทักทายอย่างเป็นกันเองเท่านั้น ลูเซียนถูกมองข้ามหัว โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอาร์เธนซึ่งกำลังสนทนาอย่างออกรสออกชาติกับกลุ่มของเขา
เมื่อหยิบแก้วเหล้าโกลด์รัม ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่โบลัคโปรดปราน ลูเซียนก็พยายามวางท่าทางให้ดูเป็นผู้ดียิ่งขึ้น
“โบลัค เจ้าเปลี่ยนไปมาก”
ขณะลูเซียนกำลังจิบเหล้าเข้าปากอึกแรก เสียงของผู้หญิงที่อ่อนหวานคนหนึ่งก็พูดกับเขา
นางคือโจเซลีน
ลูเซียนเห็นว่าอาร์เธนกำลังถูกห้อมล้อมโดยกลุ่มขุนนางหนุ่ม หัวเราะ และพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อย เขาหันกลับไปยิ้มให้โจเซลีน “เมื่อคนเราสิ้นหวัง ก็ต้องมองหาการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะทำให้มีความหวังใหม่ ข้าไม่มีอะไรต้องเสีย และข้าไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง”
ลูเซียนค่อนข้างพอใจกับคำตอบที่คลุมเครือของเขา
“ถ้า… ข้าหมายความว่าถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ปีก่อน ข้าคงไม่…” โจเซลีนถอนหายใจ แต่นางก็ไม่พูดให้จบประโยค แล้วก็หันหลังกลับไป รูปร่างของโจเซลีนดูสมส่วนมากทีเดียว
ขณะวนเครื่องดื่มสีทองในแก้ว ลูเซียนคิดกับตัวเองว่าถ้าโบลัคตัวจริงอยู่ที่นี่ เขาคงสงสารนางเพราะสิ่งที่นางพูด แต่ไม่ใช่กับลูเซียน เมื่อทั้งสองอยู่ในปราสาทใต้ดิน ลูเซียนก็จะทำในสิ่งที่เขาควรทำ
เขาถือแก้วไว้ในมือและเดินเล่นไปรอบๆ ห้องโถง เขาเห็นสาวสวยผมทองในชุดสีดำคนหนึ่งเดินมาหาเขา สาวสวยผมทองคนนี้มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มและดูคล้ายๆ กับโบลัค
“ญาติข้า ดีใจที่เจอเจ้าที่นี่” สาวสวยผู้นี้ชนแก้วกับโบลัคเบาๆ
“ข้าคิดว่าเจ้าคงดีใจที่ถึงในคู่แข่งหายไปสินะ แคลร์” ลูเซียนตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
แคลร์ วอน อันจู เป็นลูกพี่ลูกน้องของโบลัค อัศวินหญิง และก็เป็นทายาทที่เข้าแข่งขันสู่ตำแหน่งดยุก ในประเทศส่วนใหญ่ เนื่องจากทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถกลายเป็นอัศวินได้ ผู้หญิงก็จึงได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งเช่นกัน
“ไม่ ถ้าไม่มีเจ้า โบลัค ข้าคงเป็นเป้าหมายของอาร์เธน ข้ารู้ว่าคงรับมือเขาไม่ไหว” แคลร์ยิ้ม “เขาหลงตัวเองและก้าวร้าวเกินไป ถ้าเขาเป็นผู้ชนะ คงเป็นข่าวร้ายของเราทุกคน เขาคงไม่ปล่อยให้พวกเราอยู่อย่างสงบสุขแน่ๆ ถ้าเทียบกันจริงๆ แล้ว ข้ายอมให้เจ้าเป็นเคานต์เนตรทองดีกว่า”
“แล้ว เจ้าอยากจะบอกอะไร?” ลูเซียนยิ้มอย่างมั่นใจราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
แคลร์ยิ้มกว้าง “เราร่วมมือกันและให้บทเรียนกับอาร์เธนในปราสาทใต้ดิน หลังจัดการปัญหาใหญ่สุด เราค่อยมาแข่งกันอย่างเป็นธรรม เจ้าคิดอย่างไร?”
“ก็ยินดีนะ” ลูเซียนตอบเรียบๆ โดยไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจัดการกับอาร์เธน
เมื่อเห็นว่าโบลัคไม่ได้ใส่ใจกับการแข่งหลังจากนั้นแม้แต่น้อย ในความคิดของนาง แคลร์กลับค่อนข้างเป็นกังวล นางไม่รู้ว่าทำไมโบลัคถึงดูมั่นใจนัก ก่อนที่จะหันหลังและจากไป แคลร์ยื่นมือซ้ายของนางมาจับมือลูเซียน และนิ้วมือของนางก็สะกิดฝ่ามือของลูเซียนเบาๆ เสียงของนางต่ำลงและยั่วยวน “ไม่ว่าใครจะชนะในที่สุด เราก็ยังมีค่ำคืนที่สนุกร่วมกันได้นะ”
“แคลร์…” ลูเซียนข้างประหลาดใจ
นางยิ้มอย่างเจนโลก “อย่าแกล้งโง่เลย โบลัค เจ้ายังเคยนอนกับชู้รักของพ่อเจ้า และข้าก็เป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง ถ้าเจ้าปลุกพลังโลหิต ‘ตะวัน’ ได้ เราก็แต่งงานกันได้”
พลังโลหิตที่เรียกว่า ‘ตะวัน’ ต้องการเลือดบริสุทธิ์ ฉะนั้นในจักรวรรดิหลายแห่ง เป็นเรื่องปกติมากที่ญาติสนิทจะแต่งงานกัน เช่น ตระกูลราฟาติแห่งราชรัฐไวโอเล็ต และตระกูลกอร์สก็ไม่ยกเว้น
เมื่อยืนหันหลังให้ลูเซียน รอยยิ้มบนใบหน้าของแคลร์ก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง
ลูเซียนส่ายศีรษะเบาๆ แม้จะไม่รู้ว่านางต้องการอะไรจากเขา แต่เขาก็รู้ตัวเองชัดเจนว่าสิ่งที่เขาต้องการต่างจากคนอื่น หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ขณะที่ลูเซียนเดินไปใกล้กับระเบียงนอกชาน ชายผมทองคนหนึ่งก็โผเข้ามาหาเขาและชวนเขาออกไปคุยที่นอกชาน
“ไง เรล์ฟ?” ลูเซียนถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
เรล์ฟเป็นผู้มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งอีกคนของตระกูล เขาค่อนข้างหน้าตาดี แต่ยังไม่สามารถปลุกพลังโลหิตได้
ท่ามกลางสายลมเย็นยะเยือก เรล์ฟมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดแต่ก็ตื่นเต้น “โบลัค ข้าอยากร่วมมือกับเจ้าเล่นงานอาร์เธน เขาทรงพลังเกินไป ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน พวกเราคงไม่มีโอกาสชนะ”
“ก็ดี” ท่าทีของลูเซียนยังคงดูคลุมเครือ
“ข้ารู้ว่าพ่อของเจ้าเป็นใคร เขาเป็นน้องชายคนเล็กสุดของดยุก และถ้ารู้ว่าเจ้าต้องได้อุปกรณ์เวทมนตร์วิเศษหรือน้ำยาเวทมนตร์จากเขา เจ้าไม่เห็นประโยชน์จากข้าใช่ไหม?” เมื่อเห็นท่าทีของลูเซียน เรล์ฟก็ชักหงุดหงิด “รู้ไว้ ข้าปลุกพลังโลหิต ‘ตะวัน’ สำเร็จแล้ว!”
“อะไรนะ? ตะวัน?” ลูเซียนก็ประหลาดใจอีกครั้ง
เรล์ฟมองกลับไปก่อนที่จะหันไปรอบๆ “นี่แหละอาวุธเด็ดของข้า และข้าบอกเจ้าเพื่อแสดงความจริงใจ”
ตอนที่เขาพูด มีรัศมีแสงตะวันปรากฏขึ้นในมือเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้
“ข้าดีใจที่เจ้าอยู่ข้างข้า” ลูเซียนพูดตามคำพูดของแคลร์ “คู่แข่งสำคัญของเราคืออาร์เธน เราต้องจัดการเขาก่อน แล้วค่อยมาตัดสินกันว่าใครคือผู้ชนะ”
“ดี เจ้าเข้าใจชัดเจนดี ข้าต้องไปก่อน ไม่งั้นอาร์เธนอาจเห็นเรา…” เรล์ฟพูด “แต่ว่า ระวังแคลร์ไว้ด้วย ดูเหมือนนางจะเกี่ยวข้องกับตระกูลราชวงศ์”
“เข้าใจแล้ว” โบลัคพยักหน้าอย่างจริงจัง
ทันทีที่เรล์ฟเดินจากไป สีหน้าของลูเซียนก็ดูผ่อนคลายลง ในฐานะจอมเวทและนักเวทอาวุโส และสมาชิคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา ลูเซียนรู้ว่าพลังที่เรล์ฟใช้เพื่อแผ่รัศมีแสงตะวันไม่ได้มาจากพลังโลหิตของเขา! ชัดเจนว่าเรล์ฟเองก็มีแผนของเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ลูเซียนไม่ได้ใส่ใจ เขารู้ดีว่าไม่มีขุนนางคนไหนทำให้เขาต้องกังวลได้
….
ในห้องอ่านหนังสือของคฤหาสน์ตระกูลกอร์ส ดยุกผู้ชรากำลังอ่านรายงานอย่างใจจดใจจ่อ ผมส่วนหนึ่งของเขาหงอกขาว
“ความโลภ… ปีศาจความโลภ…” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนหน้าของดยุกผู้ชรา เฟรดเดอริกซึ่งเป็นหนึ่งในองครักษ์พิทักษ์โบลัค กำลังยืนอยู่ต่อหน้าดยุกชราผู้นี้
เฟรดเดอริกพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าอ่านพบในกระดาษหนังและก็ได้ยินมากับหูตัวเองขอรับใต้เท้า”
“ดี ครั้งนี้เจ้าจะได้ลงไปที่ปราสาทใต้ดินด้วย ด้วยพลังคุ้มครองที่มองไม่เห็น เจ้าต้องควบคุมทุกอย่างให้ได้” ดยุกกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ขอรับใต้เท้า” เฟรดเดอริกตอบด้วยความเคารพอย่างสูง
หลังเฟรดเดอริกจากไป ร่างหนึ่งในเสื้อคลุมยาวสีดำก็ก้าวออกมาจากเงามืดของมุมห้อง “ทำไมท่านถึงส่งมันไปที่นั่น? ท่านกำลังช่วยโบลัค ท่านเปลี่ยนใจแล้วและต้องการให้โบลัคเป็นผู้ชนะหรืออย่างไร?”
ดยุกเพียงแค่แสยะยิ้ม สายตาของเขาจับจ้องที่คำว่า ‘ความโลภ’ ในรายงาน