บทที่ 377 อารยธรรมที่หายสาบสูญ
ภายในถ้ำมืดมาก แสงสลัวๆ เดียวที่ลูเซียนมองเห็นก็คือตะไคร่น้ำเรืองแสง อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังโลหิตแสงจันทร์ ซึ่งศาสนจักรเรียกว่า ‘พร’ ของเขา ลูเซียนสามารถมองเห็นวัตถุต่างๆ ภายในความมืดได้เป็นอย่างดี
ภายในนัยน์ตาสีดำของลูเซียน มีรูปร่างที่ขมุกขมัวของแองวูดส์เต้นเร่าวูบวาบไปมาราวกับเปลวเทียนซึ่งกำลังจะมอดลง และในที่สุด มันก็ถึงจะจุดจบ
“ใต้เท้า… กลับดีไหมขอรับ?” ลูเซียนพูดทวนคำด้วยเสียงแผ่วเบา นี่คือสิ่งที่เขาพบอยู่ภายในความทรงจำสุดลึกสุดของแองวูดส์ ยกเว้นความโกรธและความเกลียดที่ไม่มีประมาณ
เมื่อลูเซียนพบข้อมูลนี้ในความทรงจำของแองวูดส์ เขาสัมผัสได้ถึงความเคารพและความตื่นเต้นสุดขีดของแองวูดส์
ลูเซียนสงสัยว่าอาจเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในโลกแห่งวิญญาณ หากผู้เป็นอมตะฟื้นขึ้นและกลับมาอีกครั้ง
แน่นอน ใต้เท้าที่แองวูดส์หมายถึงไม่มีทางเป็น ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของศาสนจักร ซีน่าจะเป็นพระเจ้าที่เป็นที่ศรัทธาของปีศาจระดับสูงในโลกแห่งวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ลูเซียนไม่รู้ว่านั่นคือพระเจ้าที่แท้จริงหรือเป็นเพียงตัวแทนนำมาทำรูปแบบหนึ่งเท่านั้น หรือเป็นเหมือนกับบรรพบุรุษของแวมไพร์ ‘อัลเทอร์นา’
อำนาจของลูเซียนในการอ่านความคิดผู้อื่นยังไม่ใกล้เคียงกับพลังของธานาทอส ดังนั้น เขาจึงสามารถเข้าถึงเพียงข้อมูลที่คลุมเครือนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือเขาต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง มิฉะนั้น เหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นกับโลกหลักอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ด้วยข้อมูลที่ลูเซียนได้จากแองวูดส์ เขาก็ยิ่งมั่นใจในคำพูดไรน์มากยิ่งขึ้น แต่ว่าลูเซียนจะไม่ฝืนตัวเองให้ทำภารกิจทั้งหมดให้ลุล่วงเพื่อช่วยโลก เขายังเป็นเพียงนักเวทชั้ินอาวุโส และปัญหานี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความร่วมมือจากกลุ่มนักเวทชั้นตำนาน เมื่อถึงคราวจำเป็น ลูเซียนจะรีบรายงานเรื่องนี้แก่สภาสูงสุดในทันที
นอกจากนี้ ลูเซียนยังได้รู้ว่าเฟลิเปเป็นคนอัญเชิญผีร้ายตนนี้มา และตอนนี้เฟลิเปยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของโลกแห่งวิญญาณ และแหล่งที่มาที่อัญเชิญปีศาจ ในความทรงจำส่วนลึกที่สุดของแองวูดส์ ยังมีความรู้สึกรังเกียจความเย่อหยิ่งของเฟลิเป และยังหวังว่าปีศาจระดับสูงอีกตนหนึ่งที่ชื่อ ‘อะดอล’ จะลงเอยด้วยการถูกทรมานและสังหารโดยผู้วิเศษชั้นตำนาน
ตามข้อมูลทั่วไปที่เขาได้รับ ลูเซียนสันนิษฐานว่า จริงๆ แล้ว ‘กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวา’ รู้ถึงการมีอยู่ของโลกแห่งวิญญาณ แต่พวกเขาเลือกที่จะเก็บข้อมูลนี้ไว้เป็นความลับเพื่อการสำรวจมิติดังกล่าวด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม มีเพียงผู้วิเศษชั้นอาวุโสเท่านั้นที่สามารถเข้าไปใช้ได้
มวลเปลวไฟสว่างจ้าปรากฏขึ้นบนขวามือของลูเซียนและเผาทำลายเศษซากของแองวูดส์จนไม่เหลือ หลังจากนั้น ลูเซียนลบร่องรอยการต่อสู้ในถ้ำออกทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจระดับสูงตนอื่นค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
เมื่อจัดการสถานที่เสร็จเรียบร้อย ด้วยข้อมูลจาก ‘เนตรสอดแนม’ ลูเซียนก็เดินหน้าลงไปใต้ดินต่อ
ท่ามกลางความมืดมิดที่มีแสงส่องประกายเป็นจุดๆ ลูเซียนเดินอยู่ในเขาวงกตใต้ดินเป็นเวลานานกว่าสิบนาที จนในที่สุดลูเซียนก็รู้สึกว่าอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละน้อยๆ และเขาก็ได้ยินเสียงแม่น้ำกำลังไหลเชี่ยว
ลูเซียนรู้ว่าเขาใกล้จะเข้าถึงนครโบราณใต้พิภพของคนแคระเต็มที เขายิ่งระวังตัวมากยิ่งขึ้น
เมื่อเลี้ยวออกจากทางแคบๆ ด้วยความระมัดระวังสูงสุด สิ่งที่เห็นทำให้ลูเซียนต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง
ฉากที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือโถงทางเดินขนาดใหญ่ ความสูงประมาณเจ็ดหรือแปดเมตร และกว้างประมาณยี่สิบหรือสามสิบเมตร พื้นและผนังทั้ง 2 ด้านสร้างขึ้นจากอิฐหินสีเทาขนาดใหญ่ และมีเสาสีดำเรียงรายอยู่ตรงกลาง ค้ำยันผนังไว้ ด้วยเสาต่างๆ นี้ โถงทางเดินถูกแบ่งออกเป็นสามเส้นทาง เมื่อมองพิจารณาทางเดินเหล่านั้น ความโอ่อ่าสง่างามทำให้ลูเซียนรู้สึกประทับใจ เนื่องจากโถงทางเดินใต้ดินยังยิ่งใหญ่อลังการถึงเพียงนี้ เขาสงสัยเหลือเกินว่านครแห่งคนแคระจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?
ตามข้อมูลจากบันทึกในประวัติศาสตร์ คนแคระในยุคโบราณไม่มีเวทมนตร์ และไม่มีพลังโลหิตอันยิ่งใหญ่!
ตะไคร่น้ำเรืองแสงที่กระจายตัวไปทั่วทั้งสองข้างของกำแพงเปล่งแสงสลัวๆ ตลอดโถงทางเดิน ภายใต้แสงสลัวนั้น ทุกอย่างดูมืดมัวราวกับความฝัน ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ซึ่งเป็นที่พำนักของความเงียบและความมืด ลูเซียนรู้สึกว่าพวกซากศพอาจผุดขึ้นมาจากพื้นดิน หรือภูตผีวิญญาณอาจลอยออกมาตอนไหนก็ได้
หลังจากตรวจสอบโดยรอบด้วยสายตาแล้ว ลูเซียนก็ก้าวลงไปบนโถงทางเดิน แม้เขาจะพยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุด เสียงฝีเท้าของเขาก็ยังคงสะท้อนแล้วดังกึกก้องไปทั่วพื้นที่อันว่างเปล่า ขณะที่เขาเดินไปบนโถงทางเดินหิน
ลูเซียนเรียกใช้พลังจากพลังโลหิตและเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ ตอนนี้เสียงฝีเท้าของเขาเบาจนไร้เสียง และลูเซียนก็มุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ควบคุมให้อยู่ในระยะการตรวจสอบของดวงตาสอดแนมทั้งเก้า
โถงทางเดินทั้งสองข้างมีรางโลหะสีดำทอดยาว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรางสำหรับพาหนะพิเศษสำหรับขนส่งสินค้า ลูเซียนเร่งความเร็ววิ่งไปตามราง จนในที่สุดเขาก็มาถึงทางออกจากโถง
ลูเซียนชะลอฝีเท้าลง และจากภาพที่เนตรสอดแนมส่งกลับมาถึงเขา เขาก็สามารถเห็นว่าตรงข้างหน้ามีอาคารสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างไว้ตั้งอยู่หลังหนึ่ง
ถ้ำดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ สิบกว่าห้องด้วยผนังหินและเสาค้ำยันหลังคา บ้านหินหลังใหญ่ในสภาพใกล้พังเต็มไปด้วยวัชพืช อยู่เหนือพื้นถนนที่ไม่ได้ถูกใช้งานมานานหลายพันปี
สิ่งที่ทำให้ลูเซียนรู้สึกกังวลใจอยู่บ้างก็คือบ้านหินเหล่านั้นมีท่อโลหะเชื่อมถึงกันจำนวนมาก ซึ่งยื่นออกมาจากส่วนประกอบของบ้านและเชื่อมต่อเข้ากับท่อโลหะขนาดใหญ่ด้านบนสุดของถ้ำ สูงขึ้นไปบนผนังถ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าท่อพวกนี้นำไปสู่ที่ไหน
ขณะเดินอยู่บนถนนที่อากาศเย็นและน่าขนลุก ลูเซียนเห็นอุปกรณ์โลหะคุ้นตา เช่น ตลับลูกปืน สปริง ลูกสูบ และเฟืองตกอยู่บนพื้น ราวกับว่าเขาได้กลับมายังโลกเดิมและเดินเข้ามาในโรงงาน
หางตาของเขาเหลือบเห็นอะไรบางอย่างส่องแสงวิบวับอยู่ในหญ้า ลูเซียนโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมาดู นั่นเป็นปืนยาวขนาดใหญ่หนาเท่ากับบาซูกา อุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นสนิมและสึกหรอ แต่ลูเซียนก็ยังสามารถบอกลักษณะของมันได้ นอกจากนี้ ปืนยาวไอน้ำกระบอกนี้ยังติดเข้ากับถังสะพายไอน้ำแรงดันสูงที่ผลิตจากเหล็ก ขนาดใหญ่เท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์
ลูเซียนลูบไปตามปืนยาวสนิมเกรอะกรังเบาๆ แล้วเขาก็ถอนหายใจ เนื่องจากปืนกระบอกนี้เป็นตัวแทนของอารยธรรมโบราณที่หายสาบสูญ
ก่อนพัฒนาการของมนุษย์ คนแคระซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานช่างทุกชนิด ได้ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำขึ้นมากมายและสร้าง ‘อารยธรรมไอน้ำ’ อันรุ่งเรือง
แม้คนแคระจะมีรูปร่างค่อนข้างเตี้ย แต่ก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ทั้งเรือเหาะขนาดใหญ่ที่สามารถปกคลุมท้องฟ้า เรือไอน้ำที่สามารถเดินทางผ่านช่องแคบสตอร์มและมหาสมุทรไร้พรมแดน ปืนใหญ่ที่สามารถบรรจุคนไว้ภายในหลายคน ปืนยาวไอน้ำที่ทรงพลัง โรงงานเหล็กและวิศวกรรมขนาดยักษ์ที่ปล่อยควันดำทั้งวันทั้งคืน ราวกับว่าถูกออกแบบมาเพื่อมังกร
คนแคระไม่ได้อาศัยแนวทางเชิงทฤษฎีมากนัก แต่ด้วยพรสวรรค์และประสบการณ์ พวกเขาสามารถพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำและรวบรวมความรู้ด้านการออกแบบเครื่องกลในหลายๆ สาขา แม้แต่เคลาส์ นักเล่นแร่แปรธาตุชั้นตำนาน ก็ต้องเรียนรู้จากคนแคระในสมัยที่ต้องการพัฒนารถไฟไอน้ำตามแบบเรือเหาะ การประดิษฐ์ของเคลาส์เป็นเหมือนการพัฒนาจากงานต้นฉบับของคนแคระเสียมากกว่า แต่เขาก็สามารถใช้เวทมนตร์หรือพลังเทพเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนรถไฟและลดต้นทุนด้วยการลดขนาดรถไฟ
น่าเสียดายที่อารยธรรมดังกล่าวหายสาบสูญ ลูเซียนรู้เรื่องนี้มาจากหอสมุดอาร์คานาและเวทมนตร์ชั้นอาวุโส แม้แต่นักเวทที่มีความรอบรู้อย่างลาซาร์ซึ่งโตขึ้นมาในสภาเวทมนตร์ก็ยังไม่รู้ว่าคนแคระเป็นผู้สร้างรถไฟไอน้ำขึ้นครั้งแรกและใช้รถไฟในการขนส่งสินค้า สำหรับลาซาร์ เคลาส์คือคนที่ประดิษฐ์รถไฟไอน้ำเวทมนตร์
ในยุคหลังๆ ของ ‘อารยธรรมไอน้ำ’ ของคนแคระ ความเจริญก้าวหน้าที่คนแคระสร้างขึ้นเริ่มชะลอตัว การรุกรานของสิ่งมีชีวิตมืดจากเทือกเขาแห่งความมืดเป็นครั้งคราวทำให้คนแคระประสบกับความยากลำบาก พลังของสิ่งมีชีวิตมืดชั้นสูงที่น่ากลัวเหล่านี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของคนแคระโดยสิ้นเชิง ปืนยาวไอน้ำและปืนใหญ่ก็ไม่เป็นผลเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายดังกล่าว ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงยี่สิบปี อารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองต้องล่าถอยลงสู่นครใต้พิภพ
อย่างไรก็ตาม ในโลกใต้พิภพ อารยธรรมไอน้ำก็หมดโอกาสเจริญก้าวหน้า และในที่สุดอารยธรรมก็เสื่อมสลายไปภายใต้การรุกรานจากสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายและนักล่าใต้ดินมากมาย หลังจากวิวัฒนาการของยุคมังกร ยุคเอลฟ์ธรรมชาติ และยุครุ่งเรืองของมนุษย์หมาป่า สมัยนั้นเอง อาณาจักรเวทมนตร์โบราณก็เริ่มมีอำนาจ มีคนแคระเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่เลือกอยู่ใต้ดินสามารถปลุกพลังโลหิตและพลังวิญญาณได้ในที่สุด ด้วยการทดลองของนักเวทสติไม่ดี ขณะเดียวกัน คนแคระที่เลือกอยู่บนดินก็สามารถสร้างประเทศของตนขึ้นได้ใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ
แม้คนแคระในปัจจุบันยังคงมีความสามารถเชิงเทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุ แต่อารยธรรมของพวกเขาแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อไม่มีอำนาจที่จะปกป้องอารยธรรม เราก็ทำได้เพียงเฝ้ามองดูอารยธรรมค่อยๆ เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ผู้ที่จะถูกจดจำมีเพียงนักเวทผู้ปราดเปรื่อง แวมไพร์ผู้มีชีวิตยืนยาว และมังกร ส่วนที่เหลือจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาในที่สุด
ลูเซียนมีความรู้สึกหลากหลายปนเปกันอยู่ในหัว เขาเกิดคำถามขึ้นมาว่ามีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและผู้ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไหนถูกลืมเลือนไปจากประวัติศาสตร์
เขาวางปืนยาวไอน้ำกระบอกใหญ่นั้นลงและเดินต่อไป เขาแวะหยิบนู่นหยิบนี่ขึ้นมาดูเป็นพักๆ รวมถึงเหรียญเงินที่หลอมด้วยรูปค้อนและเฟืองลักษณะแปลกๆ หนังสืออีกหลายเล่ม เช่น การหลอมเครื่องกลธาตุ การผลิตปืนยาวไอน้ำ ภาพประกอบเครื่องจักรไอน้ำ และภาพประกอบเรือเหาะ เป็นต้น แล้วยังมีบทความเกี่ยวกับเครื่องกลในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย
โชคดีที่ภาษาของคนแคระได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีและไม่ต่างจากภาษาที่คนแคระใช้ในปัจจุบันมากนัก ลูเซียนเปิดดูหนังสือสองสามเล่มผ่านๆ และบันทึกไว้ในห้องสมุดห้วงจิต
หลังจากเดินสำรวจไปทั่วอารยธรรมที่สุดท้ายนี้อีกสองสามนาที ลูเซียนก็เห็นโกเลมเหล็กตัวใหญ่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับอาคารโรงงานขนาดใหญ่หลังหนึ่ง เขาหยุดเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะโครงสร้างเครื่องกลภายในของมันถูกเปิดออก
‘โกเลม’ เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่คนแคระใช้ปกป้องอารยธรรมที่กำลังล่มสลาย
คนแคระพยายามจะต่อกลอนกับสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ที่น่ากลัวโดยใช้อาวุธที่ทรงพลังชิ้นนี้ แต่โกเลมที่เคลื่อนไหวช้ามากก็ไม่อาจทำให้พวกเขาสมหวัง อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเวทในยุคหลัง จนสามารถประดิษฐ์โกเลมที่ทรงพลังยิ่งกว่าขึ้นมาได้
ทันใดนั้นเอง เสียงแหลมๆ เสียงหนึ่งถูกส่งเข้ามายังวิญญาณของลูเซียน ภาพส่วนหนึ่งในลูกแก้วคริสตัลในฝ่ามือของเขาก็มืดลงโดยพลัน
เนตรสอดแนมถูกทำลาย!
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ตามด้วยเสียงฝีเท้าวุ่นวายซึ่งทำให้ลูเซียนวิตกกังวลอย่างหนัก
ลูเซียนมองขึ้นไปและเห็นหนวดปลาหมึกสีซีดขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากอาคารโรงงานในระยะไกล แล้วสัตว์ประหลาดยักษ์น่าขยะแขยงก็โผล่ออกมา
ครึ่งบนของสัตว์ประหลาดเป็นเป็นร่างของหญิงชราแก่หงำเหงือก อ้วนและอัปลักษณ์ ดวงตาเล็กๆ ของมันเป็นเหมือนกับรูโหว่เล็กๆ สองรูที่มีแสงเต้นเร่าด้วยความเกรี้ยวกราด เต้านมอันเปลือยเปล่าขนาดใหญ่ของสัตว์ประหลาดเต็มไปด้วยดวงตาสีขาวและสีดำ ส่วนช่วงล่างของมันมีลักษณะเหมือนปลาหมึกยักษ์สีขาวที่มีหนวดยั้วเยี้ยและปุ่มดูดมากมาย
ปีศาจนางพญา!
ปีศาจนางพญาตัวหนึ่งสามารถสร้างสัตว์ประหลาดออกมาเป็นแสนๆ ตัว หากไม่มีอาหารเพียงพอ สัตว์ประหลาดจะกัดกินกันเองและพยายามดิ้นรนขึ้นสู่ผิวดิน
สัตว์ประหลาดจำนวนมากเดินตามนางพญา มุ่งหน้ามาทางลูเซียนราวกับเกลียวคลื่นที่มาจากทุกทิศทาง จำนวนของพวกมันยากเกินกว่าจะคำนวณ และในบรรดาสัตว์ประหลาดพวกนี้ยังมีพวกที่พลธนูและพวกที่ใช้เวทมนตร์ได้จำนวนมากด้วย
ลูเซียนยกมือขวาขึ้นและถูเหรียญตราตรงหน้าอก ทันใดนั้น แสงรัศมีสว่างว่าก็กระจายตัวออกไปและปกคลุมทั่วบริเวณห้าร้อยเมตรอย่างรวดเร็ว
พายุรุนแรงลูกใหญ่ซัดกระหน่ำ และสัตว์ประหลาดจำนวนมากถูกแช่แข็งและสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะถูกพายุพัดหายไป
ทันทีที่ลูกธนูหินเข้ามาในระยะ ลูกธนูก็ตกลงพื้นในทันที เนื่องจากกลายเป็นน้ำแข็งด้วยชั้นน้ำแข็งหนา และไม่ว่าจะถูกโจมตีด้วยอาวุธขว้างมา ใยแมงมุม และลำแสงเวทมนตร์ใดๆ ก็ตาม ก็มีสภาพไม่ต่างจากลูกธนู
ลูเซียนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง และลำแสงรัศมีก็เคลื่อนที่ตามเขา อาคารสูงตรงหน้ากลายเป็นน้ำแข็งด้วยพลังน้ำแข็งและหิมะ ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนหยุดเขาได้
ปีศาจนางพญารู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หนวดปลาหมึกของมันยืดยาวไป มันเริ่มปีนป่ายและกระโดดหนี ดวงตาสีขาวดำจำนวนมากก็ปล่อยกรดพิษ ใยแมงมุม และก๊าซพิษออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิษดังกล่าวเข้ามาอยู่ภายใต้ลำแสงรัศมีของน้ำแข็งและหิมะ ทั้งของเหลวและก๊าซพิษก็ถูกแช่แข็งและแตกออกเป็นกองฝุ่นผง
ไม่กี่วินาทีต่อมา ลูเซียนก็ไล่ทันปีศาจนางพญาและกักขังมันไว้ภายในรัศมี การเคลื่อนไหวของปีศาจนางพญาเริ่มช้าลง เมื่อหนวดปลาหมึกของมันกลายเป็นน้ำแข็งและหนักมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ด้วยพลังของพายุ ร่างของปีศาจนางพญาก็เริ่มแตกออกด้วยอุณหภูมิเยือกแข็ง ทันใดนั้นเอง ของเหลวสีดำก็ทะลักออกมา และก็กลายเป็นน้ำแข็งสีดำ
โครม! สามสิบวินาทีต่อมา ปีศาจนางพญาก็สิ้นฤทธิ์และแตกสลายกลายเป็นชิ้นๆ
ตอนนั้นเอง ลูเซียนก็หยุดวิ่งและลำแสงรัศมีก็หายไป นครคนแคระทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและน้ำค้างแข็ง บางส่วนสีขาว บางส่วนก็สีดำ เมืองกลับมาสู่ความว่างเปล่าและเงียบงันอีกครั้ง
เวทมนตร์บทนี้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แต่มันก็อาจทำให้เพื่อนร่วมทางของลูเซียนบาดเจ็บได้
…
ผ่านไปสิบกว่านาที ลูเซียนก็หาจุดเชื่ออวกาศ ในนครใต้พิภพพบ นี่เป็นรูปอวกาศที่บิดเบี้ยว ล้อมรอบด้วยแท่นบูชาของคนแคระ ซึ่งออกแบบด้วยรูปแบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย
ดูเหมือนว่า ในช่วงท้ายที่สุดของอารยธรรมไอน้ำ คนแคระเองก็เริ่มเรียนรู้จากสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ แต่แน่นอน นั่นไม่ได้เป็นผลดีนัก ในฐานะจอมเวทผู้ปราดเปรื่อง ลูเซียนรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งที่เห็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ต้องล่มสลายลง
ลูเซียนมองไปยังแท่นเวทมนตร์ที่แสนธรรมดา เขาหยิบอุปกรณ์ออกมาแต่ก็เริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขากังวลว่าเขาอาจหลงทาง เมื่อเข้าสู่มิติอื่นโดยใช้แท่นบูชาเช่นนี้
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่ออยู่ใกล้กับจุดเชื่ออวกาศ ภายใต้การควบคุมของสภาเวทมนตร์ สภาสามารถสร้างประตูอวกาศจำนวนมากโดยใช้เวทมนตร์ระดับเก้า ‘ประตู’
หลังจากตรวจสอบรูโหว่อวกาศอย่างระมัดระวังและดูจนแน่ใจว่ารูโหว่ดังกล่าวมั่นคงพอ ลูเซียนก็หยิบอุปกรณ์ออกมาและเริ่มจัดเรียงวงเวทเทเลพอร์ตจุดเชื่ออวกาศ เสียใหม่ เขายังดีใจที่คุณภาพของวงเวทเทเลพอร์ตยังมีประสิทธิภาพเพียงพอกับที่เขาต้องการ
ลูเซียนต้องใช้เวลาถึงสามวันในการจัดเรียงวงเวทเทเลพอร์ตเสียใหม่ เขาลุกขึ้นยืนและยืดเส้นยืดสายเพื่ออบอุ่นร่างกาย แล้วจึงร่ายเวทมนตร์ป้องกันบนตัวเองหลายชั้น เขาไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ที่อีกฝั่ง เพราะครั้งสุดท้ายที่ไรน์ใช้จุดเชื่ออวกาศ นี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว
แล้วลูเซียนก็ก้าวเข้าไปสู่มิติ ‘ขุนเขาราตรี’ ซึ่งแวมไพร์ยึดมาจากคนแคระ!