บทที่ 403 ความอัศจรรย์ใจ
“จอมเวท… ระดับหก!” เรล์ฟตะลึงงัน ในสายตาเขา จู่ๆ โบลัคก็ดูแปลกตาเขาไปมาก ไม่สิ… เขาควรจะบอกว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางเลยที่โบลัคจะเป็นนักเวทระดับสูงได้เพราะเขาไม่เคยออกจากนครแอนทิฟเฟอร์เลย
คงจะต้องเป็นนักเวทระดับสูง หรือผู้วิเศษที่แปลงกายเป็นโบลัคและใช้วิธีพิเศษในการปกปิดตัวตนจากการทดสอบพลังโลหิตโดยนูเรมเบิร์ก ส่วนจุดประสงค์นั้น ย่อมต้องเป็นความลับที่ ‘ราชันย์แห่งสุริยา’ ทิ้งไว้เป็นแน่
ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ก็แล่นเข้ามาในหัวเขา เขาจำได้ถึงความชื่นชมอย่างจริงใจจากโบลัคหลังจากที่เขาโอ้อวดเกี่ยวกับการมีอยู่ของห้องลับอีกห้องหนึ่ง และแสดงตนว่าเหนือกว่าด้วยการบอกโบลัคถึงวิธีการเข้าไปในห้องนั้น
“…ก็ ขอบใจที่บอกข้านะ”
นั่นคือสิ่งที่โบลัค… ไม่สิ ท่านจอมเวทพูดไว้
เรล์ฟไม่อยากเชื่อเลยว่าตนจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ แต่แม้ว่าเขาจะอยากร้องบอกเพื่อเตือนเจ้าหญิง เดนิซ และอาร์เธนมากเพียงใดว่าคนผู้นี้หาใช่โบลัคตัวจริง เขาก็รู้ดีว่าจอมเวทระดับสูงนั้นทรงพลังมากแค่ไหน ภายในวินาทีเดียว จอมเวทอาจสังหารเขาได้เพียงพริบตา และแม้ว่าเหล่าชนชั้นสูงทั้งหมดที่อยู่ในนี้จะร่วมมือกัน จอมเวทก็ยังสังหารไปทีละคนได้ในเวลาเพียงครึ่งนาทีเท่านั้น
หนทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดได้คือการยอมจำนนและรอให้เซอร์เมทาทรอนปรากฏกายตามเวลาดังที่นัดแนะไว้
เรล์ฟไม่อาจรู้ได้เลยว่าจอมเวทระดับสูงผู้นี้ลักลอบเข้ามาได้อย่างไร ดูราวกับสิงโตท่ามกลางฝูงแกะ!
เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวและไม่สามารถเพ่งสมาธิไปที่พลังจิตของตนได้เลย แต่เขารู้ดีว่าตนไม่จำเป็นต้องมีสติเตรียมพร้อมเลยเพราะเขาคงไม่มีโอกาสได้ร่ายเวทบทใดเมื่อยืนเคียงข้างจอมเวทระดับสูงเช่นนี้ แม้ว่าเขาใกล้จะได้รู้ความลับของ ‘ราชันย์แห่งสุริยา’ แล้ว และเขาก็ฝันที่จะได้เป็นนักเวทระดับหก แต่เรล์ฟเพียงตั้งตาคอยที่จะได้ใช้พลังเพื่อให้ได้รับชื่อเสียงรุ่งโรจน์และตำแหน่งอันสูงส่งเท่านั้น
มีความเป็นไปได้มากว่าจอมเวทระดับหกนั้นจะเป็นนักเวทระดับเจ็ดหรือแปด หรืออาจกระทั่งผู้วิเศษระดับเก้า! เรล์ฟยกเลิกความคิดที่จะต่อต้านไปทั้งหมด
“ฉลาดดีนี่” ลูเซียนแย้มยิ้มและเหลือบมองไปทางเรล์ฟ ที่ใบหน้าซีดเผือด
เรล์ฟพยักหน้าราวกับโกเลมเพราะไม่สามารถคิดอะไรได้ ขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของโบลัค เรล์ฟก็ยิ่งถลำลึกลงไป…
ลูเซียนเข้าควบคุมความคิดของเรล์ฟได้อย่างง่ายดาย และทำให้เขาแตกตื่นรุนแรง
เวทมายาระดับห้า ‘ครอบงำคน!’
ตอนที่รู้ว่าประสบการณ์ในปราสาทเบอร์เทรนคือการทดสอบจากเจ้าแห่งพายุ อาจารย์ของเขา ลูเซียนยังได้รู้อีกว่าเป็นมังกรคริสตัลตัวน้อย อัลเฟอร์ริส ที่สวมบทบาทเป็นปีศาจความเกลียดชัง จากเจ้าแห่งพายุกับอัลเฟอร์ริส ลูเซียนได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับปีศาจลึกลับทั้งหลายจากนรกภูมิและได้รู้ว่า ‘นิทานแห่งความโศก’ นั้นไม่ใช่เพียงเรื่องล้อเล่น
จากการตั้งข้อสังเกตของเฟอร์นันโดและอัลเฟอร์ริสแล้ว ยามที่ความรู้สึกด้านลบก่อตัวสะสมขึ้นถึงระดับหนึ่ง ภาพจำลองของปีศาจที่เกี่ยวข้องจะปรากฏกาย และกระบวนการนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พิธีกรรมพิเศษใดๆ เพื่อช่วยเหลือเลย พิธีกรรมทั้งหลายที่ผู้คนเชื่อถือนั้นเป็นเพียงการเพิ่มพลังให้แก่ภาพจำลองเพื่อทำให้พวกปีศาจเฉิดฉาย ด้วยเหตุนี้ พิธีกรรมนั้นๆ จึงหาใช่พิธีกรรมทางเวทมนตร์ แต่เป็นเพียงบางสิ่งที่ยิ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่าพลังปีศาจมีอยู่จริง
ดังนั้น แม้ว่ามันจะดูเหมือนพิธีกรรมเวทมนตร์ที่ไร้สาระ แต่ก็ยังอัญเชิญปีศาจที่ทรงพลังมาได้เช่นกัน
‘นิทานแห่งความโศก’ มีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบรวมความรู้สึกด้านลบของผู้ถือครอง คนที่สนุกกับการอ่านนิทานมักจะได้รับความเชื่อมโยงกับปีศาจลึกลับที่มีทั้งปีศาจความแค้น ปีศาจความริษยา ปีศาจความโลภ และตนอื่นๆ ในตอนนั้นเองที่ความคิดของคนผู้นั้นจะบิดเบี้ยวไป และได้รับพลังชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องได้รับการกระตุ้นจากอุบัติเหตุหรือพิธีกรรมใดๆ
อีกนัยน์หนึ่งก็คือ ขั้นตอนทางพิธีกรรมหาได้สำคัญไม่ ตัวพิธีกรรมต่างหากคือสิ่งสำคัญ หากไร้ซึ่งพิธีกรรม ภาพจำลองของปีศาจย่อมไม่ได้รับพลังเพียงพอ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่สำคัญกว่าพิธีกรรมก็คือการสั่งสมความรู้สึกด้านลบ มิเช่นนั้นจะไม่มีทางเลยที่ปีศาจจะแทรกแซงภาพจำลองของพวกมันเข้าสู่จิตใจคนได้
ในตอนที่ลูเซียนหลอกโบลัคให้ทำตามพิธีกรรมที่ไม่มีอยู่จริง เขาเพียงล้อเล่นกับขั้นตอนต่างๆ เพราะรู้ดีว่า หากไร้ซึ่งพื้นฐานทางอารมณ์ความรู้สึกที่ก่อรูปร่างขึ้นโดยตำราเล่มพิเศษอย่าง ‘นิทานแห่งความโศก’ ทั้งโบลัคและเฟรเดอริกจะไม่มีทางอัญเชิญภาพจำลองปีศาจความโลภมาได้สำเร็จ
แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กลับอยู่เหนือความคาดหมายของลูเซียนไปโดยสิ้นเชิง เฟรเดอริกกลับอัญเชิญปีศาจความโลภมาได้ด้วยพิธีกรรมเวทมนตร์อันน่าขันที่ลูเซียนกุขึ้นมา และยังได้รับพลังจนเลื่อนขั้นเป็นอัศวินอาภา!
แม้ว่าพลังของเขาจะยังพัฒนาไม่เต็มที่ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจหยุดยั้งเฟรเดอริกได้แล้ว สีหน้าชั่วร้ายน่าขนลุกบนใบหน้าบิดเบี้ยวชองเขาทำให้ลูเซียนเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือผลงานชิ้นเอกที่สร้างขึ้นโดยปีศาจความโลภ!
ลูเซียนไม่อาจรู้ได้เลยว่าเฟรเดอริกสั่งสมความรู้สึกโลภโมโทสันได้แรงกล้าถึงเพียงนี้ภายในเดือนเดียวได้อย่างไร มันเกิดจากการเฝ้ามองโบลัคอัญเชิญปีศาจมาเช่นนั้นรึ หรือว่าเป็นเพราะปราสาทใต้ดินที่น่าพิศวงแห่งนี้กัน
แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ลูเซียนก็ต้องเร่งมือแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องใช้เวทมนตร์ก็ตาม! ยิ่งเวลาผ่านไปและยิ่งมีคนถูกสังหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พลังของเฟรเดอริกในขั้นอัศวินอาภาจะพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ในท้ายที่สุด!
จากการประมือระหว่างเฟรเดอริกกับเบเยอร์สองสามรอบ ลูเซียนคาดคะเนว่าเขายังมีเวลาประมาณสามถึงสี่นาทีในการลงมือ อันดับแรก เขาต้องเปิดใช้งานวงแหวนเวทก่อน เผื่อว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอีกในภายหลัง อย่างไรเสีย นี่ก็คือเป้าหมายสูงสุดของลูเซียนในการลงมาที่นี่
ในระหว่างที่ข่มเรล์ฟให้อยู่ภายใต้ความควบคุมอยู่นั้น ลูเซียนก็ใช้ ‘กระแสจิตทุติยภูมิ’ เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าทั้งเรล์ฟและเมทาทรอน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของทางเข้าลับอีกแห่งและปราสาทชั้นใน จากนั้นเขาจึงลอบตรวจสอบห้องลับที่เหมือนกับโรงฆ่าสัตว์เพื่อให้แน่ใจว่ามิมีผู้ใดอยู่ในนั้นอีก
จากนั้น ในตอนที่โซเฟียกำลังยุ่งอยู่กับการร่ายคาถาเพื่อช่วยเฟรเดอริกเอาชนะเบเยอร์อยู่นั้น ลูเซียนก็ร่ายคาถา ‘เวทคงสภาพ’ กับ ‘เวทอากาศธาตุ’ แล้วลอบเข้าไปในห้องลับที่พวกเขาพบกับเฟรเดอริก
เมื่อเทียบกับพลังของเฟรเดริกแล้ว สิ่งที่ทำให้ลูเซียนเป็นกังวลยิ่งกว่าคือข้อเท็จจริงที่ว่าเมทาทรอนเองก็อยู่ภายในปราสาทใต้ดินแห่งนี้ แต่ตราบใดที่เขาไม่อยู่ในห้องลับ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นมาก!
ทันทีที่ลูเซียนก้าวเข้ามาในห้องลับ เขาก็ถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นเหม็นฉุนน่าสะอิดสะเอียนจากโลหิตและเนื้อหนัง แต่เขากลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น เขาเดินตรงไปหาภาพวาดของดยุกแห่งกอร์สคนแรกแล้วเริ่มร่ายคาถายาวเหยียดแปลกประหลาด พร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์แสนซับซ้อนเข้าช่วย
เสียงโลหะกระทบกันดังก้อง และเนื่องจากไม่มีผู้ใดอยากอยู่ใกล้ห้องลับเพราะกลิ่นเหม็นรุนแรงของโลหิต ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินเสียงร่ายเวทภายในห้องลับ
ในที่สุด ลูเซียนก็จบการร่ายเวทแสนยาวเหยียดตามที่ไรน์บอก ร่างกายเขาลอยขึ้นไปในอากาศในรูปแบบของแก๊สและหายลับเข้าไปในภาพวาดนั้น!
ภายในภาพวาดนั้นมีเส้นทางที่ไม่ยาวมาก ลูเซียนเข้ามายังปราสาทชั้นได้โดยไร้ปราการกางกั้น ซึ่งภายในนี้ดูเหมือนกับห้องโถงบนพื้นดินเป๊ะ!
ที่กลางห้องโถงคือแท่นบูชาแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งบนนั้นมีรูปปั้นของธานอส ราชันย์แห่งสุริยา ตั้งอยู่
ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองด้านบน ราวกับไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การสนใจนอกเหนือจากท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดและเปี่ยมด้วยปริศนาอีกแล้ว
ใบหน้าของธานอสประกอบด้วยเครื่องหน้าดูดีและมีสีหน้าจริงจัง รูปปั้นสวมมงกุฎเวทมนตร์ที่ฝังหินเวทมนตร์อันล้ำค่าหลายก้อนและเสื้อคลุมเวทมนตร์ที่มีลวดลายสีแดงแสนซับซ้อน
รูปปั้นนั้นแกะสลักมาอย่างประณีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสง่างามของราชันย์แห่งสุริยายามที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่มือขวาของรูปปั้นกลับยื่นออกมา ราวกับกำลังถือสิ่งของบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ลูเซียนจะวางเข็มกลัดรูปพุ่มไม้หนามกอร์สกลับไว้บนรูปปั้นแล้วจากนั้นจะได้เริ่มทำพิธีกรรมเวทมนตร์ก็ทำได้ แต่ในตอนนี้ เขากลับขมวดคิ้วมุ่นและยืนนิ่งอยู่กับที่
‘ทำไมกัน… ทำไมถึงสัมผัสถึงการมีอยู่ของโลกแห่งวิญญาณไม่ได้เลย’
จากประสบการณ์ของลูเซียนภายในสุสานของฟิงซ์ ทำให้เขาเชื่อว่าทั้งสามสถานที่ที่ไรน์บอกเขาควรจะอยู่ใกล้กับเส้นทางที่เชื่อมโยงกับโลกแห่งวิญญาณ แต่ว่า…
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายวินาที ลูเซียนก็หยิบเครื่องรางมงกุฎสุริยันออกมาสวมรอบคอ
ในทันนั้นเอง ดวงตาของเขาก็พร่าเลือน และรูปปั้นนั้นก็เปลี่ยนไป
ที่เหนือมือขวาซึ่งยื่นออกมานั้น มีบอลแสงสีขาวกึ่งโปร่งใสลอยอยู่ ทว่า มันกลับมีสีสันอื่นๆ ซ่อนเร้นอยู่ข้างใต้ที่ลูเซียนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บอลแสงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับหัวใจที่เต้นตุบ
ลูเซียนรู้สึกคุ้นเคยกับบอลแสงนี้ มันเหมือนกับบอลแสงสีสนิมที่ลูเซียนเห็นในสุสานของฟิงซ์เลย แม้ว่ามันจะอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าบอลแสงหาได้คงอยู่บนโลกนี้ไม่
ภายในบอลแสงนั้นมีรอยร้าวสีดำเล็กๆ ที่ดูบิดเบี้ยวและน่ารังเกียจ
ลูเซียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเบาบางของความตายจากรอยร้าวนั้น
ช่องว่างที่เชื่อมกับโลกแห่งวิญญาณถูกห่อหุ้มอยู่ในบอลแสงนี่เอง! ไม่แปลกเลยที่ลูเซียนจะสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันไม่ได้!
ลูเซียนยังมีเวลาอีกหลายนาที ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น และนึกสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในบอลแสง
เขาสงบจิตใจลง แล้วร่ายเวทตรวจสอบขึ้นมาชุดหนึ่ง แต่ทั้งหมดนั้นกลับพุ่งผ่านบอลแสงไป
หลังจากครุ่นคิดด้วยความรอบคอบ ลูเซียนก็ร่ายเวทป้องกันให้ตัวเองสองสามชั้น จากนั้น ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เขาก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง
ปลายนิ้วของเขาค่อยๆ แตะกับขอบของบอลแสง