บทที่ 437 คลื่นใต้น้ำ
นครอัลลินตั้งอยู่กลางอากาศ และหอคอยซึ่งใช้เป็นสถานีเฝ้าสังเกตดวงดาวก็อยู่เหนือกว่ากลุ่มเมฆ บางครั้ง มีสีสว่างจ้าเป็นคลื่นอยู่รอบอาคารสีดำของหอคอย จนเกือบดูเหมือนว่าทางเข้าเป็นประกายแวววาวอยู่ภายใต้แสง
ลูเซียนปิดปากยิ้ม หลังจากได้ยินคำพูดของเลฟสกี “ทฤษฎีอนุภาคไม่สามารถอธิบายผลส่วนใหญ่ได้ และทฤษฎีคลื่นก็ไม่มีรากฐานที่มา ทั้งทฤษฎีต่างก็มีปัญหาใหญ่ ข้าคิดว่าเพียงแค่แต่งงานกันก็จบ จะแก้ปัญหาทุกอย่าง และสงครามระหว่างคลื่นและอนุภาคจะยุติลงโดยสันติ!” ลูเซียนพูดติดตลก
“มันเป็นไปไม่ได้ แต่ความคิดของท่านน่าสนใจมาก อีวานส์” เลฟสกีหัวเราะคิกคัก แม้ว่าเขาจะช่ำชองคณิตศาสตร์ แต่เขาก็ยังเป็นจอมเวทแล้วต้องทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาคหรือบ้าง เขาคิดว่าลูเซียนเพียงแค่พูดเล่น
ลาซาร์และคนอื่นๆ ซึ่งลงจากรถมาตามหลังลูเซียนต่างก็เริ่มยิ้มออกมา ไฮดี้ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งสองทฤษฎีควรแต่งงานกัน? คงมีเฉพาะท่านอีวานส์ที่คิดมุกแป้กแบบนี้ได้ และคำว่า ‘มุกแป้ก’ ก็เป็นคำแปลกๆ ที่ลูเซียนคิดขึ้นมา
ลูเซียนแกว่งไม้เท้าแล้วพูดว่า “แต่ว่า เมื่อยังไม่มีผลที่ตัดสินผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้ สงครามครั้งที่สามระหว่างสองทฤษฎีก็จะไม่จบลงง่ายๆ เราน่าจะหันมาสนใจการศึกษาของเรา”
เขาไม่กังวลว่ามุกของเขาอาจจุดประกายความคิดให้กับเลฟสกี ลาซาร์ ร็อค และคนอื่น การกระโดดออกจากเวทีความขัดแย้งระหว่างทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาคไม่เพียงต้องมีแนวคิดที่น่าเชื่อถือพอเท่านั้น แต่ต้องมีผลการทดลองและสนับสนุนจำนวนมาก หากไม่มีผลการทดลองแล้ว ก็ไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการถึงทฤษฎีทวิภาคของคลื่น – อนุภาค ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ไอสไตน์มีทฤษฎีที่เสนอเพียงแนวคิดของควอนตัมแสงและใช้ระยะเวลาและค่าเฉลี่ยเพื่ออภิปรายถึงแสง ซึ่งยังห่างไกลจากทฤษฎีทวิภาคของคลื่น – อนุภาค และใกล้เคียงกับทฤษฎีอนุภาคมากกว่า
และไม่ว่าจะทำให้จอมเวทนึกถึงสมมติฐานควอนตัมของแสงได้หรือไม่ คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วเมื่อดูจากบทความที่ตีพิมพ์ในช่วงนี้ ไม่มีแม้แต่บทความเดียวที่พยายามอธิบายสมมติฐานการแผ่รังสีของวัตถุดำและควอนตัมของพลังงาน! จอมเวทแทบทุกคนมองเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องและอยากจะขับออกจากสมองของตน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะเกิดความคิดหรือพัฒนาความคิดใหม่ๆ ได้อย่างไร?
แม้แต่บรรดาลูกศิษย์ เช่น แอนนิคซึ่งค่อนข้างเคารพเทิดทูนลูเซียนอย่างสูง ก็อาจยอมรับสมมติฐานควอนตัมของพลังงาน เนื่องจากโรคฌานสมาธิของพวกเขายังไม่สมบูรณ์แบบและความเชื่อก็ยังไม่เสถียร อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่มีความรู้มากพอที่จะสำรวจเรื่องการแผ่ความร้อน และยังไม่มีโอกาสที่จะใช้หรือศึกษาทฤษฎีควอนตัม พวกเขาอาจมีความคิดกว้างๆ แต่พวกเขายังไม่รู้วิธีศึกษา เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนึกถึงสมมติฐานเรื่องแสง
“ท่านพูดถูก” เลฟสกีพยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อเปรียบเทียบกับการโต้แย้งระหว่างทฤษฎีคลื่นและอนุภาค เขาขอเลือกศึกษาเรื่องระบบเรขาคณิตใหม่ทั้งสองแบบเสียมากกว่า และทฤษฎีที่แสดงด้วยการทดลองดาวจำลองของท่านประธานดักลาส
แล้วเขาก็เห็นผู้วิเศษระดับเก้า อันโนนิส ‘นักโหราศาสตร์’ กำลังเดินจากทางเข้าตรงมาหาเขา “ท่านอันโนนิสมาถึงแล้ว”
อันโนนิสเป็นที่รู้จักของสาธารณชนในฐานะประธานของกลุ่มหอคอยและสมาชิกของสภาสูงสุด
อันโนนิสสวมหมวกทรงสูงสีเทา เขาเป็นคนตัวสูงที่ร่างกายแข็งแรงเหมือนกับนักรบผู้แข็งแกร่ง และไม่มีหนวดเคราบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา อย่างไรก็ตาม ดวงตาสีดำเข้มคู่นั้นให้ความรู้สึกว่าเขาเคยผ่านเรื่องราวมามากมาย แม้เขาจะยังดูหนุ่มก็ตาม แต่ร่างกายและสมองของเขาชรามากแล้ว
“ท่านอันโนนิส” ลูเซียน เลฟสกี และคนอื่นๆ ต่างทักทายอันโนนิสด้วยความเคารพ
อันโนนิสเป็นเสือยิ้มยาก เขาพยักรับหน้าเล็กน้อยแล้วพูดกับทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เชิญเข้ามาข้างใน ทั้งสองคนเป็นพระเอกของงานเลี้ยงวันนี้”
ภายในห้องโถง ภายใต้ ‘ดวงดาว’ แขกเหรื่อหลายต่อหลายคนกำลังชนแก้วกัน
เมื่อเข้ามาภายในห้องโถง ลูเซียนก็เห็นนักเวทที่คุ้นหน้าหลายคน เช่น ราเวนติ ฟรอเรนเซีย นีชกา และมิลินา
หลังจากหันไปมองหน้าเลฟสกี ลูเซียนก็หยิบแก้ว ‘สตาร์ไลต์’ มาจากถาดของบริกรแก้วหนึ่ง แล้วจึงมุ่งหน้าไปหากลุ่มนักเวทจากกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุ
“ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุดของทั้งกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุมาถึงแล้ว อัจฉริยะผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดจากสามสาขา ก่อนพลังจะถึงระดับสูง” ฟรอเรนเซียใช้น้ำเสียงเอิกเกริกและยิ้มไม่หุบ นางหยอกล้อลูเซียนอย่างขบขัน และบอกเป็นนัยยะว่าลูเซียนไม่ได้เข้าไปยังสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานของกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุมาเป็นเวลานานมากแล้ว เนื่องจากเขายุ่งอยู่กับการศึกษาและภารกิจของสถาบันอะตอม
ลูเซียนยิ้มและยกแก้วขึ้น “ช่วงนี้ข้ายุ่งจริงๆ ขอรับ ข้ากำลังช่วยท่านอาจารย์ก่อตั้งบริษัทโทรศัพท์และโทรสารอัลลิน”
“ดูเหมือนว่าเจ้าสนใจในโครงการที่ทำเงินได้มากๆ เลยนะ หลอดไฟคริสตัลเวทมนตร์ยังอยู่ในช่วงโฆษณา แล้วจะเอาก็ไปเริ่มโครงการอื่นอีก” แกสตันขำคิกคัก
ราเวนติขมวดคิ้ว “ลูเซียน เราต้องใช้ทรัพยากรมากมายเพื่อสำรวจโลกที่ไม่รู้จักและเพิ่มพลังของเจ้าเอง แต่ว่า เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการศึกษาและการวิจัย อย่าลืมความตั้งใจแรกเริ่มไปหมดเลยล่ะ” เขาไม่อยากให้ลูเซียนเลือกทางผิด เขาจึงบอกลูเซียนถึงสิ่งที่เขาคิดอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่กังวลว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้ลูเซียนโกรธ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องบอก
ฟรอเรนเซียหัวเราะคิกคักหลังจากได้ยินคำพูดของราเวนติ “ลูเซียนก็ยังทำวิจัยอยู่ เขาเพิ่งคิดค้นระบบเรขาคณิตใหม่ไม่ใช่หรือ? เพราะฉะนั้นเราถึงมาที่นี่ นี่มันงานเฉลิมฉลองรางวัลคทาอาร์คานา”
“ช่วงแรกผ่านไปได้ด้วยดีแล้วขอรับ ข้าจะตั้งใจเพิ่มทักษะเวทมนตร์ต่อไป” ลูเซียนพูดถึงการสร้างวิธีเข้าฌานสมาธิของตนเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับราเวนติและคนอื่นๆ ฟังเหมือนว่าลูเซียนพูดถึงการพัฒนาระดับอาวุโส ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนของลูเซียน
ราเวนติจ้องหน้าลูเซียนด้วยดวงตาสีเทาเข้มและว่าตามคำพูดของฟรอเรนเซีย “สาขาคณิตศาสตร์เคยเป็นจุดอ่อนที่สุดในความสามารถอาร์คานาของเจ้า แต่ดูเหมือนเจ้าแก้ปัญหานี้ได้แล้ว เยี่ยมมาก เจ้ามีความสามารถพอจะประสบความสำเร็จ แต่ว่า ข้าขอเสนอให้เจ้าหยุดทำวิจัยเรื่องระบบเรขาคณิตใหม่ การวิจัยเรื่องนี้ไม่มีความหมายต่ออาร์คานาหรือเวทมนตร์สักเท่าไร เจ้าน่าจะใช้เวลาศึกษาเรื่องฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนมากกว่า เจ้าจะได้สร้างรากฐานไว้คำนวณพลังวิญญาณที่ซับซ้อนได้ หลังจากเจ้าขึ้นชั้นเป็นระดับอาวุโส”
“เจ้ามีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นนักเวทชั้นตำนานในสภาเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นอย่ามัวเสียเวลา”
ราเวนติคาดหวังในตัวลูเซียนไว้สูงมาก เขาจึงพยายามให้คำแนะนำกับลูเซียน เขารู้ดีว่าโลกแห่งปัญญาของลูเซียนแข็งแกร่งพอแล้วในเบื้องต้น ด้วยอายุและความสามารถเชิงอาร์คานาของลูเซียน การเลื่อนขั้นเป็นชั้นอาวุโสคงไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือรากฐานเพื่อไปให้ถึงระดับตำนาน
“ใช่แล้ว ลูเซียน เจ้าน่าจะปล่อยให้จอมเวทของกลุ่มหอคอยจัดการเรื่องระบบเรขาคณิตใหม่ไป เจ้าแค่รอใช้ระบบ หลังจากพวกเขาค้นพบความหมายแท้จริงของมัน” เคพูดเสริมในฐานะสหาย
มีผู้คนมากมายอิจฉาลูเซียนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มและคนเก่งๆ และบางคนถึงขนาดพยายามจะหลอกเขา แต่นั่นไม่ใช่เพียงปัญหาเดียว ลูเซียนได้รับแรงกดดันมากมายจากคนที่เป็นห่วงเขาและอาจให้คำแนะนำผิดๆ คนเก่งๆ หลายคนต้องหลงทางไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีคนที่คอยเป็นห่วงให้คำแนะนำที่ผิดพลาด
บางครั้ง คนเราก็ทำเรื่องผิดพลาดได้ แม้จะมีเจตนาดีก็ตาม
“ข้าแค่พยายามเรียนรู้ศาสตร์สาขานี้เพิ่มขึ้น” ลูเซียนพยักหน้าและตอบ “อย่างไรก็ตาม ข้าก็คิดเสมอว่าเราควรใส่ใจคณิตศาสตร์ให้มากกว่านี้ เหมือนที่เราต้องการอาวุธดีๆ ก่อนเริ่มสงคราม เราไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า เราจึงต้องการเครื่องมือคณิตศาสตร์มากขึ้น แม้เราจะไม่สามารถหาความหมายต่ออาร์คานาของคณิตศาสตร์ได้ในตอนนี้ก็ตาม”
“เอาล่ะ…” ราเวนติกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกฟรอเรนเซียขวางไว้เสียก่อน “หลังจากอ่านวารสารธรรมชาติแล้ว โอลิเวอร์ก็เห็นด้วยกับประเด็นของเจ้า เขามีปัญหาในการหาวิธีคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องสำหรับเรื่องที่เขาวิจัยอยู่ จนกระทั่งเขาได้เห็นระบบเลขคณิตใหม่ทั้งสอง”
เนื่องจากมหาจอมเวทอย่างฟรอเรนเซียเห็นด้วย แลร์รี่และเคจึงตัดสินใจอยู่เงียบๆ ลูเซียนจึงใช้โอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วสงครามระหว่าง ‘คลื่น’ และ ‘อนุภาค’ กระจายไปถึงองค์กรเราไหมขอรับ?”
“ถึงสิ มีการโต้เถียงกันมากมาย จนข้าเห็นนักเวทเถียงกันทุกวัน บางคนโกรธจัดจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ โชคดีที่เราห้ามทันและไม่มีใครบาดเจ็บ” แกสตันตอบด้วยน้ำเสียงหัวเสียเล็กน้อย
ข้อเท็จจริงที่ว่ายังมีนักเวทอีกมากที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่นของแสงอยู่ในองค์กร ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ฐานที่มั่นของนักธาตุซึ่งน่าจะนิยมทฤษฎีอนุภาคมากกว่า เป็นบทพิสูจน์ถึงความนิยมในทฤษฎีคลื่นของแสง
ดูเหมือนแกสตันไม่ได้สนใจในสงครามระหว่างคลื่นและอนุภาค เนื่องจากเขาเคยเห็นสถานการณ์อย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และกลุ่มนี้ก็ประกอบไปด้วยผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงมองไปรอบๆ และพูดขึ้น “พวกหัตถ์ไร้ชีวาไม่ส่งใครมาเลยสักคน”
“ทำไมขอรับ?” ลูเซียนรู้สึกสงสัย เขารู้ว่ากลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาต้องได้รับคำเชิญแน่นอน
ฟรอเรนเซียมองไปรอบตัวและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เป็นเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยและชวนฝัน “สภาสูงสุดและคณะกรรมการกิจการกำลังสืบสวนความสัมพันธ์ระหว่างไฮด์เลอร์กับโลกขาวดำ กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาก่อปัญหาขึ้นมาเอง แล้วพวกเขาก็มีเรื่องขัดแย้งกัน สมาชิกของกลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาเลยเลือกที่จะแสดงออกให้เห็นด้วยวิธีนี้”
ลูเซียนย่นคิ้ว เขาไม่คิดว่าหลังจากการค้นพบการมีอยู่ของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ที่เป็นปริศนา และภัยซ่อนเร้น กลุ่มหัตถ์ไร้ชีวาก็ยังพยายามเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย! เขาสงสัยว่าธานาทอสและเหล่าเทพอสูรจอมเวทคงอยากเก็บไว้สำรวจด้วยตัวเอง
แต่พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าอัลเทอร์นาและสิ่งมีชีวิตลึกลับ ในฐานะมหาจอมเวท พวกเขาไม่น่าทำเรื่องผิดพลาดแบบนี้ บางทีน่าจะมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นเสียมากกว่า
เขาคิดว่าเขาอาจจะรู้ข้อมูลเรื่องนี้ได้จากเฟลิเป
ณ ตอนนั้นเอง อันโนนิส ‘นักโหราศาสตร์’ เดินขึ้นบนเวทีและเชิญเลฟสกีขึ้นไป เขากำลังจะให้รางวัลกับเลฟสกีเป็นคนแรก
อันโนนิสถือไม้เท้าสีดำลักษณะเป็นเกลียวคลื่น เขามองดูเลฟสกีและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นานกว่าสิบปี ไม่มีใครค้นพบคุณค่าที่แท้จริงในบทความของท่าน ท่านถูกดูหมิ่นและโจมตีตลอดมา ถือเป็นความผิดพลาดของกลุ่มหอคอยและเป็นความผิดพลาดของข้าด้วยเช่นกัน ข้าไม่เคยอ่านวิจัยของท่านให้ละเอียด ก่อนจะโยนทิ้ง”
“โชคดี เรายังมีโอกาสได้ชดใช้เรื่องนี้ เราขอใช้คทาอาร์คานาที่ยี่สิบเอ็ด ‘เรขาคณิตเลฟสกี’ เพื่อยกย่องระบบเรขาคณิตใหม่ที่ท่านสร้างขึ้นมาและเพื่อเชิดชูผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่านต่อวงการคณิตศาสตร์ ท่านผ่านอุปสรรคหนักหนามากมาย และท่านยืนหยัดในสิ่งที่ท่านเชื่อ นี่คือจิตวิญญาณที่แท้จริงแห่งอาร์คานาและเวทมนตร์!”
เลฟสกีรับคทาด้วยความรู้สึกมากมายประดังประเดผ่านความคิดของเขา เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาและพูดเพียงสั้นๆ
“เรื่องแรก ข้าต้องขอขอบคุณ อีวานส์ หากไม่มีการพิสูจน์และความรู้เชิงตรรกะของเขาแล้ว ข้าคงไม่มีโอกาสได้รับคทาในวันนี้”
“นอกจากนี้ ข้าอยากจะบอกทุกคนว่าคณิตศาสตร์แตกต่างจากอาร์คานา สาขาอื่น ในสาขานี้ เราต้องใช้ความคิดเชิงตรรกะล้วนๆ ที่ไม่ยึดโยงกับความจริง เราต้องใช้ความกล้า”
อารมณ์ของเขาสั่นไหวขณะพูด น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ชัดนัก
“การศรัทธาในความเชื่อของตัวเองอาจไม่เป็นสุขนัก แต่มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่า!”
ทุกคนปรบมือ ไม่ใช่เพียงเพื่อเสริมความยินดีเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการขอโทษด้วยเช่นกัน
หลังจากเลฟสกีกล่าวสุนทรพจน์จบ อันโนนิสก็เชิญลูเซียนขึ้นไปบนเวที