บทที่ 481 การพบพานแสนแปลกประหลาด
‘ลูเซียน อีวานส์! เขาคือลูเซียน อีวานส์!’
แม้ว่าพลังของรามิโร่จะถูกลดลงไปที่ระดับเจ็ด เขาก็ยังจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ เพราะลูเซียนไม่คิดแม้แต่จะพยายามปิดบังคลื่นเวทมนตร์ของเขา ตอนนี้รามิโร่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ่งแล้วว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับภัยร้ายรูปแบบใดอยู่กันแน่
หลังจากเวลาผ่านไปสิบสองวินาที พลังของเขาย่อมถูกลดลงไปอีกหนึ่งระดับขั้น หากว่าเป็นเช่นนั้น รามิโร่ย่อมหมดโอกาสตอบโต้ลูเซียน อีวานส์ ผู้มีอุปกรณ์เวทมนตร์มากมายไปโดยสิ้นเชิง รามิโร่รู้ดีว่าลูเซียน อีวานส์ มีคทาเวทมนตร์อันทรงพลังที่มีหินสุริยันต์ฝังเอาไว้ ซึ่งสามารถเรียกใช้ ‘เวทจองจำ’ ได้ หากว่าลูเซียน อีวานส์ มองเห็นโอกาสในการสาปดวงจิตหรือแทรกแซงโชคชะตาของเขา รามิโร่คงไม่รอดแน่!
ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาต่อสู้กับลูเซียน อีวานส์ และลูเซียน อีวานส์ คงจะต้องมองออกถึงวิธีการที่เขาระเบิดพลีชีพแต่ยังมีชีวิตรอดมาได้เป็นแน่ ตอนนี้ อาวุธลับของเขาได้ถูกเปิดเผยไปแล้ว ลูเซียนย่อมระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม
ลูเซียน อีวานส์ ได้ใช้เวทสองบทติดต่อกันไปแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้น รามิโร่ก็เชื่อว่าลูเซียน อีวานส์ ยังติดสถานะหน่วงเวลาก่อนที่จะสามารถร่ายคาถาบทถัดไปได้
นี่คือโอกาสดีที่สุดที่เขาจะพลิกสถานการณ์ ยิ่งเขารั้งรอ ทุกอย่างจะยิ่งอันตราย!
เขาต้องตัดสินใจบัดเดี๋ยวนี้
ความคิดมากมายที่มิอาจควบคุมได้วูบผ่านในใจรามิโร่ แต่ภายในหนึ่งวินาที รามิโร่ผู้เป็นนักสู้มากประสบการณ์ ก็ตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดโดยยึดจากสถานการณ์ปัจจุบัน นั่นคือ ระเบิดพลีชีพ!
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาจะระเบิดตัวเองในรอบสองสามเดือน แม้ว่าเขาจะยังฟื้นตัวจากการพลีชีพในครั้งก่อน แม้ว่านี่อาจสร้างความเสียหายต่อร่างกายเขาในระยะยาวและทำให้เขาเลื่อนระดับขั้นไม่ได้ แต่รามิโร่ก็ยังเลือกหนทางนี้! ความลังเลจะกลายเป็นอาวุธร้ายแรงที่เขาหยิบยื่นให้กับศัตรู! หากเขาตาย ร่างกายเขาอาจเสียหายไปตลอดกาล และเขาก็อาจไม่สามารถเลื่อนระดับได้อีกเลย
ตู้ม! แรงระเบิดเสียงดังกึกก้องทำให้ทองคำ เงิน และอัญมณีรอบๆ นั้นกลายเป็นผุยผง พลังรุนแรงของคลื่นกระแทกก่อเป็นแรงผลักดันอันเกรี้ยวกราดที่พุ่งตรงไปหาลูเซียน!
รามิโร่ไม่คิดว่านี่จะทำให้ลูเซียน อีวานส์ เสียชีวิตได้
แต่นี่อาจรบกวนและตัดขาดการเตรียมการร่ายคาถาเวทบทถัดไปได้!
เจตจำนงของรามิโร่ดูจะหลอมรวมเข้ากับแรงระเบิดครั้งใหญ่นี้
ระยะเวลาหน่วงในการร่ายเวทมนตร์ของลูเซียนนั้นสั้นกว่านักเวทระดับหกทั่วไปอยู่สองสามวินาที เพราะเขาได้นำทวิภาคของคลื่น–อนุภาคมาปรับใช้กับวิธีการเข้าฌานสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีที่เข้าใกล้ความจริงของโลกมากยิ่งขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ หนึ่งในเวทมนตร์สองบทแรกที่เขาเพิ่งใช้กับรามิโร่นั้นเป็นเพียงเวทมนตร์ระดับสี่และอีกบทนั้นมาจากเสื้อคลุมบัลลังก์นิรันดร ดังนั้น ลูเซียนจึงใช้เวลาประมาณหนึ่งวินาทีเท่านั้นในการฟื้นฟูหลังการหน่วง
รามิโร่คาดการณ์ว่าลูเซียน อีวานส์ อาจเปลี่ยนไปร่ายเวทป้องกันเพื่อคุ้มกันตนเองจากแรงระเบิด นั่นจะทำให้เขามีเวลาครู่สั้นๆ ในการเคลื่อนย้ายดวงจิต
เมื่อคลื่นจากแรงระเบิดโถมเข้าใส่จากทุกทิศทาง การป้องกันตัวเองมักจะเป็นตัวเลือกแรกเสมอ
ลูเซียนฟื้นฟูพลังจากการหน่วงเร็วกว่าที่รามิโร่คาดไว้ และเขาก็กำลังจะใช้ ‘เวทอาณาเขตดูดซับพลังงาน’ จริงๆ
ทว่า ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็นึกถึงสิ่งที่เขาคอยย้ำเตือนตัวเองซ้ำๆ ขึ้นมาได้
‘ถ้าหากเขาหรือกักขังรามิโร่ไม่ได้ รามิโร่จะต้องไปบอกกับทางศาสนจักรแน่ว่าเขาคือใคร ถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงหมดโอกาสในการสังเกตการณ์การถือกำเนิดของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดแบบนี้แน่ๆ และตัวเขาเองก็คงจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงถ้าเกิดว่าพระคาร์ดินัลหลวงตัดสินใจพุ่งเป้ามาที่เขา
‘ลูเซียนจะปล่อยรามิโร่ให้หลุดมือไปไม่ได้ เขาจะต้องฆ่าหรือไม่ก็กักขังรามิโร่เอาไว้!’
ผลลัพธ์จากการปล่อยรามิโร่ให้หลบหนีไปแล่นวูบเข้ามาในใจลูเซียน ดังนั้น แทนที่จะป้องกันตัว ลูเซียนกลับฉวยโอกาสนี้เรียกใช้งานหนึ่งในอุปกรณ์เวทมนตร์ของเขา
ลำแสงโปร่งใสแผ่พุ่งออกมาจากอกซ้ายของลูเซียนและทะลุผ่านคลื่นจากแรงระเบิดเต็มไปด้วยกลุ่มควันด้วยอุณหภูมิเย็นเยือก
ในขณะเดียวกันนั้น แรงระเบิดรุนแรงก็กระแทกเข้าใส่ลูเซียน แล้วเขาก็หายลับไปจากจุดนั้น
วินาทีถัดมา ลูเซียนก็ปรากฏกายขึ้นอีกครา เขามายืนอยู่ข้างทางเข้าอุโมงค์ลับแล้ว พร้อมกับสนามพลังงานที่ปกคลุมเขาเอาไว้ชั้นหนึ่ง
เนื่องจากลูเซียนเลือกที่จะเรียกใช้งานอุปกรณ์เวทมนตร์ก่อน ระยะเวลาในการเปิดใช้งานเวทป้องกันจึงล่าช้าไปเล็กน้อย ใบหน้าลูเซียนดูซีดเซียว และมีหยาดโลหิตไหลย้อยออกมาจากมุมปากเขา ต้องขอบคุณการป้องกันจากเสื้อคลุมบัลลังก์นิรันดรที่สวมอยู่ และรวมถึง ‘เวทเคลื่อนที่ระยะสั้น’ ที่เคลื่อนย้ายเขาให้ออกห่างจากแรงระเบิดระลอกแรกที่ทรงพลังที่สุด มิเช่นนั้นเขาคงจะบาดเจ็บหนักเหมือนคราวที่เขาถูกกระแทกจนหลุดเข้ามาในมิตินี้เป็นแน่
เมื่อฝุ่นควันค่อยๆ หายไป ลูเซียนก็หยิบ ‘ลำนำน้ำ’ ออกมาหลอดหนึ่งแล้วกระดกลงไป สีหน้าเขาจึงดูดีขึ้น
เพราะความเย็นเยียบอันเป็นผลมาจาก ‘เวทโลกแห่งความเงียบงัน’ พลังจากการระเบิดจึงเกิดขึ้นไม่นาน มันหายลับไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากผ่านไปหลายวินาที บนพื้นคือกองฝุ่นผงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทองคำ เงิน และอัญมณี อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และวัสดุมากมายต่างก็ถูกทำลายไปเพราะการระเบิด
ขณะที่ลูเซียนตรวจสอบดูรอบกายอย่างระแวดระวัง เขาก็เห็นแก้วคริสตัลกองอยู่ตรงจุดที่รามิโร่ระเบิดตัวเอง ภายในคริสตัลนั้นมีเงาแปลกประหลาดอยู่
ลูเซียนหยิบคริสตัลก้อนนั้นขึ้นมาโดยใช้ ‘เวทหัตถ์นักเวท’ เขาแน่ใจว่านี่คือส่วนของ ‘เวทโลกแห่งความเงียบงัน’ ซึ่งยังไม่ละลายไปทั้งหมด
เมื่อลูเซียนเพ่งมองเงาภายในคริสตัลก้อนนั้น เขาก็เห็นใบหน้าซีดเซียวของรามิโร่ สีหน้าเขาแข็งทื่อว่างเปล่าราวกับว่าใบหน้าเขาถูกแช่แข็งมานานหลายพันปีแล้ว
ดูเหมือนว่าร่างกายและดวงวิญญาณของรามิโร่จะค่อนข้างพิเศษ ทุกครั้งที่ลูเซียนร่าย ‘เวทโลกแห่งความเงียบงัน’ มิเคยมีร่างหรือดวงวิญญาณของผู้ใดรอดมาจากพลังหลอมละลายนี้ได้ ลูเซียนปิดผนึกคริสตัลก้อนนี้โดยใช้เวทมนตร์ จากนั้นจึงหยิบลูกแก้ว ‘แสงอรุณ’ ของตนออกมาเพื่อระบุหาชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆ ที่รามิโร่อาจใช้สำหรับการคืนชีพ
ลูเซียนเคยเห็นรามิโร่ระเบิดพลีชีพตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ได้เห็นรามิโร่มาอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารามิโร่จะมีวิธีการฟื้นคืนชีพในแบบของเขา ลูเซียนเดาเอาว่ามันเป็นเพราะการแบ่งแยกตัวเองด้วยวิธีน่าขนลุกและพลังแห่งการสืบพันธุ์
ลูเซียนไม่รู้ว่าการกำจัดดวงวิญญาณรามิโร่ที่เหลืออยู่จะขจัดรามิโร่ไปได้โดยสิ้นเชิงหรือไม่ เขาจึงตัดสินใจค้นหาส่วนที่เหลืออยู่ของรามิโร่ก่อน
การฟื้นคืนชีพของรามิโร่ไม่ได้พึ่งพาพิธีกรรมเวทมนตร์ใดๆ ดังนั้นมันจึงต้องมีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่อยู่ ดังนั้น ลูเซียนจึงเชื่อว่าวิธีการฟื้นคืนชีพของรามิโร่น่าจะแตกต่างจากเครื่องรางกักพลังของเทพอสูรหรือ ‘เวทซ่อนชีพ’ ที่ฟิลิเปพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เจ้าของฟื้นคืนชีพได้ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือสถานที่ใดหลังการเสียชีวิต
แน่นอนว่าหากพลังโลหิตของรามิโร่แข็งแกร่งมากพอจะทลายข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ได้ หรือหากส่วนที่เหลือของร่างกายรามิโร่ถูกซ่อนไว้ในนครศักดิ์สิทธิ์แลนซ์ ลูเซียนก็ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีสุดชีวิตหลังออกไปจากเขตแดนของเทพเจ้าแห่งยมโลก
ภายในลูกแก้วคริสติล ปรากฏดวงแสงสองดวงที่เชื่อมโยงกันด้วยเส้นสายซีดจางยากจะสังเกตเห็น
ดูเหมือนว่าอวัยวะส่วนหนึ่งของรามิโร่ที่มีไว้สำหรับการฟื้นคืนชีพจะอยู่ที่ปากทางเข้าเขตแดนนี้เอง ไม่แปลกใจเลยที่รามิโร่ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้ามาในนี้ นั่นเพราะเขากำลังจัดเตรียมสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นคืนชีพ ลูเซียนประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากเก็บลูกแก้วกลับไป ลูเซียนก็รีบไปเก็บรวบรวมวัสดุและอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่
ดูจากเส้นสายที่ปรากฏในลูกแก้ว ลูเซียนรู้ได้ทันทีว่ากระบวนการฟื้นคืนชีพยังไม่เริ่มขึ้น เพราะเขาได้แช่แข็งดวงวิญญาณของรามิโร่เอาไว้
ลูเซียนเก็บแร่โลหะอะดามันไทน์ มิธริล หินวิญญาณ และเหล็กโลหิตได้มากกว่าที่คิด แม้ว่าเหล็กอุกกาบาตจะเหลืออยู่ไม่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับลูเซียนแล้ว อีกทั้ง ลูเซียนยังค้นพบดอกไม้ล้ำค่าที่มีชื่อว่าดอกแอนโนเชียร์ซึ่งมีไว้ใช้ซ่อมแซม ‘เข็มขัดสุขภาพ’ ของเขาอีกด้วย ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือแร่เหล็กน้ำแข็ง
ทันใดนั้น ทั้งปราสาทก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงชนิดที่ลูเซียนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น กลุ่มควันดำหลั่งไหลเข้ามาหลอมละลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ฟรานซิสทำอะไรลงไปกันนี่
เขตแดนเริ่มถล่มลงมาแล้ว!
สถานการณ์พลันพลิกผันกลายเป็นอันตรายร้ายแรง ลูเซียนรีบเพ่งสมาธิไปที่ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวเขาเพื่อหาทางออกด้วยการพยากรณ์
ดวงดาวเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับ แล้วแสงจากลูกแก้วคริสตัลก็ชี้ไปยังอุโมงค์ลับที่อาซินเพิ่งจะเดินเข้าไป
ลูเซียนประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าอุโมงค์ลับนั้นมิใช่เพื่อมุ่งเข้าไปสู่เขตแดนส่วนลึก กลับเป็นอีกทางออกหนึ่ง แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาคิดถึงแผนการอื่น เขารีบร่าย ‘เวทเร่งความเร็ว’ ใส่ตัวเอง แล้วพุ่งทยานออกไปทางอุโมงค์นั้น
ผนังสองข้างทางอุโมงค์เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจที่ถูกกักขังเอาไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหล่านั้นยื่นแขนซีดเซียวออกมาพยายามจะจับตัวลูเซียน แต่เขารวดเร็วเกินไป ภูตผีปีศาจที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังไม่นานก็ถูกกลืนกินไปเพราะการพังทลาย
ที่สุดปลายทางอุโมงค์มีห้องโถงใหญ่ ที่ที่อัศวินไร้ศีรษะแห่งความตายพุ่งตัวเข้าใส่ลูเซียน เขตแดนกำลังจะพังทลายลง และเหล่าอัศวินแห่งความตายก็คลุ้มคลั่งไปแล้ว
ลูเซียนชี้ไปที่อัศวินด้วยมือขวา แล้วลำแสงสีเขียวดุจหยกก็พุ่งออกไป
เหล่าอัศวินแห่งความตายเสียสติเกินกว่าจะหลบเลี่ยง ส่งผลให้ลำแสงสีเขียวกระแทกใส่หน้าอกอัศวินแห่งความตายตัวหน้าสุด ฉับพลันนั้น ร่างกายของมันก็หลอมละลายกลายเป็นจุดแสงสีเขียวเปล่งประกายแล้วหายลับไป
เวทมนตร์ระดับหก ‘เวทแตกตัว!’
ดูเหมือนว่าบรรดาผู้อารักขาจะอ่อนกำลังลงอย่างมากเมื่อเขตแดนเริ่มพังทลาย ลูเซียนนึกสงสัยว่าอาซินออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร แต่ในเมื่ออาซินยังรู้กระทั่งการมีอยู่ของอุโมงค์ลับ เขาย่อมต้องเตรียมตัวมาดีเป็นแน่
ที่ด้านล่างสุดของปราสาทมีประตูสีดำขนาดยักษ์อยู่ ประตูนั้นปิดแน่นราวกับมิมีสิ่งใดจะเปิดมันได้
ที่ไล่ตามลูเซียนมานั้นคือกลุ่มควันดำน่ากลัวที่โถมถั่งมาราวกับคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า มันกลืนกินทุกสรรพสิ่งไปตลอดทาง
ลูเซียนเริ่มร่ายคาถาอย่างเงียบงัน คลื่นเวทมนตร์ล่องหนแผ่ออกไปยังประตูนั้นและทำให้มันบิดเบี้ยว
ส่วนที่ได้รับผลกระทบบนประตูเริ่มโปร่งแสงราวกับเป็นกระจกสีดำ
ลูเซียนวิ่งตรงไปที่จุดนั้นแล้วกระแทกกระจกด้วยไหล่ข้างขวา แล้วประตูก็แตกกระจายร่วงกราวเหมือนกับกระจกของจริง!
ชิ้นส่วนสีดำร่วงลงไปบนพื้น แล้วลูเซียนก็รวบรวมพลังทั้งหมดก่อนจะกระโดดออกไป
เวทมนตร์ระดับหก ‘เวทกระจกดูแลค!’
แล้วลูเซียนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของสายน้ำ
เขาหันกลับไปมองก็เห็นว่าเขตแดนของเทพเจ้าแห่งยมโลกได้หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาพลันสังหรณ์ใจบางอย่าง จึงหยิบแก้วคริสตัลที่กักเก็บดวงวิญญาณของรามิโร่เอาไว้ ก็เห็นว่าชิ้นส่วนภายในนั้นเริ่มขยับยุกยิก และดวงวิญญาณก็เริ่มบวมเปล่ง ราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออก
ลูเซียนค่อนข้างตกตะลึงและเริ่มวิตกกังวล
ด้วยไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ลูเซียนจึงร่ายเวทที่ชื่อว่า ‘เสื้อคลุมท้องทะเล’ แล้วว่ายตรงไปยังตำแหน่งที่เขาใช้ลูกแก้วระบุหา
เขาจะไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้รามิโร่!
ตำแหน่งนั้นมิได้อยู่ไกลนัก แต่ก่อนที่ลูเซียนจะไปถึง แก้วคริสตัลในมือเขาก็ละลายไปหมดแล้ว รวมถึงดวงวิญญาณและชิ้นเนื้อในนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงหินก้อนใหญ่ในแม่น้ำ ลูเซียนก็ขึ้นไปบนฝั่งด้วยความระแวดระวังอย่างยิ่ง เพราะรู้ดีว่ารามิโร่อาจกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
หลังจากแหวกพืชน้ำออกไปให้พ้นทาง สีหน้าลูเซียนก็กลายเป็นว่างเปล่า เขาไม่เห็นรามิโร่อยู่ที่นี่ กลับกลายเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ผมสีทองของนางผูกเป็นหางม้าเอียงไปทางด้านขวายาวลงมาบนบ่า ข้างกายนางคือดาบยาวที่แผ่เปลวเพลิงสีดำออกมา และนางก็กำลังถือกิ่งไม้รูปร่างประหลาด ซึ่งบนนั้นมีชิ้นเนื้อสีเข้มเสียบเอาไว้
นางกำลังปิ้งเนื้อบนเปลวเพลิงสีดำจากดาบ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน” ความรู้สึกคุ้นเคยแสนแปลกประหลาดทำให้ลูเซียนโพล่งถามออกไป
เด็กสาวหันกลับมามอง ดวงตาสีแดงเลือดของนางมองลูเซียนด้วยความจริงจังราวกับว่าลูเซียนเพิ่งจะถามคำถามที่เห็นคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว
“ข้ากำลังทำเนื้อแดดเดียว”