บทที่ 511 การค้นพบ
ช่วงเช้าหลังจากฝนตกมีอากาศสดชื่นเป็นพิเศษ พระอาทิตย์ยังไม่ได้ขึ้นสูงนัก แต่ก็แผ่ความอบอุ่นและอ่อนโยนออกมา
ม้าเกล็ดมังกรที่ผ่านการคัดเลือกที่เปล่งแสงเรืองรองสีเทาเงิน เป็นพาหนะนำพาอัศวินผู้ภาคภูมิไปยังพระราชวังเนคโซ ซึ่งต่างควบม้าด้วยท่าทางสง่างามราวกับกำลังเต้นรำ
ด้านหลังของพวกเขา นาตาชารับเครื่องบรรณาการตำแหน่งของนางพร้อมกับมงกุฎสีทองและ ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ และตามหลังมาด้วยดยุกอีกเก้าคน และขุนนางระดับลดหลั่นลงไปคนอื่นๆ
หลังจากทุกคนเดินทางมาถึงพระราชวังเนคโซ เหล่าขุนนางก็แยกย้ายกระจายตัวออกไปยังโถงที่ประชุมซึ่งรัฐสภาแห่งขุนนางตั้งอยู่ เฝ้ารอให้องค์ราชินีเปิดการประชุมครั้งแรกในสมัยของนาง
นาตาชาเดินทางกลับไปยังวังราชินีอย่างสุขุมและเปิดวงพลังเทพเพื่อปกป้องศูนย์กลางของพระราชวังเนคโซ จากนั้นนางจึงถอดชุดเกราะออกและเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวทางการสีดำด้วยความช่วยเหลือของคามิลและข้ารับใช้อีกสองคน
นาตาชาส่งสัญญาณให้แม่บ้านทั้งสองออกไป แล้วก็เผยให้เห็นถึงความเหนื่อยอ่อนเล็กๆ ออกมา “กดดันเหลือเกิน ข้าดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นศัตรู ใครเป็นมิตร และใครสนับสนุนให้ข้าขึ้นมารับตำแหน่ง ที่นี่แปลกประหลาดและดูหดหู่มากถ้าเทียบกับที่โอวาริต ข้าไม่กล้าพูดอะไรด้วยซ้ำถ้ายังไม่ได้เปิดวงพลังเทพ คริโทเนีย ‘เจ้าแห่งกาล’ คอยดูแลความปลอดภัยของพระราชวังเนคโซและทั้งนครเรนทาโต”
เห็นได้ชัดว่านางไม่ไว้ใจคริโทเนีย
“จริงๆ แล้ว ฝ่าบาทไม่ควรมาสืบทอดบัลลังก์ที่นี่ โฮล์มซับซ้อนยิ่งกว่าโอวาริตมากนักเพค่ะ การเป็นคนนอกที่ใครสนับสนุนเป็นรูปธรรม ฝ่าบาทอาจเข้าไปพัวพันกับแผนร้ายและเหตุจลาจลได้โดยง่าย” คามิลบรรยายความรู้สึกออกมา แม้จะอยู่ในอากัปกิริยาเย็นชาตามปกติ “ไม่ว่าฝ่าบาทจะเลือกเอนเอียงไปทางสภาเวทมนตร์ หรือศาสนจักร หรือจะถ่วงดุลอำนาจ จะมีปัญหาตามมามากมายอยู่ดี”
นาตาชาพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ “ข้ารู้ดี แม้ข้าจะร่วมมือกับศาสนจักรโจมตีสภาเวทมนตร์ โดยไม่สนใจท่านยายแฮททาเวย์และราชวงศ์โฮล์ม ก็ยังไม่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านสภาได้ สภาเวทมนตร์เติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องการควบคุมอิทธิพล เราต้องการความช่วยเหลือจากคลังโฮล์ม บริแอนน์ โคเล็ตต์ และคาเลส์ และนั่นจะก่อให้เกิดการคัดค้านและการปฏิวัติของเหล่าเสรีชน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชอาณาจักร และโฮล์มจะพังพินาศ”
“หากเลือกวางตัวเป็นกลาง ศาสนจักรจะกดดันข้าแน่นอน แล้วข้าต้องคิดด้วยว่าตระกูลไวโอเล็ตและท่านพ่ออยู่ในอาณาเขตที่ศาสนจักรทรงอิทธิพลที่สุด”
“แล้วทำไมฝ่าบาทจึงเลือกตัวเลือกที่ไม่ฉลาดเสียเลย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจแล้วเพคะ?” คามิลตำหนินาง
นาตาชาส่ายศีรษะและตอบอย่างเยือกเย็น “ข้ามีข้ออ้างอะไรบ้าง? ถ้าประกาศว่าข้าไม่เต็มใจช่วยเหลือศาสนจักร ก็เท่ากับทรยศต่อความศรัทธาและก็จะถูกลงโทษจากนครศักดิ์สิทธิ์ และตระกูลไวโอเล็ตจะอ่อนแอลงทั้งที่เปิดเผยได้และไม่ได้ ตอนรู้ข่าว ข้าคิดไว้แล้วว่าสักวันคงต้องมาโฮล์ม แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ท่านพ่อนั่นแหละแนะนำให้ข้ามาและยังเล่าถึงความเสียใจของท่านแม่ให้ฟัง”
“เพราะข้าไม่มีข้ออ้าง และสายเลือดฮอฟเฟนเบิร์กที่อยู่ในตัวข้า ข้าก็ควรจะแบกภาระความรับผิดชอบโฮล์ม ข้าไม่อยากเห็นสงครามกลางเมืองในโฮล์มจนบ้านเกิดเมืองนอนที่ท่านแม่รักกลายเป็นนรก นี่แหละสาเหตุที่ข้าต้องมาที่นี่”
“อีกอย่างนะ ข้าก็เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า เป็นผู้นำตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก และเป็นเคานต์ติสแห่งไวโอเล็ต ศาสนจักรก็น่าจะเคารพปณิธานของข้าในระดับหนึ่ง เหมือนเมื่อก่อน”
“นาตาชา นั่นมันเมื่อก่อนเพคะ ถ้าสถานการณ์ในโฮล์มมาถึงจุดวิกฤติแล้ว ศาสนจักรคงไม่สนใจว่าฝ่าบาทคิดอะไร มีแต่จะขอให้ฝ่าบาทสละชีวิตเพื่อพระผู้เป็นเจ้า” คามิลมองว่าแผนของนาตาชายึดติดกับอุดมคติมากเกินไป
นาตาชายิ้มและตอบอย่างแน่วแน่ “ถ้าขัดแย้งกับปณิธานของข้าโดยสิ้นเชิง ข้าขอพลีชีพตัวเองดีกว่า ศาสนจักรไม่อาจก้าวล่วงอำนาจของราชบัลลังก์ได้ตามอำเภอใจ นั่นเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน หากศาสนจักรคิดจะแหกกฎ ก็จะกลายเป็นพวกนอกรีตและสร้างความเกลียดชังขึ้นในบรรดาขุนนางทั้งหมด”
คามิลมองนาตาชาและช่วยนางทำความสะอาดสร้อยคอ “ฝ่าบาทวางแผนอะไรอยู่เพคะ? พระองค์อยากให้โฮล์ม เป็นแบบไหน? มีแนวทางในอนาคตอย่างไรกันแน่?”
“ที่จริง ข้าก็ยังไม่รู้ ตอนนี้ข้ายังตัดสินใจอะไรไม่ได้” นาตาชามีท่าทีสับสนอยู่ในที
คามิลมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม “ฝ่าบาทควรจะรีบคิดนะเพคะ ไม่ว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างสภาเวทมนตร์ หรือศาสนจักร หรือวางตัวเป็นกลาง ฝ่าบาทก็ต้องรีบตัดสินใจ นี่เป็นวิธีเดียวที่เราจะได้เตรียมแผนรับมือล่วงหน้า”
คามิลกำลังหมายถึงเรื่องของราชรัฐโอวาริต
“ข้าเข้าใจ ข้าต้องตัดสินใจหลักการการบริหารโดยเร็วเพื่อออกกฎหมายและกำจัดฝั่งตรงข้าม แต่ว่านั่นต้องอาศัยความเข้าใจสถานการณ์ในโฮล์มที่ลึกซึ้งกว่านี้ ตอนนี้ เรื่องเดียวที่รู้ชัดเจนก็คือแม้แต่ขุนนางฝ่ายซ้ายสุดก็ไม่อยากถูกศาสนจักรกำจัดทิ้ง และขุนนางฝ่ายขวาสุดก็ไม่อยากตกอยู่ภายใต้อำนาจราชวงศ์สุดขั้วเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน นี่ยังไม่พูดถึงกอร์ดอนที่อุทิศจิตวิญญาณให้กับศาสนจักร ตอนนี้ ข้าคิดว่าควรวางตัวเป็นกลางไปก่อน” นาตาชาพยักหน้า
แล้วนางก็หันกลับหลังไปมองกระจก ขณะกำลังสัมผัสกับตราประจำราชวงศ์ฮอฟเฟนเบิร์ก นางก็บอกกับตัวเองว่า ‘แต่อย่างแรก ข้าต้องเข้าใจความศรัทธาของตัวเองก่อน พระเจ้าในใจข้าคือใครกันแน่? พระเจ้ากับศาสนจักรมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? หากลำพังตัวข้าเองแล้ว ข้าจะวางแผนอนาคต พัฒนาขึ้นเป็นระดับแปด และใช้ดาบแห่งสัจธรรมได้หรือไม่ แล้วก็ยากที่จะบอกว่าพระคาร์ดินัลหลวงซาร์ดคิดและต้องการอะไรกันแน่…”
นางยังไม่เคยบอกแกรนด์ดยุกแห่งไวโอเล็ต หรือบิดาของนาง และคามิลถึงความศรัทธาที่สั่นคลอน นอกเหนือจากลูเซียน ก็มีเพียงลูเซียนและลูเซียนเท่านั้นที่อาจสันนิษฐานได้จากภาพมายาสะท้อน ‘หุบเขาวิมาน’ ที่ฟรานซิสอัญเชิญมา
“เอาล่ะเพค่ะ ถึงเวลาต้องลงไปที่รัฐสภาแห่งขุนนางแล้วเพคะ” คามิลเปิดประตู
นาตาชามองเข้าไปในกระจกเงาอีก เมื่อนางเห็นความกลัวและความเศร้าของหญิงงามผมสีม่วงในกระจก นางก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หลังขึ้นเป็นราชินีของโฮล์มแล้ว ข้าคงไม่อาจไปเยี่ยมท่านยายแฮททาเวย์หอคอยเวทมนตร์ หรือแวะไปดูหอคอยเวทมนตร์และสถาบันอะตอมที่เขาเล่าให้ฟังตลอดตอนอยู่อัลโต้ ทุกความเคลื่อนไหวของข้าจะถูกขุนนางที่คิดร้ายตีความ ถ้าข้าไปหาทั้งสองคนนั้น ก็เป็นสัญญาณว่าข้าเลือกเข้าข้างสภาเวทมนตร์”
“และเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะมาหาข้าภายใต้การจับตามองของคริโทเนีย… ทั้งที่เราอยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่เรากลับต้องห่างไกลกัน”
“หวังว่าวิธีเข้ารหัสใหม่ของเขาจะช่วยให้เราคุยกันได้อย่างปลอดภัย…”
…
ณ โถงประชุมรัฐสภาแห่งขุนนาง นาตาชายืนอยู่บนพลับพลาพิธีและรับเครื่องบรรณาการจากขุนนางอีกครั้ง แล้วนางจึงกล่าวปาฐกถาเพียงสั้นๆ “ตอนนี้ ข้าขอประกาศเรื่องสำคัญสองประการ ประการแรก ทั้งประเทศจะไว้อาลัยเป็นเวลาหนึ่งเดือน ระหว่างการเตรียมพิธีศพของท่านตาและท่านลุงของข้า ในระหว่างนี้ ขอให้งดการประชุมรัฐสภาแห่งขุนนาง คำสั่งและนโยบายทั้งหมดต้องเสนอมาที่ข้า”
ในตอนนี้ ทั้งพระราชาและเจ้าชายต่างถูกพระผู้เป็นเจ้าเรียกตัวกลับไป นาตาชาจึงมีเหตุผลที่เสนอข้อเรียกร้องดังกล่าว ดังนั้น ไม่มีคนขุนนางคนไหนคัดค้าน
นาตาชากล่าวต่อไป “ประการที่สอง เนื่องจากข้ายังไม่มีความรู้ในการงานของราชอาณาจักรดีมากนัก แต่ด้วยความเชื่อมั่นของข้าต่อนโยบายที่ท่านตาและท่านลุงวางไว้ หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและคาดไม่ถึงเกิดขึ้น ข้าจะยังไม่อนุมัติญัตติใดๆ ที่ขอเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือตำแหน่งรัฐมนตรีปัจจุบันเป็นระยะเวลาหกเดือน ขอให้ทุ่มเทเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรดังเช่นแต่ก่อน”
“อะไรนะ?” เหล่าขุนนางสร้างอุทานด้วยความตกตะลึง
เร็กซ์ลุกขึ้นยืนคัดค้าน “ฝ่าบาท เรามีปัญหามากมายในราชอาณาจักรที่ต้องแก้ไขโดยด่วนพะยะค่ะ การไม่อนุมัติญัตติใดๆ เลยมันไม่เกินไปหน่อยหรือพะยะค่ะ?”
“ก่อนที่ข้าจะมารับตำแหน่ง ราชอาณาจักรแห่งนี้ก็เจริญรุ่งเรืองด้วยนโยบายและความอุตสาหะของเหล่ารัฐมนตรี แล้วนโยบายพวกนั้นกลับใช้ไม่ได้เพียงเพราะข้าอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ? นโยบายที่มีประโยชน์จะกลายเป็นโทษภายในหกเดือนอย่างนั้นหรือ?” นาตาชายืนหลังเหยียดตรงและตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว
พวกขุนนางที่เคยชินกับกษัตริย์เฟลติสผู้ชราภาพ และเจ้าชายแพทริกผู้อ่อนแอ ต่างรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลขึ้นมาในทันที
“ไม่พะยะค่ะ กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น กระหม่อมเพียงอยากบอกว่านโยบายเหล่านั้นอาจไม่ตอบรับต่อสถานการณ์ปัจจุบันพะยะค่ะ” เร็กซ์แก้ต่างให้ตัวเอง เขาไม่ต้องการถูกหมายหัวว่าเป็นผู้กล่าวร้ายต่อกษัตริย์ผู้ล่วงลับ
เคานต์เฮนสันผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังก็รู้สึกโล่งอก เก้าอี้ของเขายังมั่นคงในตอนนี้ ดังนั้น เขาจึงยืนขึ้นและโต้แย้งเร็กซ์ “ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้ว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เช่น มีรัฐมนตรีสักคนทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ถึงเวลานั้น ฝ่าบาทจะทรงเลือกคนใหม่ขึ้นมาแทนเอง แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น การใช้นโยบายและรัฐมนตรีเดิมจะช่วยให้อาณาจักรของเราผ่านความเศร้าสลดที่เกิดจากการสูญเสียกษัตริย์และเจ้าชายไป ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้”
ผู้กุมอำนาจในอดีตต่างรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่ไม่อาจกอบโกยอำนาจได้เพิ่มขึ้น แต่พวกเขาก็ยังพอรับได้เนื่องจากผลประโยชน์ของพวกกตนยังไม่เสียหาย ฉะนั้น ขุนนางทั้งฝั่งอนุรักษนิยมและเสรีนิยมจึงสนับสนุนข้อเสนอนี้ ก็ทุกคนในรัฐสภาแห่งขุนนางล้วนก็เป็นผู้กุมอำนาจในอดีตมิใช่หรือ?
“อีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะพระราชทานที่ดินและทรัพย์สินให้กับอัศวินสิบนายที่เดินทางมาพร้อมกับข้าจากท้องพระคลังของราชวงศ์ หากไม่มีผู้ใดคัดค้าน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอันสิ้นสุด จงไปเตรียมการพิธีศพ” นาตาชาจ้องมองไปยังเหล่าขุนนาง
ที่นี่ไม่ใช่ที่แสดงความเห็นของขุนนางว่าด้วยการใช้งบประมาณหลวงของราชวงศ์ ดังนั้น เหล่าขุนนางจึงยืนขึ้นและถวายการอำลาแด่ราชินี
หลังจากพวกขุนนางออกไปหมดแล้ว คามิลก็มองนาตาชาอย่างถ้วนถี่ “ทำได้ดีมากเพคะ ท่านแกรนด์ดยุกคงไม่จำเป็นต้องขอให้หม่อมฉันขอดูแลฝ่าบาท”
นางเชื่อว่านาตาชาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในฐานะเคานต์ติสแห่งไวโอเล็ตตลอดสิบปีที่ผ่านมา
นาตาชายิ้มและมองไปที่สวนที่อยู่ตรงหน้า “มีประชากรและทรัพยากรมากมายในดินแดนใหม่ พวกเขาสนใจแต่เรื่องศาสนจักรกับสภาเวทมนตร์ ข้าทำตามคำแนะนำของใครคนหนึ่งและบริหารด้วยการไม่ทำอะไรเลยไปก่อน”
สิ่งที่นางไม่ได้เอ่ยถึงคืออีกเป้าหมายหนึ่งของสภาเวทมนตร์ ซึ่งก็คือปริศนาของ ‘ฟิชชัน’ และ ‘ฟิวชัน’ ที่เฟอร์นันโดและแฮททาเวย์ กำลังศึกษาจากรูปแบบเวทมนตร์ชั้นตำนานของลูเซียน ซึ่งรวมถึง ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ลูเซียนไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์การทดลองได้ เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากการค้นพบและการวิจัยว่าด้วยอนุภาค เช่น นิวตรอน ดังนั้น เขาจึงให้ผลอ้างถึงอัลเทอร์นา โดยอ้างว่าเขาสร้างรูปแบบเวทมนตร์ด้วยพลังของ ‘ดวงจันทร์สีเงิน’ และการตอบสนองของโลก ดังนั้นแล้ว มหาจอมเวททั้งสองจึงต้องอุทิศตัวเข้าสู่การวิจัยอย่างเต็มที่ แต่แน่นอนว่าเนื่องจากมีรูปแบบเวทมนตร์แล้ว การศึกษาเรื่องนี้ก็ง่ายกว่าการออกไปสำรวจที่ไร้เป้าหมายมากนัก
…
ณ นครอัลลิน ลูเซียนก้าวเท้าเข้ามาในสถาบันอะตอม
หลังจากเฟอร์นันโดยืนยันถึงการมีอยู่ของนิวเคลียสจากการเป่าแผ่นทองด้วยอนุภาคไฮโดรเจน และลูเซียนกับพบนิวตรอนจากการเป่าไนโตรเจนด้วยอนุภาคเดียวกัน สร้างระบบการเล่นแร่แปรธาตุของตัวเองขึ้นมา นักเวทสายธาตุถึงกับบ้าคลั่ง และไม่ต่างกับนักเวทของสำนักอื่น จอมเวทหลายต่อหลายคนก็เริ่มใช้อนุภาคเป่าวัตถุแปลกประหลาดต่างๆ โดยหวังว่าจะค้นพบอะไรบางอย่าง ดังนั้น ลูเซียนจึงเห็นวงเวทและอุปกรณ์การเล่นแร่แปรธาตุคล้ายๆ กันมากขึ้นในสถาบันอะตอม เหมือนกับเครื่องไซโคลตรอนแม่เหล็กไฟฟ้าที่เขา ‘ประดิษฐ์’
“อาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว? เรากำลังอยากพบท่านอยู่พอดี!” แคทรีนาและเลย์เรียอุทานด้วยความดีใจ
“มีอะไรหรือเปล่า?” ลูเซียนดูจากสีหน้าทั้งสองคนก็บอกได้ว่าต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ
ด้วยรอยยิ้มที่เจิดจรัส แคทรีนาก็อธิบาย “อาจารย์คะ เราค้นพบปรากฏการณ์ประหลาดตอนทำการทดลองอุณหภูมิต่ำ พออุณหภูมิของโลหะลดลงถึงระดับหนึ่ง สภาพต้านทานไฟฟ้าจะหายไปเลยค่ะ!”