บทที่ 528 การสำแดงของอิทธิพล
เมื่อสัมผัสได้ว่าลูเซียนเงียบไป นาตาชาจึงถามด้วยความมึนงง “เจ้าไม่ชอบที่ข้าเป็นคนตรงไปตรงมาหรือ”
“เปล่า ข้าชอบความเป็นตัวขอตัวเองและความดุดันของเจ้ามาก เจ้าคงจะไม่ใช่นาตาชาที่ข้ารักหากว่าเจ้าเป็นคนเหนียมอาย” ลูเซียนเองก็แสดงความรู้สึกในใจออกมาเช่นกัน “แต่ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดมานั้น ‘ดุดัน’ เกินไป และมันก็เหมาะจะให้ผู้ชายพูดมากกว่าน่ะ”
นั่นเป็นเพราะที่มาดั้งเดิมของคำพูดนั้นได้ฝากฝังความประทับใจให้ลูเซียนไว้อย่างลึกล้ำ
นาตาชาส่งเสียงขึ้นจมูกและเบ้หน้า “จริงๆ ตอนที่ข้าพูดเช่นนั้น ข้าได้นึกภาพไว้ในหัวแล้วว่าข้ากำลังเล่นเพลง ‘แสงจันทร์’ สร้างบรรยากาศเงียบสงบแต่เศร้าโศกนิดๆ ก่อนที่ข้าจะลุกจากเปียโน เดินมาตรงหน้าเจ้า ลงไปนั่งคุกเข่า คว้ามือเจ้ามาจูบบนหลังมือ ก่อนจะมองสบตากับเจ้า แล้วสารภาพรักอย่างซาบซึ้งตรึงใจ ฮ่าๆๆ”
ลูเซียนรู้สึกขบขัน นี่นาตาชาจำลองสถานการณ์การสารภาพรักที่นางวางแผนไว้สำหรับซิลเวียมาใช้กับเขาอย่างนั้นหรือ
หลังจากหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่ นาตาชาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข “ข้าล้อเล่น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบมัน แต่บอกตามตรง มันแปลกๆ น่ะ ข้าเคยเป็นอัศวินผู้เก่งกาจเรื่องความรัก แต่เหตุใดเรื่องพวกนี้จึงมักนำไปสู่สาเหตุแปลกๆ และทำลายบรรยากาศทุกครั้งที่ข้าอยากจะพูดจาหวานๆ กับเจ้าบ้าง”
“เจ้าเก่งกาจเรื่องความรักและพูดหวานเอาใจงั้นหรือ เท่าที่ข้าจำได้ ข้าคือคนที่สอนเจ้าพูดคำสารภาพรักนั้นนะ” ลูเซียนหยอกเย้านาตาชาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
นาตาชาเปล่งเสียงดังขึ้นยามโต้เถียงกลับมาอย่างเคร่งขรึม “นั่นเป็นเพียงหนึ่งในคำหวานทั้งหมดที่มี ข้าน่ะช่ำชองเรื่องการพูดจาหวานๆ และเป็นเพราะความเก่งกาจเรื่องความรักกับการพูดหวานเอาใจนี่แหละที่ทำให้ข้าชนะใจซิลเวีย! เอ้อ นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นที่ข้าจะสื่อคือ เหตุใดบรรยากาศแสนหวานและโรแมนติกระหว่างเราถึงมักเปลี่ยนไปแบบแปลกๆ ตลอดเลย”
หลังจากเวลาผ่านมาสักพัก นางดูจะลืมเลือนความสะเทือนใจในอดีตไปแล้วและสามารถพูดถึงซิลเวียได้อย่างเป็นปกติ
“ความจริงแล้ว ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้นะ ข้ารู้สึกว่ามันผ่อนคลาย สนุกสนานและอบอุ่นเวลาอยู่กับเจ้า และข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกหากเรายังคงปฏิบัติตัวเช่นนี้ต่อไป” ลูเซียนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งจึงแสดงความรู้สึกของตนออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ทว่าลูเซียนกลับรู้สึกว่าใบหน้าเขากำลังแดงเรื่อเมื่อพูดเช่นนั้น และเขาก็มั่นใจว่านาตาชาคงไม่มีอาการแบบนี้แน่
นาตาชาหัวเราะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ “ข้าเองก็เหมือนกัน มันทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขมากๆ และสบายใจ ราวกับว่าเราได้เริ่มมันขึ้นเมื่อนานมาแล้วและเราก็จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต ตอนที่ข้าอยู่กับซิลเวียเมื่อก่อน ข้ามักจะกังวลว่านางอาจทิ้งข้าไปเลือกเจ้า แต่ตอนนี้เมื่อข้าอยู่กับเจ้า หัวใจข้ากลับสงบนิ่ง เพราะข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตลอด มันหาได้เกี่ยวข้องกับเพศหรือความสุขทางกายไม่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นสตรี ข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะไม่มีทางยอมแพ้แน่
“ลูเซียน ถึงแม้ข้าจะเคยมีประสบการณ์รักมามากมาย แต่ข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกับบุรุษใดมาก่อน หากว่าข้าทำอะไรผิดไปหรือล่วงล้ำอาณาเขตของเจ้า ได้โปรดบอกข้า ข้าจะได้ระวังมากขึ้นในอนาคต ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับซิลเวียนั้นเป็นเพราะเราไม่ซื่อตรงต่อกันมากพอ และเราก็ไม่ได้พูดคุยสื่อสารกันบ่อยๆ ข้าอยากจะปกป้องความรักของเราเอาไว้”
ลูเซียนแย้มยิ้มกว้าง เขาค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียว แต่ก็พอจะควบคุมเสียงตัวเองให้อ่อนโยนได้ “นาตาชา ข้าเองก็เช่นกัน ข้าไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่องความรัก หากว่าข้าทำอะไรแย่ๆ หรือเงอะงะไปบ้าง ได้โปรดอย่าเกลียดข้าและบอกข้ามาตรงๆ ได้เลย”
“ความเงอะงะของเจ้านี่แหละที่ข้าชอบ!” เสียงของนาตาชาเริ่มแหบพร่า ดึงดูลูเซียนให้ตั้งใจฟังยิ่งขึ้น “ข้าตั้งตารอคอยวันเกิดของข้าทันทีที่รู้ว่าเราจะฉลองด้วยกัน”
“เจ้าอยากได้อะไรเป็นของขวัญหรือไม่” ลูเซียนถามกึ่งเย้าแหย่ การจะสร้างความแปลกใจได้นั้นเขาต้องเป็นผู้เตรียมของขวัญด้วยตนเองเท่านั้น
นาตาชาพูดเสียงแผ่วเบากลั้วหัวเราะ “เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าอยากได้ของขวัญอะไรมากที่สุด”
ลูเซียนพลันพูดอะไรไม่ออก
แต่นาตาชากลับพูดต่ออย่างขบขัน “ข้าล้อเล่น ข้ารู้ว่านี่อาณาเขตของเจ้า เจ้าไม่มีทางสนับสนุนให้ข้าทิ้งครอบครัวและภาระหน้าที่เพื่อหนีตามเจ้าไป และข้าก็เคารพในความคิดของเจ้าเช่นกัน ข้าจะทำเพียงจินตนาการถึงภาพนั้นไว้ในใจจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าเต็มใจจะทำด้วยตัวเอง สำหรับข้าแล้ว ของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดคือการมีเจ้าอยู่ข้างกายจนล่วงเลยเข้าวันใหม่
“แต่ว่า ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะถึงวันเกิดข้า น่าจะมีโอกาสให้เราได้เจอกันในระหว่างนั้นอยู่นะ ลูเซียน ข้าคิดถึงอุณหภูมิจากตัวเจ้า รอยยิ้มของเจ้า สีหน้าอันหลากหลายของเจ้า และ…และ ‘รสชาติ’ ของเจ้า”
ลูเซียนนึกว่านาตาชาจะเขินอายในช่วงสุดท้าย แต่มันกลับเหนือความคาดหมายเมื่อนางพูดออกมาอย่างเปิดเผย ดังนั้น เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เขาจึงเอ่ยตอบว่า “ข้าเองก็คิดถึงเจ้า ข้าคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเจ้า”
“จริงหรือ” นาตาชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะสวมชุดราตรีและถุงน่องผ้าไหมสุดโปรดของเจ้า อยากได้สีดำหรือว่าสีอื่นดีเล่า”
เสียงของนางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหลเสียจนร่างกายลูเซียนเริ่มร้อนวูบวาบ เขากำลังจะตอบ แต่นาตาชากลับตัดการสื่อสารไปพร้อมกับเสียงหัวเราะชั่วร้าย ทำเอาลูเซียนถึงกับเซ็ง
ขณะเดินกลับไปกลับมาอยูภายในห้องสมุดของตน ลูเซียนก็คิดในใจ ‘ครั้งก่อน นาตาชาเป็นฝ่ายรุก คราวหน้าข้าจะกระตือรือร้นกว่านี้แล้วเป็นฝ่ายรุกบ้าง ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่สมควรจะเรียกว่าลูกผู้ชายอีกแล้ว’
‘เฮ้อ ข้าควรทำอย่างไรดี ข้าต้องรักษาระยะห่างแค่ไหนกันเพื่อจะเป็นฝ่ายรุกโดยที่นาตาชาไม่รุกเข้ามาก่อน’
‘หลังจากเราเข้าไปในห้อง ถ้านางอยู่ด้านหน้า ข้าก็จะกอดนางจากข้างหลังแล้วจูบตรงติ่งหู ซึ่งจะทำให้นางหมดเรี่ยวแรง…’
‘ถ้าเราเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน ข้าก็จะเบี่ยงเบนความสนใจนางด้วยการพูดถึงเรื่องอื่นๆ ใช่สิ ข้าสามารถสารภาพรักออกไปตรงๆ เพื่อให้นางตื้นตันเพราะความประหลาดใจ…’
‘หรือไม่อย่างนั้น ข้าสามารถทำให้หัวใจนางอ่อนยวบเพราะบรรยากาศโรแมนติก นางจะได้ยอมให้ข้ารุกด้วยความเต็มใจดีนะ’
‘แต่ถ้าเกิดว่านางยังคงตรงไปตรงมาเหมือนเมื่อวานล่ะ’
และโดยไม่รู้ตัว ลูเซียนก็ได้เริ่มวางแผน ‘รุกนาตาชา’ อย่าง ‘ละเอียดพิถีพิถัน’
…
แม้ว่าคู่รักเร่าร้อนจะพยายามควบคุมความถี่ในการติดต่อสื่อสาร แต่ทั้งสองก็คุยกันแทบทุกวัน และไม่นาน เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนแห่งไฟ (กรกฎาคม)
ขณะตรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้า ลูเซียนก็เอ่ยกับลีโอ พ่อบ้านของเขา “เจ้าจะเป็นคนตรวจสอบบัญชีของสองสามบริษัทกับผู้ช่วยที่เก่งเรื่องตัวเลข ข้าได้คุยเรื่องนี้กับอาเธอร์แล้วล่ะ”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับหน้าที่จำเพาะใดๆ ลูเซียนก็ยังคงรักษาผลประโยชน์จากบริษัทโทรศัพท์และโทรเลขอัลลิน บริษัทโฮล์มการแร่และการเกษตร และบริษัทของขวัญจากธาตุด้วยการตรวจสอบบัญชีทุกๆ ไตรมาศ ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่กล้ายักยอกเงินรายได้ของเขา แต่ก็เป็นการดีกว่าสำหรับทั้งสองฝ่ายหากเขาเข้มงวดมากขึ้น
“ขอรับ นายท่าน” ลีโอตอบอย่างเคารพนบนอบ
หลังจากแก้แค้นได้สำเร็จและลงหลักปักฐานที่นี่ เขาก็วางแผนว่าจะสร้างครอบครัวอีกครั้งและตอนนี้เขาก็กำลังคบหาดูใจกับหญิงวัยกลางคนผู้เรียนเวทมนตร์อยู่
หลังออกมาจากหอคอยเวทมนตร์ ลูเซียนก็ตรงไปที่สถาบันอะตอม ตั้งใจจะวิเคราะห์ ‘จัดลำดับเวทมนตร์’ เวทมนตร์ระดับแปด หลังจากแวะไปดูสถาบันสักครู่ เพื่อที่พลังเวทมนตร์ของเขาจะปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งปัญญาได้เร็วขึ้น
ยังไม่ทันที่ลูเซียนจะเข้าไปในห้องทำงาน ลูเซียนก็เห็นแอนนิค สปรินต์ แคทรีนาและลูกศิษย์คนอื่นๆ รอเขาอยู่โดยที่ในมือแต่ละคนมีวารสารอาร์คานาอยู่คนละฉบับ
“แคทรีนา เลย์เรีย รายงานการวิจัยเกี่ยวกับสภาพตัวนำยิ่งยวดของพวกเจ้าได้ตีพิมพ์แล้วงั้นหรือ” ลูเซียนคิดว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้น อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่เคยตีพิมพ์บทความกับวารสารอาร์คานามาก่อน
แคทรีนาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ อาจารย์ มันอยู่บนหน้าที่สามของอาร์คานาฉบับนี้เจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง นักเวทหลายคนจากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้ายังเขียนจดหมายมาหาเราอีกด้วยเจ้าค่ะ บางคนยังถึงกับมาเชิญชวนเราด้วยตัวเองเลยด้วย” เลย์เรียเองก็มีความสุขอย่างมาก นางรู้สึกคล้ายกับจะตัวลอยได้จากการที่ผู้อื่นปฏิบัติกับนางเช่นนี้
ลูเซียนตรวจดูเหรียญตราอาร์คานาของสองลูกศิษย์สาว เมื่อเห็นว่าทั้งสองเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับสี่ได้สำเร็จแล้ว เขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นชอบ “เจ้าจะต้องทำงานนี้ต่อไปเรื่อยๆ เอาล่ะ มีอะไรอีกหรือไม่”
สปรินต์ผู้ใจร้อนกว่าทุกคน เปิดวารสารอาร์คานาในมือและเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ขอรับ ลองดูบทความบนหน้านี้สิขอรับ ท่านมหาจอมเวทโอลิเวอร์ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาทั้งหลายในการทดลองอัตราความเร็วของแสงของท่านประธาน ท่านได้เสนอแนะสูตรการแปลงการหดตัวของความยาวในวัตถุที่ลอยเคลื่อนไหวตรงข้ามกับอีเธอร์ขอรับ”
“วิธีแก้ปัญหาหรือ” ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็พลันตระหนักว่าทุกคนกำลังตื่นเต้นเรื่องงานวิจัยของโอลิเวอร์ ดังนั้น เขาจึงรับวารสารมาอ่านเร็วๆ ตรวจดูว่ามันเป็นไปตามที่พวกเขาพูดคุยหารือครั้งก่อนหรือไม่
ลูกศิษย์ทุกคนมองลูเซียนด้วยสายตาคาดหวังและจริงจัง นึกหวังให้เขาจี้จุดถึงปัญหาทั้งหลายในบทความนี้ แต่พวกเขากลับต้องผิดหวัง เพราะลูเซียนปิดวารสารลงอย่างสงบนิ่งหลังจากกวาดตาอ่านบทความนั้นเสร็จ
“อาจารย์เจ้าคะ?” ไฮดี้อดถามออกมาไม่ได้
ลูเซียนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “มีอะไรหรือ”
“ท่านมี… ความเห็นไหมเจ้าคะ” หลังจากลังเลอยู่ครู่สั้นๆ ไฮดี้ก็โพล่งถามออกมาตรงๆ
ลูเซียนเขย่าวารสารในมือทั้งสองข้างแล้วถามกลับไป “ข้าจำเป็นต้องมีความเห็นอย่างไรหรือ”
หลังจากบังเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง สปรินต์ก็เอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายใจ “อาจารย์ขอรับ นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับการทดลองอัตราความเร็วของแสงของท่านประธานโดยการใช้อีเธอร์นะขอรับ! มันคือการโจมตีทฤษฎีอนุภาคอย่างจัง! ตอนนี้นักเวททั้งหมดในอัลลินที่สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคกำลังรอความเห็นจากท่านประธาน ท่านมหาจอมเวทเจ้าแห่งพายุ ท่านมหาจอมเวทแฮททาเวย์ และท่านนะขอรับ”
หลังจากที่เขาทำลายความเงียบลง ทุกคนก็รีบกล่าวเสริม
“ผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่นต่างกลับมามีท่าทีหยิ่งยโสอีกแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาได้ค้นพบอาวุธชิ้นใหม่แล้ว!” ไฮดี้กล่าวด้วยความไม่พอใจ
“อาจารย์ขอรับ ท่านพบข้อบกพร่องในบทความหรือไม่ขอรับ” แอนนิคถามอย่างระมัดระวัง
“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบทความนี้ แต่ข้าก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไรเจ้าค่ะ” เชลีย์ลูบผมตัวเอง
“มันดูเหมือนจะเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน…” แคทรีนาและเลย์เรียเอ่ยออกมาพร้อมกัน
เพราะอาจารย์ของพวกเขาคือผู้นำเสนอข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสง และพวกเขาก็นับว่าเป็นคนของสำนักเวทธาตุ พวกเขาจึงเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาค
แต่หลังจากที่พวกเขาโต้เถียงกันมาอย่างยาวนาน สปรินต์กับสหายก็ได้ค้นพบว่าลูเซียนยังคงสงบนิ่งดุจเดิม ราวกับว่าบทความที่พวกเขาอ่านนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
ไฮดี้ถามด้วยความสับสน “อาจารย์เจ้าคะ ท่านไม่โกรธหรือ ท่านไม่อยากโต้ตอบพวกเขาเลยหรือเจ้าคะ”
“เหตุใดข้าถึงต้องโกรธด้วยหรือ” ลูเซียนแย้มยิ้มพลางชี้ไปที่วารสาร “ข้าเพิ่งตรวจดู ท่านมหาจอมเวทโอลิเวอร์เพียงนำเสนอคำอธิบายในทางทฤษฎีที่ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน มันเพียงแนะว่าสิ่งต่างๆ สามารถเป็นเช่นนี้ได้ แต่ไม่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ อีกอย่าง มันยังไม่ได้รับการพิสูจน์ด้วยการทดลองหรือปรากฎการณ์ใดๆ เหตุใดข้าถึงต้องโกรธด้วยหรือ”
ไฮดี้ลูบอกตัวเองด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวว่า “นั่นอธิบายได้มากเลยเจ้าค่ะ ข้านึกว่าอาจารย์จะหักหลังทฤษฎีอนุภาคแล้วเสียอีก”
ลูกศิษย์คนอื่นๆ ต่างมีท่าทางเหมือนกับนางไม่มากก็น้อย
ลูเซียนกวาดตามองลูกศิษย์ทุกคนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าบอกเมื่อใดกันว่าข้าเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาค”
‘หา?’ ไฮดี้ สปรินต์ เชลีย์ และแคทรีนาต่างอ้าปากค้างจนคางแทบแตะพื้น แม้แต่แอนนิคกับเลย์เรียที่มักจะสงบนิ่งยังตกตะลึงเช่นกัน ‘ก็ไม่ใช่ท่านหรอกหรือที่เป็นผู้คิดค้นข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงขึ้นมาน่ะ’
“จนกว่าการแทรกสอดและการเลี้ยวเบนจะอธิบายได้ด้วยมุมมองของอนุภาค ความเห็นของข้าต่อทฤษฎีอนุภาคและทฤษฎีคลื่นจะยังเหมือนกัน ทั้งสองอย่างต่างมีข้อบกพร่องและไม่อาจอธิบายธรรมชาติของแสงได้” ลูเซียนใช้โอกาสนี้ตอกย้ำแนวคิดของเขาเข้าไปในหัวลูกศิษย์
เหล่าหนุ่มสาวต่างนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
ในตอนนั้นเอง แว่นตาข้างเดียวของลูเซียนก็ร้อนขึ้น บ่งบอกว่าใครบางคนกำลังติดต่อหาเขา
“ลูเซียน?” เสียงกึงก้องดังขึ้น “เจ้าได้อ่านอาร์คานาของวันนี้หรือยัง เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลูเซียนก็แย้มยิ้มออกมาทันที ไม่ว่าเขาจะชนะรางวัลมากี่รางวัลและกี่ทฤษฎีล้ำสมัยที่เขาคิดค้นนำเสนอมาในอดีต เขาก็ไม่เคยถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย อย่างราเวนติหรือแกสตัน แต่กลับเป็นเพียงอัจฉริยะที่ได้รับสิ่งต่างๆ มาด้วยแรงบันดาลใจ ดังนั้น เมื่อใดที่มีปัญหาบางอย่างที่พวกเขาอยากจะพูดคุยหารือ พวกเขาจึงไม่เคยมาพูดคุยกับเขาก่อน ทว่า หลังจากที่เขาส่ง ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ไปพิจารณาและทำให้เขามีระบบอันสมบูรณ์ครบถ้วนเป็นของตัวเอง ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ในหลายๆ กรณี อิทธิพลของคนผู้หนึ่งจะสำแดงออกมาได้ดีที่สุดผ่านทางปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกของผู้อื่น