บทที่ 546 โรงละครแห่งการทำลายล้าง
ลูเซียนมองใบหน้ากรุ่นโกรธของไฮดี้แล้วอมยิ้ม “มีอะไรให้ต้องโกรธด้วยหรือ จอมเวทหลายคนจากสำนักเวทธาตุต่างมีความเห็นเหมือนกับข้า เหตุใดข้าจึงต้องเสียเวลาไปกับชิ้นงานไร้ค่าด้วยเล่า ข้อสันนิษฐานที่ใช้ผลจากการเสนอสมมติฐานเช่นนั้น หากยังไม่มีการพิสูจน์ด้วยการทดลอง มันก็จะใช้ได้สำหรับคณิตศาสตร์และอ้างอิงทางวิธีการเท่านั้น มีจอมเวทคนใดเขียนงานโต้แย้งหรือไม่เล่า”
แอนนิคเปิดดูในวารสารแล้วส่ายศีรษะ “ท่านมหาจอมเวททั้งห้าไม่ได้ตีพิมพ์งานวิจัยอะไรเลยขอรับ แต่ท่านประธานกับเจ้าแห่งพายุได้ถกกันถึงเรื่องการปรับใช้สูตรการแปลงเข้ากับระบบดักลาสภายใต้กรอบอ้างอิงอื่นๆ ขอรับ”
“ท่านประธานตีพิมพ์งานเขียนงั้นหรือ” เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นผู้พิจารณา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ลูเซียนได้ยินเกี่ยวกับงานชิ้นนี้ เขารับวารสาร ‘อาร์คานา’ มาจากแอนนิคแล้วเริ่มอ่าน
เป็นที่ชัดเจนว่าดักลาสได้เห็นงานเขียนของโอลิเวอร์เมื่อเดือนก่อนแล้วแต่มิได้หัวเสียแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเพียงการนำเสนอการอธิบายเชิงทฤษฎีและสูตรการแปลงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ยังไม่มีผลการทดลองหรือปรากฏการณ์ใดที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีและอธิบายการทดลองอัตราความเร็วของแสงได้ ดักลาสกลับให้ความสนใจกับสูตรการแปลงมากกว่า เพราะสูตรการแปลงในอดีตนั้นไม่อาจใช้ได้แล้วหลังจากระบบแม่เหล็กไฟฟ้าของบรูคถือกำเนิดขึ้น
ขณะอ่านงานเขียนของดักลาส ลูเซียนก็พยักหน้าหงึกหงัก นี่คือสถานการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคาดหวังได้ หลังจากที่ท่านประธานศึกษาส่วนหลักๆ ของงานวิจัยแล้ว ด้วยความเข้าใจต่อระบบแม่เหล็กไฟฟ้าของท่าน อีกไม่นานท่านย่อมตระหนักถึงบางสิ่งและได้รู้ข้อมูลเชิงลึกในเบื้องต้นอย่างแน่นอน มีเพียงแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้ท่านไม่ต้องเผชิญหน้ากับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษโดยที่สภาพจิตใจและความรู้ยังไม่พร้อม
ในระหว่างที่ลูเซียนอ่านวารสารอย่างเงียบๆ ไฮดี้ก็พึมพำขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่คิดจะลดตัวลงไปถกเถียงโต้แย้งกับงานเขียนไร้มูลฐาน แต่จอมเวทที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่นไม่คิดเช่นนั้นน่ะสิเจ้าค่ะ พวกเขาเชื่อว่าท่านถูกงานชิ้นนี้เล่นงานจนน่วมและตระหนักถึงความดื้อรั้นในอดีตของท่าน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมท่านจึงถอนตัวออกไปเงียบๆ โดยไม่โต้แย้งกลับ นี่คือสัญญาณว่าทฤษฎีคลื่นกำลังจะกลับมา”
การ ‘กลับมา’ ที่นางหมายถึงคือปัญหาที่ถกเถียงกันว่า ‘อีเธอร์’ สื่อกลางที่คลื่นถ่ายทอดผ่านสุญญากาศนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
ลูกศิษย์หลายคนค่อนข้างตื่นตัวกับคำให้ร้ายต่ออาจารย์พวกเขาจากผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่น มันเป็นเรื่องเกินจะทนไหวยิ่งกว่าการที่ตัวพวกเขาถูกทำให้อับอายขายหน้าเสียอีก
“พวกเขามีความเห็นอย่างไรกับปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและการทดลองการกระเจิงของบรูคงั้นหรือ” ลูเซียนยังถือวารสารอาร์คานาและเวทมนตร์อยู่ในมือ แน่นอนว่าจอมเวทที่เหล่าลูกศิษย์รู้จักและติดต่อกันอยู่ไม่มีทางได้ตีพิมพ์งานวิจัยกับทั้งสองวารสารหัวหลักแน่นอน
หลังจากที่เขาระเบิดศีรษะไปเป็นจำนานมากมายจนชวนตะลึงด้วยข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงและชนะรางวัลเหรียญจันทราสีเงิน เหล่าจอมเวทที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่นและยึดติดกับการทดลองดั้งเดิมต่างก็อยู่ให้ห่างจากลูเซียนเพราะความหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียนรู้เกี่ยวกับความคืบหน้าของพวกเขาได้ผ่านทางวารสารเท่านั้น
สปรินต์ส่งเสียงขึ้นจมูก “พวกเขาพยายามสร้างแบบจำลองคลื่นที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกกับการทดลองการกระเจิงขอรับ แต่นั่นก็แค่เพื่อถกเถียงหารือกันและไม่มีคุณค่าแท้จริงอันใด งานเขียนส่วนใหญ่ของพวกเขาแทบจะไม่ผ่านการพิจารณาขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าจะโกรธไปใย อีกอย่างนะ ทฤษฎีอนุภาคอธิบายการทดลองดั้งเดิมของภาพได้หรือไม่” ลูเซียนแย้มยิ้ม ค่อนข้างอัศจรรย์ใจกับความพยายามของเหล่าผู้ให้การสนับสนุนทฤษฎีคลื่น ทว่า ความพยายามของพวกเขาถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องไร้ประโยชน์เพราะความขาดแคลนทางด้านการชี้นำเชิงทฤษฎี
ไฮดี้พบว่าท่าทางสบายๆ ของอาจารย์ตนดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง “แต่พวกเขากำลังกล่าวให้ร้ายท่านนะเจ้าคะ”
“พวกเขาจะตบหน้าข้าได้ก็ต่อเมื่อมีผลการทดลองอย่างละเอียดมาแสดงให้เห็น” ลูเซียนกลับมาสนใจวารสารทั้งสองในมืออีกครา เขารู้ดีว่าหลังจากที่เขานำเสนอข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงและบรูคพิสูจน์มัน เหล่าผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จอมเวทหลายคนเปลี่ยนความเห็นและเชื่อว่าแสงอาจเป็นอนุภาคที่แปลกประหลาดมากๆ
แต่ทว่า เพราะการทดลองดั้งเดิมยังไม่อาจอธิบายได้ด้วยอนุภาค เหล่าผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่นดั้งเดิมจึงกลับมายืนหยัดอีกครั้งหลังจากตื่นตะลึงในช่วงแรก ในวารสารอาร์คานากับเวทมนตร์ฉบับนี้ วาคีน เปเซอร์ ทีนา-ทีมอสและจอมเวทระดับสูงอีกหลายท่านต่างแสดงการยอมรับงานเขียนของโอลิเวอร์ แต่พวกเขาก็รักษาท่าทีอย่างรอบคอบโดยบอกว่าควรทำการทดลองตามทฤษฎีที่นำเสนอเพื่อพิสูจน์มัน และไม่ควรจะเชื่อมันจนเกินไปจนกว่าจะพิสูจน์ได้ นั่นคือบทเรียนร้ายแรงที่พวกเขาได้เรียนรู้หลังจากได้อ่านชิ้นงานหักล้างทฤษฎีเดิมของลูเซียนที่เปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง
จากประสบการณ์ในโลกเดิม ลูเซียนรู้ดีว่าสงครามระหว่างคลื่นและอนุภาคจะคงอยู่ยาวนานและเกี่ยวข้องกับปริศนาลี้ลับเกี่ยวกับแก่นแท้ของโลก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่ามันแปลกอะไร
ท่าทีของอาจารย์ทำให้ไฮดี้สงบลง ก่อนที่นางจะถามด้วยความสงสัย “แล้วงานเขียนของอาจารย์ในเดือนนี้ล่ะเจ้าคะ ข้าเห็นว่าท่านทำวิจัยอยู่ช่วงก่อนนี่นา”
“เป็นงานเขียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์เทนเซอร์[1] มันตีพิมพ์กับ ‘ธรรมชาติ’ เจ้าควรจะอ่านวารสารหัวนี้บ้างนะ” ลูเซียนตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น
แอนนิค คาทรินาและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าย่ำแย่ เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่วารสาร ‘ธรรมชาติ’ ก่อตั้งขึ้น และเริ่มเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘วารสารที่เข้าใจยากที่สุดในประวัติศาสตร์’ แม้แต่จอมเวทที่เก่งกาจล้ำหน้าและเข้าใจคณิตศาสตร์กับตรรกศาสตร์ก็ยังทำความเข้าใจเนื้อหาในวารสารได้ยากมากอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะชิ้นงานหลายชุดของอาจารย์พวกตนกับเลฟสกีที่เกี่ยวกับเรขาคณิตอีวานส์ มันคือเครื่องมือช่วยให้พวกเขาหลับสนิทยามค่ำคืนที่ดีที่สุดเลยทีเดียว
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบงัน ลูเซียนจึงเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ “การมีความรู้ด้านคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ที่ดีเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้การศึกษาวิจัยอาร์คานาและเวทมนตร์ในอนาคตของพวกเจ้าง่ายดายขึ้น พวกเจ้าอยากจะเสริมในด้านนั้นหรือไม่เล่า”
“ฮ่าๆๆ อาจารย์ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้ายังทำการทดลองไม่เสร็จเลย ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ค่อยๆ อ่านไปนะเจ้าคะ ข้าจะไปตามอัลฟาเลียก่อน” ไฮดี้กล่าวยิ้มๆ ขณะถอยหลังไปทางประตู
อัลฟาเลียได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้ช่วยของนาง
เมื่อมีไฮดี้เป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็เริ่มอ้างว่ามีการทดลองทางอาร์คานา การวิเคราะห์และการสร้างเวทมนตร์รออยู่ เพียงสิบวินาทีหลังจากนั้น ก็เหลือแอนนิคอยู่ในห้องทำงานตามลำพังกับลูเซียน
ลูเซียนเงยหน้าขึ้นมองแอนนิคด้วยความแปลกใจ “เจ้าไม่มีการทดลองที่ยังไม่แล้วเสร็จรออยู่รึ หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์จริงๆ”
แอนิคยกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “อาจารย์ขอรับ ข้าวางแผนไว้ว่าจะอ่านวารสาร…”
ลูเซียนหลุบตาลงมอง แล้วก็พบว่าในมือตนคือวารสารของแอนนิค
แล้วในที่สุดลูเซียนก็ได้อ่านและศึกษางานเขียนหลังจากที่โกเลมนำวารสารของเขาจากห้องคณะกรรมการตรวจสอบมาส่ง แล้วเขาก็ได้เรียนรู้ว่า เพราะงานเขียนของโอลิเวอร์นั้นชวนให้งงงวยเกินไป วารสารทั้งหลายในเดือนนี้จึงเต็มไปด้วยการโต้แย้งถกเถียง ส่วนบทความที่เหลือเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จในด้านอื่นๆ หรือการพัฒนาเวทมนตร์ งานเขียนที่ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของแอนนิคกับสปรินต์ซึ่งเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการแสดงในทางทฤษฎีของเครื่องไซโคลตรอนและผลการแสดงแท้จริงกลับไม่ได้รับความสนใจเลยสักนิด
นั่นไม่ดีแน่ ลูเซียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบกระดาษออกมา คว้าปากกาขนนกมาเขียนว่า ‘ปัญหาจากการกระยุกต์ใช้เครื่องไซโคลตรอน’
…
ภายในมิติพิเศษ ‘โรงละครแห่งการทำลายล้าง’ ดวงดาวที่แตกดับและพังทลายลอยกลาดเกลื่อนอยู่ทุกที่
ที่สุดมุมโลกอันมืดมิดน่าหวาดหวั่น ปรากฏแสงสว่างที่แผ่ออกมาอย่างอ่อนโยนทว่าหนักแน่น มันดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์สุดท้ายแห่งความศิวิไลซ์
เมื่อใครก็ตามเข้าไปใกล้ พวกเขาก็จะค้นพบว่าแสงวูบวาบนั้นมาจากหอคอยเวทมนตร์สูงตระหง่านที่รายล้อมด้วยบรรยากาศของความวิจิตรตระการตา แสงเจิดจ้าส่องลอดออกมาจากหน้าต่างทุกบาน
ในห้องสมุด โอลิเวอร์ที่เปลี่ยนจากเสื้อคลุมเวทมนตร์มาสวมชุดนอนยับย่น ถือปากกาขนนกด้วยสภาพอิดโรยพลางสูบยาเส้น แต่กลับเขียนอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นแบบฉบับศิลปิน เขาดูเหมือนคนที่โหมกระพือและอุทิศความรู้สึกในใจทั้งหมดลงไปยังบทกวีแห่งรักแสนยืดยาวนี้
ทันใดนั้น เสียงรื่นหูของผู้อารักขาหอคอยก็ดังขึ้น “นายท่าน ท่านประธานมาเยือนเจ้าค่ะ”
โอลิเวอร์วางปากกาลง ‘กวี’ และ ‘ผู้เขียนบทละคร’ ที่ถูกขัดขวางแรงบันดาลใจมักจะรู้สึกหัวเสีย เขาเขวี้ยงกระดาษที่มีบทกวีแห่งรักเขียนไว้ลงไปอยู่กับกองกระดาษบนโต๊ะ กวาดของให้มีพื้นที่ว่าง จากนั้นเขาจึงสูดหายใจลึกสองสามครั้งแล้วดึงเอาความสงบนิ่งออกมา สุดท้ายเขาจึงลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับดักลาสที่หน้าประตูหอคอย ไม่ว่าจะด้วยวัยหรือชื่อเสียงเกียรติยศ ดักลาสก็สมควรได้รับความเคารพทั้งหมดจากเขา
ไม่นานนัก โอลิเวอร์ก็พาดักลาสเดินกลับมายังห้องสมุด เขาลูบหางคิ้วขณะถามออกไป “ท่านประธาน มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่าขอรับ ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก และมีเรื่องเร่งด่วนบางอย่างที่ข้าต้องทำให้สำเร็จอีกด้วย ตอนนี้ข้าไม่ขอออกไปนอกอัลลินนะขอรับ”
มันคือการปฏิเสธการถูกส่งตัวออกไปทำภารกิจอย่างนุ่มนวล ซึ่งนี่ก็เป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่งสำหรับเหล่ามหาจอมเวท
ดักลาสแย้มยิ้ม “เจ้าทำงานวิจัยต่อในอัลลินได้ มิมีภารกิจใดที่ต้องให้เจ้าช่วยหรอก ข้ามาที่นี่ก็เพื่อหารือเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้สูตรการแปลงกับเจ้า ว่าแต่วันนี้เจ้าได้เห็นงานของข้าใน ‘อาร์คานา’ หรือยัง”
เขาเองก็รู้ดีว่าโอลิเวอร์เพิ่งผ่านการหย่าร้างมาเมื่อไม่นานนี้ จึงไม่ได้มอบหมายภารกิจใดให้เขา
โอลิเวอร์ค่อนข้างโล่งอก “สูตรการแปลงอย่างนั้นหรือขอรับ ข้ายินดีพูดคุยหารือกับท่าน ท่านเฟอร์นันโดกับข้าเองก็มีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่มากมายเช่นกันขอรับ”
“เจ้าคุยเรื่องนี้กับเฟอร์นันโดอย่างนั้นรึ” ดักลาสประหลาดใจ
เมื่อรู้ตัวว่าทำพลาดไป โอลิเวอร์ก็รีบอธิบายเพิ่ม “ท่านก็ทราบว่าท่านเฟอร์นันโดเก่งหลายๆ ด้าน จึงเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยม ข้าได้ไปพูดคุยกับท่านก่อนจะส่งงานเขียนไปพิจารณาน่ะขอรับ”
ดักลาสพยักหน้าเห็นพ้องแล้วนั่งลงที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะทำงาน “เรามาถกปัญหานี้กันเถอะ”
ราวกับจะรู้ว่าการพูดคุยปากเปล่าอาจยากเกินไป เขาจึงหยิบปากกาขนนกอีกอันมาวางบนโต๊ะ ดึงกระดาษมาหนึ่งแผ่น แล้วเขียนปัญหาลงไป
แต่ว่า บนกระดาษแผ่นนั้นกลับมีบทกวีแสดงความรักแสนงดงามอยู่สองสามบรรทัด ดักลาสส่ายศีรษะแล้วกล่าวขออภัย “ข้ามาขัดจังหวะเจ้าขณะสร้างสรรค์ผลงานหรือเปล่านี่”
ขณะพูด ดักลาสก็เก็บกระดาษที่มีบทกวีกลับเข้าที่แล้วดึงปึกกระดาษที่อยู่ข้างใต้นั้นออกมา ด้วยคิดว่ากระดาษข้างใต้นั้นเป็นกระดาษเปล่า
โอลิเวอร์ที่ยังอยู่ในสภาวะงงงัน กำลังจะเอ่ยปากว่าไม่เป็นไร เพราะเขามีทุกอย่างในหัวแล้วและเขาสามารถกลับไปเขียนต่อได้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกต้องในภายหลัง แต่ในทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงแล้วรีบหมุนกายกลับมาราวกับพายุคลั่งพลางตะโกนลั่น “ไม่ใช่กองนั้น!”
ดักลาสหลบเลี่ยงโอลิเวอร์ที่พยายามเข้ามาแย่งไปโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะก้มลงมองปึกกระดาษในมือด้วยความรู้สึกแปลกๆ แล้วก็ได้เห็นหัวข้อที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา
‘ว่าด้วยการศึกษากระแสไฟฟ้าของวัตถุเคลื่อนที่และสมการมวลสาร-พลังงาน’
สีหน้าโอลิเวอร์พลันคล้ำลง พลังทำลายล้างภายในโรงละครอวกาศด้านนอกดูเหมือนจะยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงและน่าหวาดกลัวกว่าเดิม
……………………………………
[1] เทนเซอร์ คือภาชนะบรรจุข้อมูลที่มีขนาดเท่ากัน ชนิดเดียวกัน ที่มีกี่มิติก็ได้