บทที่ 543 การแสดงตัวตน
ครึ่งทางของเดือนแห่งไฟ (กรกฎาคม) อากาศที่ร้อนอบอ้าวแผ่กระจายไปทั่วนครเรนทาโตและอัลลิน ร้อนจนทำให้หลายๆ คนนอนหลับไม่ลง ผู้คนจะได้พบความปกติสุขเพียงช่วงสั้นๆ จากอากาศเย็นสบายในยามเช้า
อย่างไรก็ตาม ภายใต้บรรยากาศยามเช้าที่เย็นสบาย มีคนราวๆ สามสิบคนหมดความอดทนจะข่มตานอนหลับ และกำลังยืนเฝ้ารออยู่ภายนอกหอคอยเวทมนตร์อัลลิน
พวกเขาประกอบด้วยทุกเพศทุกวัย บางคนสวมเสื้อสูทกระดุมสองแถว บางคนสวมใส่เสื้อคลุมเวทมนตร์แสนธรรมดาพร้อมผ้าคลุมไหล่ บางคนอยู่ในชุดยาวตัดเย็บอย่างดี และบางคนก็เพียงแค่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับเสื้อกั๊กที่หาได้ทั่วไป สิ่งเดียวที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือความวิตกกังวลและความหวังบนใบหน้า
หลังสูญเสียเสื้อคลุมนักเวทฝึกหัดที่จะช่วยลดความร้อนไป โลวี่ผ่านสองสามวันที่ผ่านมาอย่างยากลำบาก เนื่องจากเขาต้องนอนดึกเพื่อศึกษาทบทวนความรู้ หน้าของเขาจึงดูซีดเผือด และเขาก็ดูซูบซีดอย่างยิ่ง
เขาสังเกต ‘คู่แข่ง’ รอบๆ ตัวด้วยความรู้สึกกดดันอย่างหนัก ในบรรดาผู้เข้าสอบเกือบสี่สิบคน มีเพียงสิบคนที่เป็นนักเวทฝึกหัด คนอื่นๆ ล้วนเป็นนักเวทอย่างเป็นทางการและจอมเวทระดับหนึ่ง บางคนเป็นถึงนักเวทชั้นกลางแล้วก็มี
‘การสอบผ่านข้อเขียนและสัมภาษณ์ที่ผ่านมาก็บอกได้ว่าข้าก็มีดีกับเขาเหมือนกัน เขาจะเสียความมั่นใจไม่ได้’ โลวี่ให้กำลังใจตัวเอง แล้วก็คลายความกระวนกระวาย เขาถามนักเวทและนักเวทฝึกหัดสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “คิดว่าท่านอีวานส์จะถามอะไร? เกี่ยวกับระบบการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่ไหม?”
นักเวทฝึกหัดชายคนหนึ่งซึ่งพูดพึมพำอะไรบางอย่างด้วยความวิตกกังวลทำเป็นไม่ได้ยินและเตรียมตัวเข้าสอบของตัวเองต่อไป นักเวทสองคนมองมาที่โลวี่และสังเกตตรานักเวทฝึกหัดที่ติดบนหน้าอกของเขา แล้วก็หันหน้าหนีกลับไปคุยกันต่อ
นักเวทหญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้ากลมราวกับผลแอปเปิลตกตะลึงไปสักหนึ่ง แล้วนางก็ยิ้มออกมา “ข้าไม่รู้ว่าท่านอีวานส์ไม่เข้ามาเกี่ยวกับการสอบและสัมภาษณ์ครั้งก่อน คำถามที่ได้รับบังเอิญเป็นเรื่องที่ข้าวิจัยพอดี แต่ตอนนี้ข้ากังวลมาก เพราะข้ายังไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดต่างๆ ในการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่ เจ้าได้คำถามอะไรตอนสัมภาษณ์?”
ใบหน้าของนางไม่ได้สวยชวนมอง แต่รอยยิ้มของนางกลับดูเป็นมิตรและทำให้ทุกคนเห็นรู้สึกอบอุ่น
โลวี่คิดอยู่สักพักก่อนจะทวนคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับธาตุและแม่เหล็กไฟฟ้าที่เจอโรมถามเขา แล้วสุดท้ายเขาก็ถามว่า “แล้วของเจ้าล่ะ?”
“นั่นสิ ข้าลืมแนะนำตัวเองเลย ข้าชื่อเอริก้าค่ะ” หญิงสาวใบหน้ากลมทวนคำถามของนางระหว่างการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน และคาดการณ์ถึงเรื่องที่ท่านอีวานส์จะตั้งคำถามในวันนี้
เมื่อเห็นดังนั้น นักเวทและนักเวทฝึกหัดสองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็หันมาร่วมวงสนทนา
ไม่ไกลออกไป เบลคกำลังยิ้มให้กับอัลฟาเลียซึ่งมีรูปร่างหน้าตาตามแบบฉบับของชาวโฮล์ม “เจ้าไม่อยากเข้าไปฟังเขาคุยกันหรือ? เดี๋ยวประสบการณ์ของพวกเขาน่าจะมีประโยชน์นะ”
อัลฟาเลียตอบด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง “ไม่ดีกว่า ข้าว่ามันแปลกๆ ที่การสัมภาษณ์รอบสุดท้ายกับท่านอีวานส์เริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้า หอคอยเวทมนตร์อัลลินเพิ่งเปิดเลยนะตอนนี้ ผู้เข้าสัมภาษณ์อย่างเราต้องรออยู่ข้างนอกล่วงหน้าก่อนเข้าสัมภาษณ์”
“คำขอแปลกๆ แบบนี้อาจเป็นการทดสอบความตรงเวลาและการปฏิบัติตามคำสั่ง เราเป็นแค่ผู้ช่วยระดับนักเวทฝึกหัด ไม่ใช่จอมเวทที่ทำโครงการวิจัยอิสระเสียหน่อย” เบลคคิดอยู่สักหนึ่งและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
เมื่อแหงนมองหอคอยเวทมนตร์ที่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า อัลฟาเลียพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็คิดเหมือนกัน ท่านอีวานส์ไม่ใช่คนที่ชอบทรมานผู้เข้าสัมภาษณ์ คำขอของเขาต้องมีความหมายมากกว่านั้น”
ณ ชั้นที่สิบแปดของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน ลูเซียน พร้อมกับร็อค เจอโรม และเหล่าลูกศิษย์ของเขายืนอยู่ข้างหน้าต่างและมองลงไปยังผู้รอสัมภาษณ์ด้านล่าง
เมื่อได้ฟังคำบรรยายภาพบรรยากาศจากสปรินต์ ร็อคก็ยิ้มให้ลูเซียน “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าสนุกกับการทรมานคนที่เข้าสัมภาษณ์นะ?”
ขณะที่เขากำลังพูด เขาก็หันไปมองลูกศิษย์ที่น่าสงสารอย่างแอนนิค ภายใต้การทรมานจาก ‘สำนักพัฒนาอาร์คานา’ ของลูเซียน ขณะที่ความช่ำชองเชี่ยวชาญในอาร์คานาและเวทมนตร์พัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่พวกเขาทุกคนก็ต้องกัดฟันอดทนความยากลำบาก
ไฮดี้พยักหน้าหงึกๆ อาจารย์ของนางเป็น ‘ปีศาจ’ ที่ชอบทรมานลูกศิษย์ด้วยแบบฝึกหัดกองพะเนินและความรู้ลึกซึ้ง
ลูเซียนกระแอม “นี่ก็เพื่อสังเกตธาตุแท้และความสามารถด้านการสื่อสารในชีวิตประจำวัน พวกเขามาที่นี่ในฐานะผู้ช่วยระดับนักเวทฝึกหัด พวกเขาต้องเก่งสองเรื่องนี้ถึงจะปรับตัวเข้ากับสถาบันและรับช่วงงานน่าเบื่อๆ ต่อจากพวกเจ้าได้เร็ว”
“ฟังดูมีเหตุผล คนที่ถือตัวจนไม่พูดคุยกับคนที่ระดับต่ำกว่าก็ไม่เหมาะกับสถาบัน” เจอโรมเห็นด้วยกับความคิดของลูเซียน แล้วเขาก็ถามด้วยความสงสัย “แล้วผู้ช่วยที่เรารับเข้ามาจะได้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าในอนาคตไหม?”
สปรินต์และคนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองลูเซียนเป็นตาเดียวกัน อยากรู้คำตอบจากปากอาจารย์ของพวกเขา
ลูเซียนส่ายศีรษะ “ลูกศิษย์หกคนก็เยอะพอแล้ว ข้ายังต้องศึกษาเวทมนตร์ วิจัยอาร์คานา และใช้ชีวิตของข้าอีก ข้าไม่รับสอนศิษย์คนไหนแล้ว ถ้าเจ้าเจอใครมีแวว เจ้าสอนพวกเขาเองได้เลย”
จอมเวทชั้นอาวุโสต่างมีความคิดเหมือนกันว่าควรให้ความใส่ใจกับลูกศิษย์จำนวนจำกัด หากลูกศิษย์ไม่ได้ล้มหายตายจาก หรือได้พบกับอัจฉริยะที่หายากจริงๆ นอกจากนี้ ลูกศิษย์ของจอมเวทระดับสูงจะหลงระเริงกับวาสนาตั้งแต่ต้น และพฤติกรรมของพวกเขาจะสะท้อนภาพลักษณ์ของอาจารย์ หากมีลูกศิษย์มากเกินไป ย่อมอาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
แคทรีนาและลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็พลอยโล่งอก แม้ว่าพวกเขาจะมีจิตใจดีกันมาแต่เดิม แต่พวกเขาก็ไม่อยากมีศิษย์ร่วมสำนักหน้าใหม่ เพราะหมายความว่าเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับอาจารย์ของพวกตนก็จะลดลงไปอีก
ไม่นานก็ถึงเวลาเก้านาฬิกา โลวี่และผู้สอบสัมภาษณ์คนอื่นๆ ก็เข้ามายังหอคอยเวทมนตร์พร้อมกับอาการสั่นด้วยความประหม่า และขึ้นลิฟต์ไปยังสถาบันอะตอม
“พวกเจ้าเข้าไปพร้อมกันเลย ก่อนการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย จะมีสัญญาเวทมนตร์ให้พวกเจ้าลงชื่อ” ร็อคกำลังรอพวกเขาอยู่ภายนอกสถาบันอะตอมด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะปัญหาปวดหัวนี้จะจบในอีกไม่นาน ไม่มีทางที่เขาจะรับภารกิจแบบนี้อีกแล้ว!
“สัญญาเวทมนตร์? อะไรกัน?” นักเวทวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสับสน
โลวี่จำได้ว่าชายคนนี้คือท่านไอแซคเมื่อครู่นี้
ร็อคตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่เขาคิดว่าทรงเสน่ห์ “สถาบันอะตอมทำการสำรวจความล้ำหน้าของเวทมนตร์สายธาตุ ที่นี่เรามีความลับมากมาย ดังนั้น เราต้องให้ทุกคนลงนามในสัญญาไม่เปิดเผยความลับ และเนื่องจากอีวานส์เป็นว่าที่มหาจอมเวทและเป็นเป้าหมายที่ศาสนจักรและกองกำลังอื่นๆ ต้องการกำจัด จอมเวทคนอื่นของสถาบันอะตอมก็พลอยตกเป็นเป้าหมายด้วย ฉะนั้น เพื่อป้องกันการลอบสังหาร ลูกจ้างคนใหม่ต้องลงนามในสัญญาเวทมนตร์ที่เข้มงวด”
“เข้มงวด…” อัลฟาเลียและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าขึงขัง แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจการตัดสินใจของสถาบันอะตอม แต่ความเข้มงวดขนาดนี้ก็ทำให้ทุกคนเป็นกังวล
ไอแซคขมวดคิ้ว “ข้าหวังว่าสัญญาเวทมนตร์จะไม่เข้มงวดเกินกว่าเหตุ”
ร็อคยิ้ม “ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่ได้กลายเป็นทาสหรอก เฉพาะคนที่มีจุดประสงค์ร้ายเท่านั้นที่จะตกที่นั่งลำบาก”
โลวี่ไม่ได้สนใจเรื่องสัญญา เขาเพียงต้องการเข้าสู่สถาบันอะตอมและได้ศึกษาภายใต้การชี้นำของท่านอีวานส์ สำหรับเขาแล้ว เขารับได้ทุกอย่างตราบใดที่เขาไม่ต้องขายวิญญาณหรือร่างกาย
ตามคำบอกของร็อค ผู้เข้าสัมภาษณ์เข้าไปยังห้องประชุมใหญ่ของสถาบันอะตอม
โลวี่ เบลค อัลฟาเลีย และนักเวทฝึกหัดและนักเวทคนอื่นๆ ไม่อาจห้ามความสงสัยของตัวเอง แอบมองนักเวทสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วด้วยความเคารพและความตื่นเต้น
สองคนนั้นคือท่านเจอโรมที่พวกเขาเคยเจอมาก่อนแล้ว และ… และอีกคนก็น่าจะเป็นท่านลูเซียน อีวานส์ ใช่ไหม?
ในสายตาของโลวี่ เขาเป็นคนหนุ่มผมดำขลับและหน้าตาหล่อเหลาอย่างน่าเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม ดวงตาสีดำของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยปริศนานานัปการ และรอยยิ้มแสนมั่นใจและเป็นกันเองทำให้ทุกคนในห้องต้องหันไปมองหน้าเขา โลวี่ไม่สงสัยเลยว่าเขาคือนักเวทที่น่าเกรงขามและจอมเวทที่ชาญฉลาด
“อรุณสวัสดิ์ท่านอีวานส์” โลวี่และผู้เข้าสัมภาษณ์คนอื่นๆ กล่าวทักทายเขาตามนักเวทสองสามคนที่เคยพบกับลูเซียนมาก่อน
ลูเซียนพยักหน้าและส่งสัญญาณให้ทุกคนหาที่นั่ง แล้วสายตาของเขาก็ดูจดจ่อมากขึ้น เขาชี้ไปที่กระดาษหนังบนโต๊ะแล้วพูดขึ้น “นี่เป็นสัญญาเวทมนตร์ที่ทุกคนต้องลงนาม สัญญาณได้รับการดูแลจากดยุกของนรกระดับหนึ่ง และผู้ละเมิดสัญญาจะถูกดยุกแห่งนรกลงโทษ ดูสัญญาก่อน เราจะเริ่มกันเลยถ้าไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูเซียน นักเวทและนักเวทฝึกหัดทุกคนก็กังวลขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แล้วพวกเขาก็หยิบสัญญาขึ้นมาอ่านกันเงียบๆ
ทันใดนั้น ไอแซคก็ยืนขึ้นพร้อมกับหน้าแดงก่ำ “สัญญาประเภทไหนกันเนี่ย? นี่เป็นสัญญาทาสที่ไม่เป็นธรรมเลยสักนิด!”
“ใครก็ตามที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันอะตอมหรือลูเซียน อีวานส์ โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ในรูปแบบใดก็ตาม จะถูกอะกอสตินโญ ดยุกแห่งนรกระดับที่หนึ่ง จับตัว!”
“…สภาพจิตจะถูกเปิดเผยทั้งหมด ใครก็ตามที่คิดทำร้ายลูเซียน อีวานส์ หรือจอมเวทคนอื่นๆ ในสถาบันอะตอมจะถูกอะกอสตินโญตรวจพบในทันที!”
…
“สัญญานี้เข้มงวดเกินกว่าเหตุ เราไม่ได้ถูกมองเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ข้าจะไม่ลงนามหรือเข้าร่วมการสัมภาษณ์นี้!”
ขณะที่เขาบ่นด้วยความโกรธเกรี้ยว นักเวทและนักเวทฝึกหัดสามคนก็ยืนขึ้นตามเขา ด่าทอสัญญาฉบับนี้ด้วยความคลุ้มคลั่ง
ไอแซคกำลังจะเดินออกไป ก่อนจะเห็นว่าโลวี่ เบลค และคนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เขาผิดหวัง “พวกเจ้ายังเหลือความกล้าอยู่ไหม? เจ้าจะลงชื่อในสัญญานี้นะหรือ?”
โลวี่เกาหลังหัวของตัวเองและถามด้วยความสับสน “ท่านไอแซค นั่นไม่ใช่สัญญาที่เรากำลังอ่าน”
“อะไรนะ?” ไอแซคตกตะลึง
ลูเซียนอ้าปากอธิบาย “สัญญาเวทมนตร์พวกนี้สร้างขึ้นด้วย ‘เวทคำปริยาย’ เวทมนตร์ระดับแปด ผู้ที่อ่านสัญญาถูกความกลัวของแต่ละคนเข้าเกาะกุมสิบเท่า และเนื้อหาของสัญญาจะเปลี่ยนไปตามนั้น เจ้ากลัวอะไรอยู่ล่ะ?”
“ไม่ ไม่!” ไอแซคและคนอื่นๆ ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าซีดเซียว
ลูเซียนมองประตูห้องประชุมใหญ่ “ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามข้า อธิบายกับคณะกรรมการกิจการเองล่ะกัน ทอมป์สัน ขอบคุณที่สละเวลามา”
ทอมป์สันเดินเข้ามาและพาตัวไอแซคกับคนที่ด่าทอสัญญาอื่นๆ ไป
ร็อคถามเขาผ่านทางกระแสจิตด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเขาถึงกลัว? สัญญาที่ไม่เป็นธรรมไม่เห็นเกี่ยวกับข้อผูกมัดอะไรนี่นา”
“เราบอกเป็นนัยๆ ตั้งแต่เจ้าบอกพวกเขาเรื่องสัญญาที่ด้านนอกแล้ว ตอนแรก ข้าก็พูดเน้นว่าอะกอสตินโญจะรับรองสัญญา แต่ไม่ได้บอกผลการผิดสัญญาไว้ชัดเจน ขณะเดียวกัน ข้าก็บอกเป็นนัยๆ ว่าเราจะทำสัญญา ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้บอกว่าทำสัญญาหลังสัมภาษณ์ ด้วยคำใบ้พวกนี้และ ‘เวทสร้างภาพ’ พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นสัญญาจริงๆ” ลูเซียนอธิบายสั้นๆ “แค่นี้ก็จับตัวนักเวทที่เชื่อในพระเจ้าแห่งสัจธรรมได้ง่ายๆ แต่คงยากจะคัดกรองพวกสายลับที่จะขายความลับและเพื่อนร่วมงานแลกกับเงินและของ”
ขณะที่โลวี่และผู้เข้าสัมภาษณ์คนอื่นๆ มองเขาอย่างตกตะลึง ลูเซียนก็ยิ้มออกมา “เอาล่ะ อ่านสัญญาฉบับจริงก่อน สัญญาจริงๆ ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น หากพวกเจ้าเต็มใจทำสัญญา เราก็จะเริ่มการสัมภาษณ์กัน”
หลังจากอ่านสัญญาฉบับใหม่ โลวี่และคนอื่นๆ ต่างก็ตกลงจะลงนามในสัญญา หากผ่านการสัมภาษณ์ แล้วทุกคนก็มองลูเซียนด้วยความคาดหวังและความวิตกกังวล สงสัยว่าคำถามของเขาจะเป็นอย่างไร
ท่านอีวานส์ ได้โปรดอย่าถามเราเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่ ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย โลวี่และนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ ภาวนาอยู่ในใจ เพราะพวกเขาต่างเข้าใจรูปแบบและแนวคิดพื้นฐานของระบบการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่
ลูเซียนยิ้มด้วยความสบายใจ “ทุกคน ช่วยบอกข้าหน่อยว่าทำไมถึงอยากเข้าสถาบันอะตอม”
“แล้วก็บอกข้าถึงข้อดีและข้อเสียของพวกเจ้า รวมถึงแผนอนาคตชีวิต”
ฮะ? คำถามอะไรกันเนี่ย?
อัลฟาเลีย เบลค และผู้เข้าสัมภาษณ์คนอื่นๆ ต่างงุนงง
…………………………………………………..