บทที่ 547 ดักลาสผู้ไม่งมงาย
‘งานเขียนชิ้นนี้ยึดจากหลักสัมพัธภาพและอัตราความเร็วของแสงที่ต่อเนื่อง เพื่อการนั้น ข้ากำหนดเงื่อนไขว่า…’
หลังจากที่เขากวาดตาอ่านคร่าวๆ รอยยิ้มบนใบหน้าดักลาสก็ถูกแทนที่ด้วยความจริงจังขึงขัง เขาเงยหน้าขึ้นมองโอลิเวอร์ แล้วก็ต้องประหลาดใจเพื่อพบว่ากองกระดาษตรงหน้าเขา รวมถึงบทกวี บทละคร และรายงานการวิจัยได้ถูกทำลายจนเหลือเพียงฝุ่นผงที่ลอยฟุ้งไปในอากาศ
เมื่อไม่อาจฉวยกระดาษหน้าแรกมาจากมือดักลาสได้ โอลิเวอร์จึงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะด้วยความวิตกกังวลขณะพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยทั้งหมด!
บัดนี้เขาเสียใจอย่างยิ่ง เพราะความยุ่งเหยิงในชีวิตรักช่วงนี้ เขาจึงไม่ใช่ตัวของตัวเอง หลังจากที่เขานำรายงานชิ้นนี้ออกมาศึกษา เขาดันลืมเก็บกลับไปก่อนที่เขาจะเริ่มประพันธ์บทกวีอันยาวเหยียด หลังจากนั้น เขาก็ลืมไปเลยและไม่ได้ทำอะไรกับมันตอนพาดักลาสเข้ามาในห้องสมุด
‘ข้าน่าจะร่ายเวทจิตกลใส่ตัวเองตอนที่ผู้อารักขาหอคอยรายงานข้า!’ กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขาตึงเขม็ง โอลิเวอร์รู้สึกเสียใจจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี
ดักลาสมองโอลิเวอร์ด้วยความมึนงง “เหตุใดเจ้าต้องทำลายมันและไม่ให้ข้าอ่านมันเล่า สมการที่ลูเซียนสรุปโดยยึดหลักจากข้อสมมติฐานทั้งสองนั้นมีปัญหางั้นหรือ”
กระดาษหน้าแรกมีเพียงส่วนหลักๆ อย่างสองมูลบทและคำบรรยายตามลำดับเท่านั้น
โอลิเวอร์หันไปมองชั้นหนังสือแล้วกล่าวอย่างน่าเชื่อถือในขณะที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มเยาะหยันตนเอง “มันเป็นเพียงแนวคิดที่ข้ากับลูเซียนหารือกันขอรับ มิมีอะไรมากไปกว่าการคาดเดาและความคิดเพ้อฝัน พวกมันมีแต่ข้อบกพร่องและข้อผิดพลาด ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้ผู้ใดได้อ่านมันขอรับ ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบมากเพียงใด ทั้งในด้านการประพันธ์บทละคร บทกวี กับวาดภาพและการศึกษาอาร์คานากับเวทมนตร์ หากว่าข้าไม่พอใจกับมันข้ายอมทำลายทิ้งเสียดีกว่าให้ใครเห็นขอรับ”
ถ้อยคำเหล่านั้นคงจะฟังดูน่าขันหากเป็นผู้อื่นพูด แต่เมื่อมหาจอมเวทผู้เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนพูด ผนวกรวมกับหนวดเคราะยาวรุงรังกับสีหน้าเศร้าสร้อย มันจึงฟังดูค่อนข้างสมจริง
ดักลาสดูจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาแย้มยิ้ม “การคาดเดาและความคิดเพ้อฝันมิใช่เรื่องแย่เช่นกัน พวกมันทำให้ข้าเกิดแรงบันดาลใจขึ้นได้ ให้ข้าเดาว่าเจ้าสองคนหารือเรื่องอะไรกันอยู่ หือ อัตราความเร็วของแสงที่ต่อเนื่อง… บทความแพร่หลายที่อธิบายเรื่องการทดลองอัตราความเร็วของแสงในช่วงนี้… ลูเซียนอนุมานสูตรการแปลงของเจ้าโดยยึดหลักจากข้อสมมติฐานทั้งสองใช่หรือไม่”
โอลิเวอร์ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ท่านประธานจะช่วยฉลาดน้อยกว่าไม่ได้หรือ “มิใช่เสียทีเดียวขอรับ…”
ดักลาสเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด เขาหยิบปึกกระดาษออกมาจากกระเป๋ามิติแล้วหยิบปากกาขนนกขึ้นมา เริ่มคำนวณหักลบโดยยึดหลักจากข้อสมมติฐานทั้งสองในงานเขียนของลูเซียน
“ไม่นะ…” โอลิเวอร์ก้าวมาข้างหน้า พยายามจะหยุดเขา แต่เมื่อเห็นว่าดักลาสกำลังจดจ่อกับการเขียน เขาก็พลันเงียบไป ตอนนี้ท่านประธานพอจะเข้าใจแนวคิดแล้ว เขาย่อมหาข้อสรุปได้หลังกลับไปแม้ว่าโอลิเวอร์จะหยุดเขาเอาไว้ตอนนี้ ดังนั้น เขาควรจะคอยตรวจตราระแวดระวังให้ดักลาสและดูว่าตนจะเสนอแนะอะไรได้บ้างหากจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
หากว่าสิ่งต่างๆ อยู่เหนือการควบคุม… เมื่อคิดเช่นนั้น โอลิเวอร์ก็เปิดใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยในหอคอยเวทมนตร์ระดับสูงสุด เพื่อที่เขาจะสามารถกระโจนออกจาก ‘โรงละครแห่งการทำลายล้าง’ เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น
อย่างมากเขาก็อาจจะบาดเจ็บสาหัสหากว่ามิติพิเศษถูกทำลาย แต่เขาก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้เสมอ
ในที่สุดโอลิเวอร์ก็แสดงความรับผิดชอบในช่วงเวลาเช่นนี้ และไม่ติดต่อไปบอกให้เฟอร์นันโดกับลูเซียนมาที่นี่ เผื่อว่าพวกเขาอาจได้รับผลกระทบไปด้วย
จากข้อสมมติฐานทั้งสอง และเนื่องจากเขาเองก็มีเป้าหมายอยู่แล้ว ดักลาสจึงสรุปสูตรออกได้เป็นชุดๆ แต่ยิ่งเขาอนุมานต่อไป ความเร็วของเขาก็ยิ่งตกลง
ฮูม… โรงละครแห่งการทำลายล้างภายนอกหอคอยเวทมนตร์ส่งเสียงครวญ ในขณะที่ดวงดาวที่ระเบิดโพลงอยู่นั้นดูเหมือนจะพังทลายลงภายใต้การดึงดูดจากแรงบางประการ แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบและไม่ได้มาตรฐาน แต่บัดนี้มันกลับแผ่บรรยากาศแห่งการทำลายล้างที่ยิ่งดูน่าหวาดหวั่นกว่าวันโลกาวินาศ
ตัวโอลิเวอร์ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ช่างสมแล้วที่ท่านผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของชั้นตำนาน เขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับดวงดาวภายในมิติพิเศษที่หาได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา จะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ หรือไม่นะ
หลังจากร่ายเวทมนตร์หลายบทใส่ตัวเอง โอลิเวอร์ก็ละทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไปแล้วจดจ้องที่ดักลาส ดวงตาสีดำของเขาเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง
ฝุ่นผงที่ลอยวนอยู่เริ่มเอื่อยเฉื่อยช้าลง และกาลเวลาก็เหมือนจะหยุดเดิน พื้นที่ภายในห้องสมุดคล้ายจะหดตัวเข้าหากัน เส้นเลือดหลายสายโป่งพองขึ้นบนมือของดักลาสข้างที่ถือปากกาขนนกอยู่ ผิวหนังของเขากลับกลายเป็นซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา ดูราวกับว่าเขาแก่ตัวลงไปหลายสิบปีภายในชั่ววูบ
เมื่อเขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ ดักลาสก็อ่านเนื้อหาบนกระดาษอย่างเงียบงันและเศร้าหมอง
“ท่านประธานขอรับ” โอลิเวอร์เรียกเขา
ดักลาสที่ยังนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นไม่ตอบกลับ แต่ในขณะที่โอลิเวอร์กำลังจะเรียกเขาอีกครั้ง เขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มขื่น “แม้ข้าจะรู้ดีว่าบรรดาทฤษฎีการเคลื่อนไหวของข้ามีปัญหาหลังจากที่บรูคสร้างระบบแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าระยะเวลากว่าพันปีที่ข้าใช้ชีวิตมาถูกปฏิเสธเมื่อได้มาเห็นพวกมันถูกหักล้างและทำให้เสียระบบอย่างไร้ปราณีเช่นนี้”
“ไม่เลยขอรับ พวกมันเป็นเพียงตัวเสริมที่มีประโยชน์ต่อระบบทางทฤษฎีของท่าน” ในฐานะศิลปินนักรักชื่อก้อง โอลิเวอร์พูดโกหกได้หน้าตาเฉย “ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศีรษะของท่านประธานดูจะยังอยู่ดี และโลกแห่งปัญญาก็ไม่ถูกแช่แข็ง
“ไม่จำเป็นต้องปลอบใจข้าหรอก ข้ารู้ดีว่าสิ่งที่ข้าอนุมานได้มานั้นคืออะไร ลูเซียน… ลูเซียนเป็นตัวอันตรายเสียยิ่งกว่าบรูค…” ดักลาสส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “เฟอร์นันโดต้องแบกรับภาระมากมายเพียงใดในการเป็นอาจารย์ของเขา ข้ารู้สึกโชคดียิ่งนักที่ข้าไม่คิดแย่งเขาตั้งแต่แรก… ดีที่งานชิ้นนี้ยังเป็นเพียงการอนุมานเชิงสมมติฐานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ด้วยการทดสอบหรือปรากฏการณ์
“อีกอย่าง มันไม่เป็นไปตามความคลาดเคลื่อนของเวลาบนดาวเคราะห์เทียม จากการอนุมาน เวลาควรจะช้ากว่านี้ แต่จริงๆ แล้วเวลากลับเร็วกว่า…”
ดักลาสถามตนเองขณะจมอยู่ในภวังค์ “อะไรคือเวลาและอวกาศ เหตุใดพวกมันจึงเปลี่ยนไปตามสสาร เหตุใดพวกมันจึงเป็นบทบาทหน้าที่ของความเร็ว…”
โอลิเวอร์ประหลาดใจไม่น้อย ดูเหมือนว่าดักลาสจะยังไม่เห็นบทความที่ลูกศิษย์ของลูเซียนตีพิมพ์ออกมา นั่นเยี่ยมไปเลย! เยี่ยมจริงๆ! ภายหลังจากนี้เขาคงจะตกตะลึงน้อยลงหากว่าเขาใช้เวลาอยู่กับโลกแห่งเหตุใดไปอีกสักพัก
โอลิเวอร์เลือกใช้น้ำเสียงอย่างระมัดระวังขณะแสดงความเห็น “ในอดีต เราเชื่อว่าเวลาและอวกาศคือสิ่งที่ไร้ขอบเขต เป็นอิสระ และแม่นยำแน่นอน แต่ตอนนี้เราคงต้องมองมันจากมุมมองที่แตกต่างออกไปแล้วขอรับ หากว่าเราสามารถไขปริศนาแห่งเวลาและอวกาศได้ ข้าเชื่อว่าเราคงอยู่ไม่ไกลจากความจริงของโลกแล้วล่ะขอรับ”
เขากำลังล่อลวงดักลาส นักเวทผู้เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ด้วยอนาคตอันสดใส ในใจนึกหวังให้ท่านประธานคิดว่านี่คืออีกหนึ่งก้าวเพื่อเข้าใกล้ความจริง มิใช่เรื่องที่ว่าระบบของเขาเองถูกทำลายลง เพื่อที่เวลาเขาค้นพบสัมพัธภาพ ศีรษะของเขาจะไม่ระเบิดโพลง
ดักลาสได้สติคืนกลับมาจากความตะลึงงัน จากนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาอะไรได้ “ข้าต้องยอมรับหลายๆ ทฤษฎีหักล้างติดต่อกันในเวลาเพียงหนึ่งร้อยปี หากว่าข้าไม่ได้หวนนึกถึงกรอบความคิดเรื่องความจริงสัมพัทธ์กับความจริงสมบูรณ์ที่ลูเซียนเคยกล่าวถึง โลกแห่งปัญญาของข้าคงจะถูกแช่แข็งไปเหมือนกับบรูคแล้ว ถึงรายงานฉบับนี้จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ใดๆ แต่ข้าก็ตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ในระหว่างการต่อสู้ที่ต้องใช้ความเร็วสูงจริงๆ”
โอลิเวอร์ลูบหน้าผาก รู้สึกขอบคุณลูเซียนที่ในที่สุดเขาก็ทำเรื่องดีๆ อะไรไว้บ้าง เขากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูเซียนบอกว่าระบบการเคลื่อนไหวของท่านไม่ได้ผิดพลาดขอรับ”
“หืม? ไม่ผิดพลาดงั้นหรือ” ดักลาสมองไปทางโอลิเวอร์ด้วยความมึนงง
โอลิเวอร์พยักหน้าอย่างระมัดระวัง “เขาบอกว่าระบบการเคลื่อนไหวคือความจริงสัมพัทธ์ และเป็นการประมาณการณ์ของทฤษฎีในอัตราความเร็วต่ำ วิถีทางของท่านไม่ได้ผิดพลาดขอรับ เพียงแต่ท่านยังเดินไปไม่ไกลพอ”
ในฐานะผู้เขียนบทละคร จึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะประดิดประดอยคำอ้างขึ้นมา แต่ลูเซียนก็ใช้คำว่า ‘การประมาณการณ์อัตราความเร็วต่ำ’ จริงๆ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเพียง ‘คำพรรณนา!’
ดักลาสพยักหน้าช้าๆ และยอมรับทฤษฎีนี้ แต่แล้วเขาก็มุ่นคิ้วเข้าหากัน “ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว มันได้รับการพิสูจน์เบื้องต้นด้วยการทดลองแล้วใช่หรือไม่”
ใบหน้าโอลิเวอร์พลันแข็งทื่อ ปฏิกิริยาของเขาทรยศตัวเองอย่างง่ายดายเมื่อต้องรับมือกับบุรุษอย่างท่านประธาน
“ยังขอรับ ลูเซียนเพียงแต่มั่นใจมาก แบบว่า ความสำเร็จที่ผ่านมาของเขาทำให้เขามั่นใจน่ะขอรับ” โอลิเวอร์โกหกต่อไปและผลักปัญหาไปให้ลูเซียนด้วยการบรรยายว่าเขาเป็นคนจำพวกช่างทะนงตน
ดักลาสลุกขึ้น “เอาล่ะ… ในหัวข้าค่อนข้างยุ่งเหยิง คงต้องขอตัวกลับก่อนแล้วล่ะ บางที รายงานฉบับนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของงานวิจัยในอนาคตของข้าก็ได้…”
และโดยไม่รอคำตอบจากโอลิเวอร์ เขาก็ออกไปจากหอคอยเวทมนตร์พร้อมกับทอดถอนใจ “ลูเซียนจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน เขาย่อมไม่หารือเรื่องนี้กับเจ้าหากไม่มีการทดลอง”
เขารู้สึกว่าหัวใจถูกฉีกกระชากด้วยความตื่นเต้นดีใจกึ่งหนึ่งและความโศกเศร้ากึ่งหนึ่ง
หลังกลับมาถึง ‘แดนสัจธรรม’ ดักลาสก็สั่งให้ผู้อารักขาหอคอยไปนำงานเขียนในช่วงนี้ของลูเซียนมา
“การวิเคราะห์เทนเซอร์… ทำไมถึงไม่มีเลยเล่า” ดักลาสรู้ดีว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่นี้อันตรายมาก แต่โลกแห่งปัญญาที่กำลังสั่นคลอนทำให้เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ เขาเหมือนกำลังเข้าไปใกล้ทางออกของเขาวงกตที่กักขังเขาไว้มานานปี ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยด้วยร้ายหรือดี อย่างไรมันก็คือคำตอบ แล้วเขาจะหยุดได้เช่นไรกัน
เมื่อไม่พบอะไรเลยหลังจากค้นหาอยู่นาน ดักลาสจึงหยิบวารสารอาร์คานาฉบับที่ตีพิมพ์สูตรการแปลงของโอลิเวอร์ขึ้นมาแล้วทำตามคำอธิบาย เขาเชื่อว่าลูเซียนจะต้องเตรียมการมากมายก่อนจะส่งงานที่จะปฏิรูปอะไรหลายๆ ไว้แล้วแน่ๆ
ดักลาสใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลูเซียนและเฟอร์นันโด ขณะเปิดวารสารไปที่หน้าท้ายๆ และทันใดนั้นเขาก็มองเห็นชื่อคุ้นตาสองชื่อ “แอนนิค… สปรินต์… ทั้งสองคนนี้มิใช่ลูกศิษย์ของลูเซียนหรอกหรือ”
ดักลาสจดจ่อสมาธิ แล้วเริ่มอ่านบทความนั้นอย่างตั้งใจ คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันช้าๆ ขณะที่ผืนพรมในหอคอยเวทมนตร์ปรากฏสูตรที่เขาอนุมานได้ก่อนหน้านี้ภายใต้การชักนำของพลังจิตเขา
“หากเราเริ่มต้นจากสูตรที่ว่ามวลสารเพิ่มขึ้นไปพร้อมความเร็ว มันอาจจะมีคำอธิบายก็ได้” ดักลาสคิดคำนวณไม่หยุดราวกับว่ามีบางอย่างกำลังไล่ตามเขามา เมื่อได้รับชุดข้อมูลมาในท้ายที่สุด เขาก็รู้ว่าควรจะเปลี่ยนสนามไฟฟ้าอย่างไรแล้วในตอนนี้
เขาเข้าไปในห้องทดลองโดยไม่ทำการจำลองใดๆ ในโลกแห่งปัญญา หลังจากเปิดใช้งานเครื่องไซโคลตรอนที่เพิ่งติดตั้ง เขาก็ปรับค่าสนามไฟฟ้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทิวทัศน์แสนงดงามด้านนอกหอคอยเวทมนตร์ก็พลันถูกความมืดเข้าปกคลุม ทั้งเวลาและอวกาศคล้ายตกอยู่ในความโกลาหล
ดักลาสผละจากเครื่องไซโคลตรอนแล้วเดินไปยังหน้าต่างบานหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อะไรคือเวลา อะไรคืออวกาศ แล้วอะไรคือชีวิตกันเล่า”
แสงสว่างคืนกลับมายัง ‘แดนสัจธรรม’ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แต่แววตาของดักลาสยังคงเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ความคิดเห็นเชิงปรัชญาของเขาตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมาเพิ่งจะอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง
“ต้องขอบคุณที่ข้ายังมีทฤษฎีแรงโน้มถ่วง… แต่อะไรคือแหล่งพลังงานของแรงโน้มถ่วงกันเล่า มันเกิดขึ้นมาจากอะไร แรงโน้มถ่วงเกิดขึ้นได้อย่างไรในตอนแรก”
“ความจริงสมบูรณ์หมายถึง…”
…
ลูเซียนยังไม่ทันได้ไปส่งรายงานจากการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เขาก็ได้รับสานจากเฟอร์นันโดว่า ‘มาหาข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าลูกเต่าโง่โอลิเวอร์ทำเสียเรื่องอีกแล้ว!’
‘หือ?’ ลูเซียนอึ้งงันและคล้ายกับจะได้ยินเสียงอาจารย์เขาคำรามใส่โอลิเวอร์เลยทีเดียว
‘เกิดอะไรขึ้น’