Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – ตอนที่ 553

ตอนที่ 553

บทที่ 553 ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เมื่อรับคัมภีร์ ‘ท่องราตรี’ มาแล้ว ลูเซียนตั้งใจจะฝืนยิ้มออกมา แต่ก็พบว่าใบหน้าของเขาแข็งทื่อเกินกว่าจะยิ้มได้ “อาจารย์ขอรับ คงไม่แย่ขนาดนั้น สมมติว่าซาร์ดไม่รักษาสัญญา และโป๊บมาใช้พลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’ เขาก็คงสังหารผู้มีพลังชั้นตำนานได้อย่างมากก็แค่คนเดียว เพราะพวกเขาก็ต้องคอยต่อต้านศาสนจักรฝ่ายเหนือและสภาแห่งความมืดด้วย ก็คงไม่ยากเท่าไหร่หากพวกเขาระดมกำลังผู้มีพลังชั้นตำนานยี่สิบคน และเราก็มีผู้มีพลังระดับนั้นมากมายในสภา”

“ถ้าสถานการณ์เลวร้ายขึ้น เจ้าต้องคิดถึงพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญทั้งห้าคน รวมทั้งซาร์ด และอัศวินชั้นตำนานอีกเจ็ดคนในโฮล์ม คาเลส์ บริแอนน์ และโคเล็ตต์ด้วย นั่นหมายความว่าจะมีผู้มีพลังชั้นตำนานเกือบสามสิบคนเลยทีเดียว ผนวกกำลังกับโป๊บที่เป็นมนุษย์ครึ่งเทพ ข้าประเมินว่าคงมีนักเวทชั้นตำนานเพียงไม่กี่คนรอดตายจากการปะทะซึ่งหน้ากับพวกเขา” เฟอร์นันโดเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด

แล้วเขาก็มองลูเซียนด้วยรอยยิ้มในดวงตาสีแดง “อย่าประเมินโป๊บต่ำไป เขายังเป็นหนึ่งในมนุษย์ครึ่งเทพแม้จะไม่มีพลังพระเจ้าเสด็จก็ตาม ยกเว้นผู้มีพลังชั้นสูงอย่างดักลาส แดรกคูลา และบรูค ซึ่งมีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของชั้นตำนานมานานหลายปี นักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ อาจไม่สามารถหนีพ้นพลังของโป๊บ”

ขณะที่เขากล่าว เฟอร์นันโดซึ่งมีความรู้สึกทั้งไม่ละอายใจ เอาจริงเอาจัง และกระวนกระวายใจ ก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผสมปนเปกัน “นอกจากนี้ พลังพระเจ้าเสด็จน่ากลัวเกินไป หากพลังเล็งเป้าเล่นงานผู้มีพลังชั้นตำนานสูงสุดคนไหน คนๆ นั้นก็จะถูกสังหารในทันที ไม่ว่าจะอยู่ตัวคนเดียวหรือรวมกลุ่มกันก็ตาม ถ้าจะพัฒนา ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ให้มีพลังระดับเดียวกัน ดักลาสจะต้องพัฒนาขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เพราะอย่างนี้สภาถึงตัดสินใจร่วมมือกับซาร์ด แม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม ก่อนที่พลังพระเจ้าเสด็จของโป๊บจะฟื้นตัว”

“ไม่อย่างนั้น ใครจะป้องกันพลังพระเจ้าเสด็จในอีกสิบปี? ข้าไม่คิดว่าข้า แฮททาเวย์ หรือบรูคจะมีคุณสมบัติอันทรงเกียรติถึงขนาดที่จะสละชีวิตเพื่อคนอื่น แต่ถ้าเราร่วมมือกัน เราจะตายกันหมด ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง สำหรับอัศวินชั้นตำนานแค่เจ็ดคน การมีหรือไม่มีพลังพระเจ้าเสด็จของโป๊บจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคำตอบสุดท้ายของพวกเขา”

“เมื่อพวกเขาทุกคนอยู่ข้างเราแล้ว ก็ถึงเวลาที่โป๊บต้องชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย เพราะถึงตอนนั้น กำลังส่วนใหญ่ของศาสนจักรฝ่ายใต้ก็จะเท่าเทียมกับกำลังของเรา จะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบอีกต่อไป โป๊บต้องมองความเป็นไปได้ของชนะอันโหดร้ายที่เขาจะหมดพลังหลังใช้พลังพระเจ้าเสด็จ และมีพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหารไปครึ่งหนึ่ง นั่นจะทำให้สภาแห่งความมืดและศาสนจักรฝ่ายเหนือเป็นฝ่ายได้ผลประโยชน์ที่สุด”

ลูเซียนพยักหน้าและเข้าใจยุทธศาสตร์ของสภาที่ต้องการสร้างสถานการณ์อันชอบธรรม เพื่อบีบให้อัศวินชั้นตำนานเจ็ดคนหันมาเข้าข้างสภา แล้วหลังจากนั้น แม้ว่าพลังพระเจ้าเสด็จของโป๊บฟื้นตัวมา เขาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่จะมีมือที่สามคอยฉกฉวยประกาศจากสงครามที่มีแต่ผู้แพ้

“นาตาชากับข้าต้องเตรียมการบางอย่าง ด้วยการปลุกปั่นของซาร์ด เรามั่นใจว่าจะทำให้พวกขุนนางหันมาเข้าข้างเราได้ทั้งหมด และท่าทีของขุนนางจะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของอัศวินชั้นตำนานแน่นอน อาจารย์ขอรับ ท่านคิดเห็นอย่างไร…” ลูเซียนเสนอแนะแผนซึ่งเตรียมการไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

เฟอร์นันโดพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องทำตามได้ที่มันช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของเรา ในบรรดาอัศวินชั้นตำนานทั้งเจ็ด มีห้าคนที่เอนเอียงมาทางเราบ้างแล้ว จนกว่าสถานการณ์จะชัดเจน พวกเขาน่าปฏิเสธการสื่อสารกับเรา แม้พวกเขาตัดสินใจเหยียบเรือสองแคมไปก่อน ข้าจะคุยกับเขาเอง”

ส่วนอีกสองคนทึกทักเอาว่าการกระทำและแผนของซาร์ดมีจุดประสงค์ต่างไป รวมถึงมาตรการตอบโต้ที่ตามมา

“ถ้านั่นคือจุดประสงค์ของซาร์ด ข้าจะบอกให้เจ้ารู้โดยเร็วที่สุด หวังว่าแผนตอบโต้ของเจ้าน่าจะมีประโยชน์นะ นอกจากนี้ เนื่องจากเจ้าอยู่ใกล้ปราสาทเนคโซ เจ้าน่าจะช่วยนาตาชาควบคุมวงพลังอาคมเทพในเมืองทั้งหมด นี่เป็นขั้นตอนสำคัญป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ มอร์ริสกับนักเวทคนอื่นๆ ของราชวงศ์โฮล์มจะร่วมมือกับเจ้า” เจ้าแห่งวายุบอกเขา การให้ลูเซียนประจำการที่ปราสาทไม่ใช่เพียงเพราะจะช่วยให้เขาหนีง่ายขึ้นเท่านั้น แต่เพราะความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเขากับนาตาชาซึ่งจะให้ความร่วมมือกับเขาอย่างไร้ข้อกังขา

ขณะเดียวกัน การป้องกันเรนทาโตทั้งเมืองอาจไม่ดีเท่ากับการป้องกันคริสตจักรแห่งอาภาและปราสาทเนคโซ แต่ก็ยังดีกว่าระบบป้องกันของนครอัลโต้ หลังจากเปิดวงพลังเทพแล้ว ผู้ควบคุมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน อุปกรณ์ที่ควบคุมระบบป้องกันถูกแยกออกเป็นสองส่วนต่างหาก ส่วนหนึ่งอยู่ในคริสตจักรแห่งอาภา และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในปราสาทเนคโซ ส่วนควบคุมในคริสตจักรแห่งอาภาจะถูกยึดครองโดยสภาหลังจากซาร์ดออกจากที่นั่น และส่วนควบคุมในปราสาทจะขึ้นตรงต่อนาตาชา

ลูเซียนไม่ได้พูดอะไร เท่าแต่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ขอรับ ทำไมเราไม่ขอความร่วมมือจากกองกำลังที่อื่น?”

“แผนนี้ต้องเก็บเป็นความลับสูงสุด ถ้าเราขอความร่วมมือจากศาสนจักรฝ่ายเหนือหรือสะพานแห่งความมืด ข่าวกรองอาจรั่วไหล และศาสนจักรอาจรู้ตัวก่อน นอกจากนี้ สองฝ่ายนั้นไม่มีตัวเลือกมากนัก และจะรอเพื่อฉวยโอกาสจากเรา หลังจากเราล้มเหลวหรือโจมตีอาณาเขตของศาสนจักร เมื่อกองกำลังป้องกันถูกเรียกมาจากที่อื่น เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าร่วมรบโดยไม่ไตร่ตรอง สิ่งที่เราต้องฉกฉวยคือช่องโหว่ เราจะขู่ให้ศาสนจักรถอนตัวออกจากสงครามเต็มรูปแบบ” เฟอร์นันโดอธิบาย “และสำหรับพันธมิตรอื่นๆ ฝ่ายที่เต็มใจจะเข้าร่วมจะมาหลังจากเห็นความเปลี่ยนแปลง และฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมก็จะไม่มา แม้เราจะออกปากขอล่วงหน้าก็ตาม”

แม้แต่ภายในสภาเวทมนตร์เอง ก็มีเพียงสมาชิกของสภาสูงสุดและนักเวทที่มีสิทธิพิเศษเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เช่น ลูเซียน ที่ได้รับรู้ข้อมูลขนาดนี้ จอมเวทและนักเวทฝึกหัดส่วนใหญ่ต่างไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้น ส่วนอีกด้านหนึ่ง นาตาชาก็ไม่ได้บอกใครถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ทำให้เหล่าขุนนางเข้าใจศาสนจักรผิดมากยิ่งขึ้นและเฝ้ามองหาความสมดุลใหม่

เวลาเที่ยงวัน วันที่สิบสี่ของเดือนแห่งไฟ…

ณ ชั้นที่สามสิบห้าของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน มีเสียงที่ดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน

“มีการยืนยันว่าเบเนดิกต์ที่สองจะเทศนาในนครศักดิ์สิทธิ์และจะไม่เดินทางออกจากเมือง”

“มีการยืนยันว่านักบุญเมลแม็กซ์ อนาสตา และมาเรียจะขอดูแลโป๊บและไม่ไปไหน”

“มีการยืนยันว่าออเด็น หัวหน้านักพรต จะเทศนาในมิติดินแดนใหม่และไม่ไปไหน”

“มีการยืนยันว่าวารันไทน์ หัวหน้านักพรต จะเข้าสารภาพบาปในนครศักดิ์สิทธิ์และไม่ไปไหน”

“มีการยืนยันว่าวาฮารัล ตุลาการ จะอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของคณะไต่สวนและไม่ไปไหน”

“มีการยืนยันว่าเบลเลีย พระสิริของพระเจ้า จะอยู่ที่ป้อมปราการตอนเหนือและไม่ไปไหน”

….

การยืนยันข่าวกรองเข้ามาทีละชิ้นๆ ทำให้สภาสูงสุดและนักเวทที่ร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ เช่น ลูเซียน ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

“ไม่สามารถยืนยันตำแหน่งของนักบุญแอนโธนี ยักษ์แห่งคณะไต่สวนและผู้พิทักษ์ราตรี และเบรนทิส เพลิงต้นกำเนิด ซึ่งอยู่ในอันดับสูงสุดของกลุ่มผู้พิทักษ์ราตรี

“ไม่สามารถยืนยัน…”

ข่าวกรองนี้ไม่เพียงมีข้อมูลเกี่ยวกับศาสนจักรฝ่ายใต้เท่านั้น แต่รวมถึงข้อมูลของศาสนจักรฝ่ายเหนือและผู้มีพลังขั้นสูงของเทือกเขาแห่งความมืด สายลับที่สภาเวทมนตร์ส่งไปทำงานหลายต่อหลายปีได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของตน

หลังจากวิเคราะห์ข่าวกรองและยืนยันสถานการณ์ ดักลาสก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาหน้าห้องประชุมของสภาสูงสุด ก่อนที่จะประกาศอย่างตั้งอกตั้งใจและขึงขังว่า “เริ่มปฏิบัติการ ระวังความปลอดภัยของพวกเจ้าด้วย!”

“อาร์คานาจงเจริญ!” ลูเซียนและทุกๆ คนวางมือขวาแตะหน้าผา

ณ นครโคคัส เมืองหลวงของราชรัฐคาเลส์…

เอริก้า ‘ปรมาจารย์แห่งการแปลงกาย’ ซึ่งมีผมสั้นสีผ้าลินิน เดินออกมาจากหอคอยเวทมนตร์สีดำที่ดูเหมือนหอสังเกตการณ์พร้อมกับบรรยากาศอันอัดแน่นด้วยประวัติศาสตร์รอบตัวนาง นางเป็นหนึ่งในนักเวทไม่กี่คนในสภาสูงสุดที่มีมรดกยุคโบราณตกทอดมา บางครั้ง นางก็เรียกตัวเองว่า นักประวัติศาสตร์

หลังจากคำนวณเวลาแล้ว นางก็เดินไปยังคริสตจักรหลวงแห่งโคคัสพร้อมกับผู้วิเศษและนักเวทอาวุโสอีกสองสามคน ในตอนนั้นเอง ม้าเกล็ดมังกรสองตัวก็ถูกควบเข้ามาและผู้ที่อยู่บนหลังม้าก็ตะโกนอย่างตั้งอกตั้งใจว่า “ท่านยอร์ซนาร์เรียกประชุมขุนนางฉุกเฉิน”

ยอร์ซนาร์ ‘บทเพลงสนธยา’ เป็นอัศวินชั้นตำนานของราชรัฐคาเลส์

เอริก้าเข้าใจว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผน ยอร์ซนาร์จะไม่ลงมือทำอะไรจนกว่าสถานการณ์จะกระจ่างจัด

หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่นาที เอริก้ากับคู่หูของนางที่ดูเหมือนจะเชื่องช้ากว่า ก็เดินทางมาถึงประตูคริสตจักรหลวงแห่งโคคัส ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของเมือง นักบวชวัยกลางคนที่สวมหมวกไหมพรมสีขาวก็จ้องมองนางด้วยสีหน้าสันติ

“ทอร์เรนส์ ทางท่านพร้อมหรือยัง?” เอริก้าถามทอร์เรนส์ พระคาร์ดินัลหลวงแห่งสังฆมณฑลคาเลส์ หรือที่รู้จักในนาม ‘เทวทูตแห่งปัญญา’

ทอร์เรนส์ตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าส่งพระคาร์ดินัลชุดแดงไปตรวจสอบเขตต่างๆ เหลือเพียงบิชอปและบาทหลวงอยู่ข้างใน วงพลังเทพก็ปิดลงแล้วด้วย”

เอริก้าไม่ผลีผลามเข้าไป แต่ส่งสัญญาณให้ผู้วิเศษข้างๆ นาง เรียกปีศาจชั้นอาวุโสสองตนมาควบคุมแกนวงพลังเทพและวงเวทการส่งผ่าน

เมื่อไม่พบอะไรผิดปกติ ผู้วิเศษและนักเวทสองสามคนก็เข้าไปภายในและควบคุมพื้นที่ต่างๆ ส่วนเอริก้าอยู่ที่จัตุรัส เผชิญหน้ากับทอร์เรนส์ท่ามกลางความเงียบ ขณะที่รอความคืบหน้าในนครเรนทาโต

ณ นครซัลลีแวร์ เมืองหลวงของราชอาณาจักรบริแอนน์…

บรูค สุภาพบุรุษวัยเกือบชราที่สวมวิกสีขาวและเสื้อสูทกระดุมสองแถว พร้อมกับถือไม้เท้าสีดำสั้นๆ ในมือขวา เดินขึ้นบันไดด้านหน้าของคริสตจักรหลวงแห่งบรูว์สตัน พร้อมกับเชลซี โฮลต์ สุภาพสตรีตัวเล็กผมสีเงิน ทั้งสองเดินเข้าไปภายในโบสถ์อย่างไม่มีลูกไม้

เขามั่นใจว่าจะสามารถสังหาร ‘บีเวอร์’ และ ‘แสงทิพย์’ ภายใน แม้ว่าวงพลังเทพทั้งหมดจะยังทำงานอยู่

เมื่อเขากำลังจะเดินเข้าไปในโบสถ์ เขาก็มองกลับไปยังทิศที่กษัตริย์แห่งบริแอนน์อยู่ และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “หวังว่าบีเดรนกาและบาเซอร์จะไม่ตัดสินใจอะไรโง่ๆ”

บีเดรนกา ‘ค้อนแห่งการลบล้าง’ และบาเซอร์ ‘อัศวินแห่งความพินาศ’ ต่างเป็นอัศวินชั้นตำนานของราชอาณาจักรบริแอนน์

“สองคนนั้นจะตัดสินใจเมื่อสถานการณ์ชัดเจนแล้วเท่านั้น” โฮลต์ ‘นักปราชญ์แห่งจันทรา’ ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มานานแสนนาน ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

บรูคพยักหน้าและค่อยๆ เดินเข้าไปในโบสถ์โดยไม่มีอุปสรรคขว้างกั้น เขานั่งลงบนที่นั่งแถวที่สามตรงหน้าไม้กางเขนและใคร่ครวญชีวิตเหมือนกับผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาที่สุด ขณะที่เฝ้ารอให้จังหวะลงมือมาถึง พระคาร์ดินัลชุดแดงที่กำลังเทศนาบนแท่นพิธีไม่รู้ตัวเลยว่าปีศาจที่น่ากลัวที่อยู่ในอันดับแปดของบัญชีกวาดล้างกำลังอยู่ตรงข้างเขา

ฮัล-ชูเลียที่แนวชาวฝั่งตอนเหนือ และวิเซนเตที่อาณาจักรโคเล็ตต์ ก็เผชิญสถานการณ์ไม่ต่างจากเอริก้า ทั้งสองยึดคริสตจักรหลวงและควบคุมวงพลังเทเลพอร์ตอย่างง่ายดาย อัศวินชั้นตำนานในอาณาเขตไม่กี่แห่งเรียกประชุมขุนนางฉุกเฉินเหมือนกับที่ยอร์ซนาร์ทำ

ในนครเรนทาโต ภายนอกคริสตจักรแห่งอาภา…

เฟอร์นันโดซึ่งได้ความช่วยเหลือจากอะทาแมน ‘เขตป้องกันขั้นสมบูรณ์’ นักเวทชั้นตำนานอีกคน พร้อมกับผู้วิเศษและนักเวทอาวุโสมากว่าสิบคน กำลังรอให้ซาร์ดออกมาจากคริสตจักรแห่งอาภา

พวกเขารอเพียงไม่นาน ซาร์ดซึ่งปรากฏว่าเป็นเพียงชายชราธรรมดา ก็ออกจากคริสตจักรแห่งอาภาไปอย่างง่ายด้ายตามที่เขาสัญญา

…………………………………………………..

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท