Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 592 เฝ้ารอ

บทที่ 592 เฝ้ารอ

บทที่ 592 เฝ้ารอ
เดียปนั่งอยู่ในห้องทำงาน รู้สึกท่วมท้นจากความคิดอันไร้ขอบเขตจากการอนุมานของเขาเอง ราวกับว่าตัวเขาอยู่ในฝันร้าย

เขาทำตามขั้นตอนทั้งหมดอีกครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามจะมองหาปัญหา ขณะที่เขาไม่อาจหยุดพึมพำได้

“จะเป็นไปได้อย่างไรที่อิเล็กตรอนจะมีคุณสมบัติเป็นคลื่น”

ครู่ใหญ่ๆ ถัดมา เขาก็เริ่มถามตัวเองว่า

“มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”

จากนั้นความสับสนมึนงงก็เอาชนะความคิดอื่นๆ และเดียปก็เริ่มศึกษาการนำผลลัพธ์นี้ไปประยุกต์ใช้

“ทำไมจึงเป็นคลื่นกันนะ…”

หิมะหนาหนักโปรยปรายลงมาอย่างเงียบงันอยู่ภายนอกหน้าต่าง แต่แสงไฟสลัวรางที่ส่องออกมาจากที่พักของเดียปนั้นดูกระตือรือร้นท่ามกลางอากาศเลวร้ายนี้ ความทดท้อค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าเดียปและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“…หากเป็นเช่นนั้น ก็จะดูเหมือนว่าจุลภาคทั้งหมดที่มีการเคลื่อนไหวจะมีคลื่นความถี่สอดคล้องและความยาวคลื่นเป็นของตัวเอง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…” คิ้วของเดียปขมวดมุ่น แล้วทันใดนั้น เขาก็นึกถึงคำพูดของอีวานส์จากสองบทความที่ตีพิมพ์แยกกัน

“…บางทีเราควรจะเปิดใจให้กว้างเมื่อเผชิญหน้ากับข้อโต้แย้ง”

“…ในเมื่อเป็นที่แน่ชัดว่าธรรมชาติของแสงนั้นเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค ดังที่มีผลการทดลองเป็นหลักฐานยืนยันแน่ชัด เหตุใดเราจึงไม่รวมเอาผลลัพธ์เหล่านี้เข้าด้วยกันเล่า บางทีมันอาจจะอธิบายได้ด้วยทวิภาคของคลื่น–อนุภาค”

ข้อความอย่างหลังนั้นปรากฏในงานเขียนธรรมดา และลูเซียน อีวานส์ ก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วยโทนเสียงไม่มั่นใจ ดังนั้น ถ้อยคำเหล่านี้จึงแทบไม่ได้รับความสนใจจากผู้อ่าน แต่กรอบแนวคิดของคำว่าทวิภาคนั้นกลับฝังลึกลงในสมองของเดียป และบัดนี้ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลหากนำทฤษฎีทวิภาคมาประยุกต์ใช้ด้วย

เขาสูดหายใจเข้าลึกจนทั่วท้อง ราวกับว่าเขากำลังเตรียมตัวจะปล่อยสัตว์อสูรที่จะทำให้โลกสั่นสะเทือนออกมา ในที่สุดเขาก็สรุปไว้ในต้นฉบับของตนว่า ‘และนี่คือข้อสรุปที่เราจะได้รับ: ทวิภาคของคลื่น–อนุภาคไม่เพียงมีอยู่ในโฟตอนหน่วยเล็กสุดเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในทุกๆ จุลภาคที่มีการเคลื่อนไหว รวมถึงโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน ฯลฯ ทั้งหมดนี้มีความยาวคลื่นสอดคล้องที่ยึดหลักจากพลังงานที่พวกมันมี หรืออีกนัยหนึ่งคือ ทั้งหมดต่างมีความเป็นทวิภาค’

เมื่อเขียนจบประโยค เดียปก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง แต่ถึงกระนั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘หากจุลภาคทั้งหมดนี้มีความเป็นทวิภาคเหมือนกัน แล้วมหภาควัตถุที่มีการเคลื่อนไหวเล่า’

นั่นคือการอนุมานที่น่าขัน เดียปมองตัวเองแล้วนึกขันกับความคิดบ้าๆ ของตนเอง

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น เช่น สัมพัทธภาพพิเศษสามารถประยุกต์ใช้กับการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยได้เช่นกัน ทั้งสองระบบมิได้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าพวกมันจะรวมตัวเข้าหากันได้ บางทีพวกมันอาจจะสนับสนุนกันและกัน เหมือนอย่าง… การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยที่ยึดหลักจากทฤษฎีสัมพัทธภาพละมั้ง

จิตใจเดียปค่อยๆ สงบลง และความคิดแปลกๆ ก็เริ่มผุดขึ้นมา แต่งานเขียนตรงหน้าเขายังคงเป็นเหมือนหินก้อนยักษ์ที่กดทับเขาเอาไว้

เดียปยืนขึ้น เดินจากโต๊ะทำงานไปยังหน้าต่างแล้วผลักมันเปิดออก สายลมเย็นยะเยือกพลันถาโถมเข้าใส่เขา

เดียปตัวสั่นเทาท่ามกลางสายลมหนาว แต่สมองของเขากลับรู้สึกสดชื่น ที่ขอบฟ้าปรากฏแสงสว่างขึ้นแล้ว โลกถูกปกคลุมด้วยหิมะชั้นหนึ่ง ราวกับมันได้กลายเป็นโลกใบใหม่

“เช้าแล้ว…”

เดียปถอนหายใจกับตนเอง

ระหว่างรับประทานมื้อเช้า เดียปไม่เจอกับราเวนติ อาจารย์ของเขา หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตรงไปที่ห้องทำงานของราเวนติ

เดียปเคาะประตูห้อง

“เชิญ” จากวงแหวนเวท ราเวนติรู้ว่าเป็นเดียปที่อยู่ด้านนอก

เมื่อผลักประตูเปิด เดียปก็ก้าวเข้ามาอย่างเงียบงัน เขาเห็นว่าราเวนติกำลังเดินออกมาจากห้องทดลองเวทมนตร์ ดูเหมือนว่าเขาจะพิสูจน์หาความจริงในบทความของบรูคตลอดทั้งคืน

“มีอะไร” ราเวนติถามอย่างไม่อ้อมค้อม

เดียปลังเล เขารู้สึกประหม่า วิตก หวาดกลัว และไม่มั่นใจในตัวเองเอามากๆ เขาไม่คิดว่าอาจารย์ของตนจะยอมรับในผลลัพธ์ที่เขาหามาได้

“พูดออกมา!” ราเวนติเองก็เป็นพวกคุ้นเคยกับการคำราม

เดียปขบฟันแน่นแล้วยื่นชิ้นงานออกไป “อาจารย์ขอรับ นี่เป็นรายงานฉบับล่าสุดของข้า ได้โปรด… อ่านดูนะขอรับ”

หากไม่มีข้อสนับสนุนหนักแน่นจากการทดลอง งานเขียนชิ้นนี้ย่อมไม่มีทางทำให้โลกแห่งปัญญาของราเวนติสั่นคลอนได้

“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าจะลังเลทำไม” ราเวนติเอ่ยเสียงดัง ขณะรับงานชิ้นนั้นไป

ราเวนติไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านนี้เสียเท่าไหร่ หากเป็นเฟอร์นันโดที่จะต้องอ่านงานชิ้นนี้ เขาคงจะต้องถามอย่างแน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับหัวข้อหักล้างทฤษฎีเดิมหรือไม่ และมันร้ายแรงมากแค่ไหน

เดียปอ้าปาก แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา เพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นไร เขาไม่อาจสารภาพความห่วงกังวลทั้งหลายในใจต่อหน้าอาจารย์ได้

ราเวนติเริ่มอ่านรายงานสั้นๆ ขณะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงัก สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว มันมีทั้งความตกตะลึง สับสน และกระทั่งโกรธเกรี้ยว

เดียปถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ ด้วยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวอาจารย์เขา ซึ่งเป็นนักเวทระดับต้นๆ ที่โลกแห่งปัญญาสามารถส่งผลต่อโลกแห่งความจริงได้

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ราเวนติก็ดึงตัวเองออกมาจากงานเขียนชิ้นนั้น และหันกลับมาจ้องมองเดียป

“เจ้ากำลังบอกข้าว่าอิเล็กตรอนคือคลื่นอย่างนั้นหรือ!” ราเวนติคำราม

เสียงของราเวนตินั้นทั้งฟังดูทุ้มลึก ราวกับมีพายุร้ายซ่อนตัวอยู่ในนั้น

“ขอรับ… ความจริงแล้วจุลภาคทั้งหมด…” เดียปพูดตะกุกตะกัก

“เจ้ากำลังบอกข้าว่าอิเล็กตรอนคือคลื่นอย่างนั้นหรือ!” ราเวนติคำรามอีกครา

“หลังจากที่มีการช่างน้ำหนักมวล พบเจอร่องรอย และพิสูจน์จนแน่ใจว่าอิเล็กตรอนมีโมเมนตัมจริงๆ และเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์[1] เจ้าก็ยังยืนยันอย่างนั้นหรือ”

“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าเลยล่ะว่าพวกสตรีชั้นสูงที่แต่งงานแล้วและยังเป็นมารดา แท้จริงแล้วเป็นบุรุษ!”

เสียงคำรามของราเวนติทำให้เดียปถอยหลังกลับจนแผ่นหลังกระแทกกับประตู แม้ว่าการเปรียบเทียบของราเวนติจะฟังดูเหมือนถูกต้อง แต่มันดูจะไม่เหมาะสมที่จะนำทฤษฎีทวิภาคมาปรับใช้กับโลกมหภาค

“สัตว์เวทบางสายพันธุ์เป็นเพศคู่ เมื่อใดก็ตามที่ได้รับพลังโลหิตนั้น มนุษย์ก็อาจสามารถ…” เดียปพึมพำ

ขณะที่ดวงตาสีเทาเข้มของราเวนติจดจ้องอยู่ที่เดียป ธาตุต่างๆ ในห้วงอวกาศก็สั่นเป็นระรอกคลื่นอย่างสับสนวุ่นวายราวกับสายน้ำ

“ตามข้าไปที่ห้องทดลอง” ราเวนติกล่าว

เดียปปาดเหงื่อบนใบหน้าแล้วตามอาจารย์เข้าไปเงียบๆ ราเวนติหยุดอยู่หน้าห้องหมอกที่ลูเซียน อีวานส์ เป็นผู้คิดค้น และเปิดใช้เครื่องไซโคลตรอน

“ทีนี้เจ้าจงบอกข้ามา ร่องรอยแสนงดงามที่อิเล็กตรอนทิ้งไว้เหล่านี้คืออะไร เจ้ายังอยากจะบอกข้าว่าอิเล็กตรอนคือคลื่นอยู่หรือไม่!” ราเวนติตะคอกใส่เดียปอีกหน

เดียปไม่จำเป็นต้องมองไปทางห้องหมอกก็รู้อย่างแน่ชัดว่าร่องรอยเหล่านั้นมีหน้าตาเช่นไร

เดียปสูดหายใจเข้าลึก เขามิได้ตอบคำถามของอาจารย์ กลับพูดทวนซ้ำเดิม ราวกับกำลังให้ความมั่นใจแก่ตนเอง “อิเล็กตรอนแสดงคุณลักษณะของอนุภาคเช่นกันขอรับ พวกมันเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค”

ถ้อยคำของเดียปฟังดูน่าขันโดยสิ้นเชิงสำหรับราเวนติ โดยพื้นฐานแล้ว ลูกศิษย์ของเขากำลังบอกว่าบุรุษสามารถเป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี สูงและเตี้ย มีชีวิตและตาย

สงครามระหว่างทฤษฎีอนุภาคกับคลื่นดำเนินต่อเนื่องมาหลายสิบปี จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ทั้งสองมุมมองจะเป็นเรื่องถูกต้อง

ราเวนจิกำลังจะสาดคำถามใส่ลูกศิษย์อีกหลายข้อ แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาแดงก่ำ เหนื่อยล้า แต่ยังคงมุ่นมั่นของลูกศิษย์ ราเวนติก็สงบลงเล็กน้อย เมื่อเป็นเรื่องของอาร์คานาศาสตร์ เขาจะโน้มเอียงตามข้อสนับสนุนด้วยตรรกะเหตุผลและการทดลอง

ราเวนตินึกย้อนไปถึงการให้เหตุผลแบบนิรนัยทั้งหมดในรายงานของเดียป แล้วก็พบว่ามันไม่ได้มีปัญหาใดๆ

“บางทีเจ้าอาจใช้สมการสลับกันไปบ้าง ข้าขอเวลาสักหน่อย” น้ำเสียงราเวนติอ่อนลงเล็กน้อย

ด้วยรู้ดีว่าผลลัพธ์นี้ยากจะยอมรับได้สำหรับอาจารย์ตน เดียปจึงพยักหน้าด้วยความทดท้อ “ตามสบายขอรับอาจารย์”

แม้แต่เดียปเอง ซึ่งเป็นผู้ให้เหตุผลแบบนิรนัยนี้ ยังมีช่วงเวลายากลำบากในการทำใจให้เชื่อมัน

เมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวังของลูกศิษย์ ราเวนติก็หยิบรายงานแล้วเดินออกมา “งานชิ้นนี้ไม่ได้ยาวมาก ข้าจะส่งไปให้มอร์ริสกับแกสตันเพื่อดูว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร ตัวข้าหาใช่จะถูกต้องเสมอไป”

ลูกศิษย์ไม่ควรหลับหูหลับตาเชื่ออาจารย์ นี่คือความเชื่อของราเวนติเสมอมา

ความหวังผุดพรายขึ้นในอกเดียปอีกครา

ด้วยเหตุนี้ ตลอดทั้งเช้า เดียปจึงเฝ้ารอให้จดหมายส่งกลับมาด้วยความประหม่ากลัว เมื่อจดหมายส่งกลับมาในตอนเที่ยงวัน เขาก็รีบตรงไปยังห้องทำงานของราเวนติ

“อาจารย์ พวกเขาว่าอย่างไรหรือขอรับ”

ราเวนติตอบอย่างไร้อารมณ์ “จากจดหมายมอร์ริส การอนุมานของเจ้าดูอาจหาญและสมเหตุสมผล แต่มันห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ไม่มีการทดลองหรือแบบจำลองใดที่จะสนับสนุนมันได้ มันไม่มีทางเลยที่คลื่นกับอนุภาคจะมีอยู่ร่วมกันได้”

ความหวังของเดียปพังทลายลงอีกหน

“จากจดหมายของแกสตัน ข้อสันนิษฐานของเจ้ามาจากจินตนาการล้วนๆ เพราะว่ามันไม่มีหลักฐานสนับสนุนจากการทดลองเลย”

เพราะราเวนติเป็นผู้ส่งจดหมายไป ทั้งมอร์ริสและแกสตันจึงเลือกใช้คำที่ไม่ค่อยรุนแรงในการแสดงความเห็น

เดียปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ แล้วเขาก็เริ่มสงสัยในตัวเองอีกครั้ง

“งานของเจ้าแทบไม่อาจชักจูงใจได้ แม้แต่กับพวกที่ยึดติดในทฤษฎีคลื่น เพราะข้อโต้แย้งหลักของพวกเขามักเพ่งเล็งไปที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและโฟตอน ไม่ใช่อิเล็กตรอน พวกเขาย่อมยินดีที่ได้เห็นข้อสันนิษฐานของเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่อาจหาข้อสนับสนุนหนักแน่นมาให้เจ้าได้”

“หากช่องว่างนั้นแคบพอ เราก็ควรจะมองเห็นการเลี้ยวเบนของอิเล็กตรอนได้ เหมือนกับคลื่น”

เดียปยังคงยืนกราน

ราเวนติลอบพยักหน้าในใจ นึกยอมรับความมุ่งมั่นที่เดียปแสดงออกมาให้เห็น ทว่า ราเวนติเองก็เชื่อว่าเขาไม่ควรปล่อยให้ความคิดของลูกศิษย์ออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยว่า

“ข้าจะส่งงานของเจ้าไปให้ลูเซียนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ หากแม้แต่เขายังปฏิเสธ…”

“เช่นนั้นมันก็อาจจะผิดพลาด” ดวงตาของเดียปลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความหวังและความคาดหวัง

เขากล่าวเสริมในใจ ‘…แต่ข้าก็จะยังเฝ้ารอให้มีผลการทดลองแน่ชัดออกมาปฏิเสธ’

สัตว์เลี้ยงส่งสารนำรายงานฉบับนั้นออกไปส่ง และเดียปก็กลับมาเฝ้ารออย่างกระวนกระวายอีกครา ครั้งสุดท้ายที่เขาประหม่ากลัวเช่นนี้คือตอนที่เขายังเป็นเพียงนักเวทฝึกหัดที่รอรับการตรวจสอบความสามารถด้านพลังจิต

“ข้าไม่ต้องการข้อสนับสนุนจากพวกที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่น…” เดียปพึมพำ

‘หากว่าจะมีใครสักคนที่เห็นด้วยกับข้า ท่านอีวานส์ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้าเกิดว่างานชิ้นนี้ยังดูไร้สาระแม้แต่กับท่านล่ะ…’

‘ท่านจะมีความเห็นอย่างไรนะ’ เดียปถามตัวเองซ้ำๆ

………………………………………

[1] ในเชิงฟิสิกส์กล่าวถึงปริมาณบางอย่างในระบบปิด ซึ่งมีค่าคงที่ไม่ว่าระบบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่น การอนุรักษ์โมเมนตัม การอนุรักษ์ประจุไฟฟ้า ฯลฯ

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท