Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 601 อีกหนึ่งภาพหลอน

บทที่ 601 อีกหนึ่งภาพหลอน

บทที่ 601 อีกหนึ่งภาพหลอน
ลูเซียนเพิ่งจะได้ศึกษาเกี่ยวกับกลศาสตร์เมตริกซ์ไม่นาน นอกจากนี้ เขายังจงใจไม่อ้างอิงถึงเอกสารที่อยู่ในห้องสมุดห้วงจิตของเขา แต่สรุปจากความทรงจำและความเข้าใจ ดังนั้น มันจึงเขียนออกมาได้ไม่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างชิ้นงานอื่นๆ ที่เขาเคยเขียน ซึ่งเขาสามารถเขียนได้ยาวถึงสิบหน้าโดยไม่ต้องหยุดพักภายใต้การช่วยเหลือของเวทมนตร์ แต่คราวนี้มันกลับค่อนข้างเป็นปัญหาทีเดียว

แท้จริงแล้วลูเซียนจะเลือกหยิบยืมกลศาสตร์ควอนตัมแบบของดิแร็กที่มีความสั้นกระชับ งดงาม และเข้าใจง่ายกว่าสำหรับเหล่าจอมเวทมาก็ได้ และเขาก็จะได้รับมือกับมันด้วยสูตรคำนวณที่มีอยู่ในระบบอาร์คานาก่อนๆ นี้ แต่ว่า ในอนาคตเมตริกซ์[1] จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับศาสตร์หลายแขนง บัดนี้จึงเป็นโอกาสอันดีงามที่จะนำเสนอมัน อย่างไรเสีย เขาก็จะโยนบทความของดิแร็กออกไปภายในสองเดือนนี้และปลดปล่อยเหล่าจอมเวทให้เป็นอิสระจากเขาวงกตแห่งเมตริกซ์อยู่แล้ว

ส่วนแรกของรายงาน ลูเซียนใช้เวลานานมากทีเดียวในการสร้างเมตริกซ์ให้เป็นสูตรคำนวณ อธิบายความหมายของมัน กฎการคำนวณ ฯลฯ ก่อนที่เขาจะเริ่มเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมจริงๆ

เริ่มจากสมาการการเคลื่อนไหวของเล็กตรอน ลูเซียนอธิบายขยายความตามแบบคณิตศาสตร์ แล้วใช้การคำนวณแสนซับซ้อนและกินพื้นที่ของเมตริกซ์ โดยยึดหลักจากค่าอาร์คานาที่ได้จากการสังเกตการณ์ สร้างแบบจำลองทั้งหมดให้เป็นสิ่งที่ดูเหมือนระบบดักลาส-โอลิเวอร์ชั้นยอดขึ้นมา เว้นแต่ว่าเครื่องมือที่ใช้คิดคำนวณในระบบใหม่นี้คือเมตริกซ์

ระหว่างที่เขาเขียนด้วยความยากลำบากอยู่นั้น ลูเซียนก็ค่อยๆ จับใจความองค์ความรู้เกี่ยวกับเมตริกซ์ได้และเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสูตรคำนวณแสนซับซ้อนนี้ ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกสนใจในความสำคัญทางอาร์คานาของกลศาสตร์ควอนตัมยิ่งกว่าเดิม

เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป และแล้วราตรีกาลก็มาเยือน พร้อมกับที่ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาด้านนอกหน้าต่าง ผืนดินถูกปกคลุมด้วยหิมะชั้นหนา

ยาวนานหลังจากนั้น กระดาษตรงหน้าลูเซียนกองรวมกันเป็นปึกหนา แต่เขายังคงเขียนต่อไปเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ท้ายที่สุด ลูเซียนก็ยกมือขึ้นหลังจากตวัดมือเขียนมหัพภาคอย่างแรง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าจบประโยคของเนื้อหาหลักแล้ว และก่อร่างสร้างเป็นกลศาสตร์ควอนตัมที่แท้จริง แตกต่างจากการรวมกันของทฤษฎีเดิมกึ่งหนึ่งกับควอนตัมอีกกึ่งหนึ่งในเค้าโครงของการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย!

ลูเซียนหาได้หยุดเพียงเท่านี้ เขากลับแก้สมการของทฤษฎีใหม่ ซึ่งก็คือกลศาสตร์เมตริกซ์ต่อไป เงื่อนไขการแบ่งแยกอนุภาคที่กำหนดให้กับอิเล็กตรอนถูกสรุปออกมาหลังเสร็จสิ้นการคำนวณแสนซับซ้อนทว่าชัดเจน!

โลกแห่งปัญญาของลูเซียนปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน เพราะมันรวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งแล้ว มันจึงหาได้พึงพอใจกับการเปลี่ยนแปลงทางมายาในดวงจิต จึงล้นปรี่ออกมาเติมเต็มทั้งห้องสมุด ดวงดาวลอยสูงเป็นดั่งตะเกียงที่ส่องประกายลงมาบนพื้น จุดธาตุแต่ละธาตุสำแดงตนด้วยโครงสร้างของอะตอม อิเล็กตรอนซึ่งหมุนไปรอบๆ นิวตรอนและโปรตอนดูเหมือนหมอกที่ไม่อาจคาดเดาได้และเหนือจริง ซึ่งบัดนี้มีคุณสมบัติเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค

ดวงแสงลอยละล่องและเงามืดในการปรากฏขึ้นครั้งนี้เป็นดั่งขุมนรกแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว ที่ซึ่งคล้ายกับจะมีปีศาจมากมายส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง “หยุด! หยุดนะ! เจ้ากำลังจะไปถึงนรกขุมที่ลึกที่สุดหากยังถลำลึกลงไปอีก!”

“ไปเลย! ไปต่อเลย! เจ้าจะได้ปลดปล่อยอสูรชั่วร้ายเหนือจินตนาการหาใดเปรียบออกมา!” เกล็ดหิมะที่ร่วงลงมานั้นดูราวกับนางฟ้าแสนบริสุทธิ์

“มันจะทำลายโลกทั้งใบ! และเจ้านักเวทชั่วร้าย เจ้าจะถูกควักหัวใจออกมาแตกแห้งบนภูเขาไฟ!”

แว่วเสียงหลอกหลอนดังเข้ามาในหูลูเซียน แต่เขาก็ยังไม่หยุดมือ เขายังคงแก้สมการด้วยเมตริกซ์ต่อไปและคอยเปรียบเทียบมันกับข้อมูลจากการทดลองสเปกตรัม สูตรเอมพิริคัล[2] และการทดลองอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย

หลังจากที่โลกแห่งปัญญาของเขาปรากฏขึ้น โครงสร้างอะตอมยังคงรูปเดิมเอาไว้ จนกว่าข้อมูลทุกอย่างจะลงตัวกันเหมาะเจาะ ลูเซียนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงโลกแห่งปัญญาของตนอย่างไร้หัวคิดแน่นอน

ผลลัพธ์ออกมาแล้ว พวกมันเท่ากันกับผลการทดลองอย่างสมบูรณ์แบบ!

สมการถูกแก้ไปโดยธรรมชาติและลงตัวเหมาะเจาะกับสูตรเอมพิริคัล!

ราตรีอันมืดมัวเคลื่อนมาถึงช่วงเวลาที่มืดมิดลึกล้ำที่สุด เกล็ดหิมะมากมายโบยบินไปเหมือนกับดอกไม้กระดาษในงานศพ ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง โศกเศร้า เงียบงัน และความตาย

เสียงคำรามของปีศาจยิ่งชวนเขย่าขวัญขึ้นเรื่อยๆ “เจ้ากำลังลอบมองความจริงของโลก! เจ้าจะต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ!”

“ข้าขอสาปให้เจ้าพบเจอกับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปตลอดกาล!”

นางฟ้าเองก็ข่มขู่เขาเช่นกัน “เจ้าหาได้เปิดประตูสู่หุบเขาวิมานไม่ แต่เป็นกรงขังแห่งการทำลายล้าง! เจ้าคนบาป! โลกจะเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับจินตนาการของเจ้า!”

“ตายเสียเถิด! ความจริงของโลกจะต้องไม่ถูกเปิดเผยและห้ามเข้าถึง! จอมเวทเฮงซวย เจ้าจะไม่มีวันค้นพบสิ่งที่เจ้าต้องการ! ข้าจะกระชากวิญญาณเจ้าออกมาเผาด้วยเปลวไฟเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี!”

ลูเซียนได้ยินเสียงแว่วหลอกหลอนอีกครา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงของเขา หรือเพราะการตอบสนองของโลกความเป็นจริง หรืออาจจะเพราะทั้งสองอย่างก็เป็นได้ เขาส่ายศีรษะ สูดหายใจเข้าลึก แล้วนำเสนอสมการขั้นพื้นฐานที่สุดในกลศาสตร์เมตริกซ์ซึ่งแหกกฎของคณิตศาสตร์ทั่วไปอย่างที่สุด นั่นก็คือ ผลคูณของโมเมนตัมและตำแหน่งจะไม่เท่ากับผลคูณของตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาค!

วินาทีที่สมการนี้ ซึ่งไม่ตรงกับสมบัติการสลับที่[3] ถูกอนุมานออกมา เสียงคำรามของปีศาจและคำข่มขู่ของนางฟ้าก็พลันหลายเป็นการขอร้องอ้อนวอน

“หยุดเถิด! ได้โปรดทำลายมันทิ้งเสีย! นี่คือกุญแจสู่ประตูแห่งการทำลายล้าง!”

“หากเจ้าหยุด เจ้าจะเป็นผู้ช่วยเหลือโลกใบนี้ และจะถูกจดจำไปตลอดกาล”

“เมื่อใดที่เจ้าหยุด ข้าจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าปรารถนา”

ภายในโลกแห่งปัญญาของเขา แบบจำลองวิถีโคจรของอิเล็กตรอนเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง อิเล็กตรอนที่อยู่ในรูปของเมฆหมอกถูกแบ่งแยกอย่างเป็นธรรมชาติตามจำนวนควอนตัม[4] ทั้งสาม หลังจากที่เคลื่อนตัวอย่างไร้แบบแผนมาหลายปี ในที่สุดพวกมันก็มีรูปแบบการแบ่งสรรเป็นของตัวเอง โปรตอนและนิวตรอนเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กัน ซึ่งทำให้ดวงจิตและโลกแห่งปัญญาของลูเซียนซึ่งยังไม่เป็นปึกแผ่นมากนักหดเล็กลง ในที่สุดวิธีการเข้าฌานสมาธิรูปแบบก่อนหน้านี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากทวิภาคคลื่น-อนุภาค ก็ยกระดับขึ้นแล้ว!

ท้องฟ้าเป็นประกายวิบวับอันไร้ขอบเขตคล้ายภาพลวงตาที่จับต้องไม่ได้ปรากฏขึ้นอีกครา ราวกับถูกดึงดูดด้วยแรงแปลกประหลาดแต่ก็คุ้นเคย สัญลักษณ์เวทมนตร์ทรงลูกบาศก์แสนลึกลับซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นในโลกแห่งปัญญาของลูเซียน และก่อเป็นแบบจำลองเวทมนตร์ดูแปลกตาเหนือจินตนาการ

เพราะโลกแห่งปัญญาของเขารวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งแล้ว ลูเซียนจึงควบคุมขอบเขตการเกิดอิทธิพลจากตัวเขาเอาไว้ ทำให้มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น หากพวกเขามองฝ่าพายุหิมะเข้ามาใน ‘บาเบล’ ของลูเซียน พวกเขาก็คงเห็นเพียงแสงสว่างไหววูบพิกลจากหน้าต่างบานหนึ่ง ดูราวกับว่ามีปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำไปมา

‘เมื่อพิจารณาค่าวัดที่ไม่เท่ากับสมบัติการสลับที่ของผลการคูณว่าเป็นค่าวัดสลับที่ไม่ได้…’ ลูเซียนหาได้หยุดชะงัก กลับเขียนต่อไปว่า ‘…ขณะเดียวกัน ค่าวัดสลับที่ไม่ได้คู่หนึ่งจะไม่สามารถระบุได้พร้อมๆ กัน หากท่านรู้แน่ชัดว่าหนึ่งในนั้นมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร อีกค่าวัดจะไม่มีความแน่นอนใดๆ ยกตัวอย่าง เช่น หากท่านเข้าใจเรื่องความเร็วและมวลของอิเล็กตรอนอย่างดี ท่านจะลืมเลือนมันไปและไม่สามารถค้นพบมันได้อีก…’

‘…หลังจากแก้สมการ เวลาและพลังงานก็มีความคล้ายคลึงกัน เมื่อเวลาถูกทอนลงเป็นช่วงเวลาเจาะจงหนึ่งเดียว พลังงานจะยืดขยายและดิ่งฮวบอย่างน่าประหลาด แล้วความแปรปรวนขนานใหญ่ของพลังงานก็จะปรากฏขึ้นในสุญญากาศ…บางที “การแปรปรวนของสุญญากาศ” เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลาก็เป็นได้’

“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้อง

“ฮือ!” เสียงคร่ำครวญโศกศัลย์ดังก้องสะท้อน

หลังจากที่ลูเซียนเขียนหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนแบร์กเสร็จ ‘ปีศาจ’ และ ‘นางฟ้า’ ก็พลันสิ้นท่า ก่อนจะหายวับไปในอากาศ!

ความมืดมิดและผืนดินเต็มไปด้วยหิมะยังคงดูเหมือนเดิม แต่เกล็ดหิมะที่เคยโบยบินไปมาดั่งดอกไม้กระดาษกลับหยุดนิ่ง!

ภายในโลกแห่งปัญญาของลูเซียน แบบจำลองเวทมนตร์แปลกตาก่อตัวสร้างขึ้นได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่ามันคือเวทมนตร์ระดับตำนานบทใหม่ จากสัญชาตญาณแล้ว ลูเซียนบอกได้เลยว่ามนตราที่มีรากฐานจากกลศาสตร์ควอนตัมและหลักความไม่แน่นอนบทนี้จะต้องเป็นเวทสุดพิลึกที่ดูจะสามารถบ่อนทำลายความแน่นอน หรือกฎของเหตุและผล ซึ่งเหล่าจอมเวทบนโลกนี้ยึดถือศรัทธา

หลังจากกวาดตามองผลการอนุมานที่ได้ออกมาตรงกับข้อมูลจากการทดลองและสมการเอมพิริคัลอย่างสมมบูรณ์แบบ ลูเซียนก็หลับตาลง ความแตกต่างระหว่างโลกสองใบนี้คืออะไรกันแน่

เหตุใดโลกนี้จึงมีภูตผีวิญญาณและเวทมนตร์ แต่โลกเดิมกลับไม่มีกันเล่า

เขาเคยได้ยินเสียงแว่วหลอกหลอนถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่เขาคิดค้นนำเสนอค่าคงที่พลังค์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของกลศาสตร์ควอนตัม และครั้งที่สองคือตอนที่เขาพิสูจน์กลศาสตร์ควอนตัมได้ มีเหตุผลเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างนี้หรือไม่ สภาวะอารมณ์ของเขาอาจจะไม่มั่นคงในครั้งแรกก็เป็นได้ แต่เขามั่นใจว่าคราวนี้ตนเองนิ่งสงบมาก

ลูเซียนได้อ่านตั้งแต่บทนำไปจนถึงการพัฒนาของกลศาสตร์ควอนตัมในห้องสมุดห้วงจิต หลังจากเรียนรู้มาหนึ่งหรือสองอย่างเกี่ยวกับทฤษฎีเหล่านี้ที่น่าอัศจรรย์ใจเสียยิ่งกว่าเวทมนตร์ ดูเหมือนเทพนิยายลี้ลับเสียยิ่งกว่าตำนานปรัมปรา และน่ามหัศจรรย์เสียยิ่งกว่าจินตนาการใด เขาก็เชื่อว่าเขาจะค้นพบคำอธิบายจากเส้นทางนี้ได้

‘ข้าคงต้องไปเยี่ยมเยือนเตาหลอมวิญญาณดูสักครั้ง บางทีข้าอาจจะค้นพบความลับของวิญญาณจากที่นั่นและเข้าใจว่าทำไมทั้งสองโลกถึงแตกต่างกัน’ ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึกและตัดสินใจว่าจะเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณ เขาไม่มีทางรู้สึกมั่นใจได้เลยหากเขาไม่อาจเปิดเผยความลับนี้ได้ เขาคงจะนึกกังขาในความเป็นจริงของโลกใบนี้และคิดว่าใครบางคนเป็นผู้บงการทุกสรรพสิ่งอยู่ คนอื่นๆ อาจจะพอใจในสิ่งที่เป็นในยามนี้ แต่เขายอมตายเสียดีกว่าจะยอมรับมันอย่างยินดี!

แน่นอนว่าลูเซียนหาใช่คนบุ่มบ่ามไร้หัวคิด เขาย่อมไม่มีทางเดินทางไปยังอารามแห่งวิญญาณจนกว่าเขาจะกลายเป็นชั้นตำนานระดับสองและมีมหาจอมเวทอย่างท่านประธานดักลาสเป็นผู้นำกลุ่ม

หลังจากสงบจิตใจลงลูเซียนก็ร่างเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับหลักความไม่แน่นอนแล้วเก็บมันไว้ในกระเป๋าด้านในของเสื้อคลุมมหาจอมเวท จากนั้นเขาก็ลบหลักฐานที่มีผลลัพธ์ตรงกับข้อมูลจากการทดลองและสูตรเอมพิริคัลบนเนื้อหาส่วนที่เหลือทิ้งไป ในใจคิดวางแผนที่จะปล่อยให้เหล่าจอมเวทหาข้อพิสูจน์นี้ด้วยตัวเอง สำหรับพวกเขาแล้ว มันอาจง่ายกว่าที่จะยอมรับทฤษฎีหากผลการอนุมานของพวกเขาเอง ซึ่งยึดหลักตามทฤษฎี ได้ผลลัพธ์ออกมาตรงกับผลการทดลอง

หลังจากที่เขาจัดเรียงงานเขียนเสร็จก็เก็บมันไว้ในกระเป๋ามิติ ลูเซียนพลันตระหนักว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว แต่ข้างนอกกลับยังคงมืดสนิท

‘ราตรีล่วงผ่านโดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลย…’ ลูเซียนเดินไปยังหน้าต่างบานหนึ่งขณะซุกมือไว้ในกระเป๋า และมองออกไปยังราตรีกาลแสนมืดหม่นเย็นเยียบและหิมะที่ต้องแสงสะท้อนวิบวับ เขาเอ่ยตั้งข้อสังเกตเสียงแผ่ว “ความมืดก่อนรุ่งอรุณมาเยือนช่างมืดมนลึกล้ำอย่างที่สุดจริงๆ”

ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบประโยค แสงสีส้มก็ทำลายความมืดมิดมัวหมองลงและขับไล่ความหนาวเย็นออกไป

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาช้าๆ สาดแสงสว่างเจิดจ้าย้อมหิมะให้กลายเป็นสีแดง ดูราวกับเปลวไฟที่ลุกโหมรุนแรงเป็นสีสันงดงามชวนฝัน

หิมะที่กองสุมล้นทะลักเริ่มละลาย ปลดปล่อยโลกจากความหนาวเหน็บ ราวกับ ‘ไฟ’ ที่เผาผลาญสิ่งที่ล้าสมัยและนำมาซึ่งการจัดระเบียบแบบใหม่

ไฟอันรุ่งโรจน์แผ่พุ่งออกไปต่อหน้าต่อตาลูเซียนจนไปถึงขอบฟ้ากว้างไร้ขอบเขต เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “รุ่งอรุณมาเยือนแล้ว”

ใช่ รุ่งอรุณแห่งการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยได้มาเยือนแล้ว!

มันจะไม่อาจหยุดยั้งได้อีก เหมือนกับดวงตะวัน มันจะสาดแสงให้กับยุคสมัยนี้ด้วยแสงสว่างและความร้อนแรงของมัน!

…………………………………………

[1] คือตารางสี่เหลี่ยมที่แต่ละช่องบรรจุจำนวนหรือโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่สามารถนำมาบวกและคูณกับตัวเลขได้

[2] สูตรที่แสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนอะตอมของธาตุที่รวมกันเป็นสารประกอบ เช่น CH2O เป็นสูตรอย่างง่ายของ C6H12O6

[3] คือกระบวนการเปลี่ยนลำดับของบางสิ่ง โดยไม่ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายเปลี่ยนแปลง เป็นสมบัติเบื้องต้นของการดำเนินการทางคณิตศาสตร์หลายชนิด

[4] คือตัวเลขที่ใช้แสดงสมบัติของอิเล็กตรอนแต่ละตัว ที่อยู่ในวิถีโคจรต่างๆ โดยแต่ละตัวจะแสดงสมบัติด้วยเลขควอนตัม 1 ชุด ประกอบด้วยตัวเลข 4 ค่า คือ n, l, ml, mS

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท