บทที่ 618 ฉบับเจ้าพ่อ
เมื่อมองไปรอบๆ ลูเซียนก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องโถงทรงกลมที่มีอัฒจันทร์ตั้งล้อมวงเหมือนกับรัฐสภาของเหล่าขุนนางแบบขยายใหญ่ ความจริงแล้ว ที่แห่งนี้เรียกได้ว่าใหญ่พอๆ กับเมืองครึ่งเมือง หลังคาทรงกลมเป็นประกายวิบวับท่ามกลางแสงสลัวลาง ทำให้อิฐสีดำเย็นเยียบตามกำแพงมีสีสันชวนขนลุก
หากว่ากันตามรูปแบบการเปลี่ยนแลงของพิกัดแล้ว ลูเซียนพอจะเดาได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและทางออกทั้งสองทางอยู่ตรงจุดใด ทางขวามือของเขา เป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าออกไปนอกปราสาทหลังนี้ และมันก็ต้องผ่านปราสาทหลังที่ราชันเทพอสูร-ลิชกับนักบุญทั้งห้าอยู่ ส่วนทางด้านขวามือของเขา เป็นเส้นทางที่จะมุ่งหน้าลึกเข้าไป ซึ่งคงจะเป็นเส้นทางหนึ่งที่นำไปสู่เตาหลอมวิญญาณ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูเซียนย่อมเลือกเดินย้อนกลับไป เขาหวังในใจว่าจะได้บังเอิญเจอกับดักลาสหรือเฟอร์นันโด เขาจะได้ปลอดภัย แต่หากว่าเขาไม่โชคดีถึงขนาดนั้น เขาก็ยังสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้อยู่ดี
หลังจากที่นักบุญอีวานกับนักบุญอีกสี่คนที่เหลือ ‘ฟื้นคืนชีพ’ สถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ และตอนนี้ภารกิจก็อันตรายกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้หลายเท่าตัวนัก หากโชคร้าย ดักลาสกับเฟอร์นันโดก็อาจบาดเจ็บสาหัส แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับลูเซียน เคลาส์ และเอริก้าแล้ว มันคงไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน หากพวกเขาพอจะมีโชคอยู่บ้าง พวกเขาก็อาจปิดผนึกศัตรูได้เหมือนอย่างสฟิงซ์ และหากเป็นเช่นนั้น สภาเวทมนตร์ก็อาจยังสามารถเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาได้ในอนาคต แต่หากพวกเขาโชคไม่ดีนัก พวกเขาก็คงจะจากโลกนี้ไปนิรันดรและจะถูกจารึกให้เป็นที่จดจำไว้บนหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น
ลูเซียนตระหนักได้ว่านี่คือภัยแฝงในคำพยากรณ์ของเบิร์กเนอร์ ขณะร่ายคาถาเวทป้องกันตัวให้ตัวเองหลายๆ ชั้น เขาก็เตือนตัวเองว่าเมื่อใดที่ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายเป็นตายเท่ากัน เขาควรจะระเบิดตัวเองทิ้งและทำลายอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานทั้งห้าชิ้นอย่างไม่ลังเล อย่างไรเสียเขาก็มีไส้ติ่งอยู่ที่บ้านเพื่อฟื้นคืนชีพ!
ภายใต้เกราะป้องกันของเวทผิวหนังธาตุ ปราการคุ้มกันจิต และเวทมนตร์อีกชุดหนึ่ง ลูเซียนก็เปิดประตูทางซ้ายมือ ฉับพลันนั้น เสียงกรีดร้องแหลมอย่างโศกเศร้าก็ดังขึ้น
สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ส่งเสียงในโลกแห่งวิญญาณได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีพลังระดับตำนาน!
พวกมันมีกันอย่างน้อยเจ็ดตัว! ห่างออกไปไกลยังมีมากกว่านี้อีก!
ด้านนอกปราสาทมีทั้งผีกินศพ ปีศาจ มัมมี่ มังกรโครงกระดูก และมังกรเทพอสูรที่หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทางประดุจคลื่นถั่งโถม พวกมันมีอยู่เต็มท้องฟ้า โถงกับตรอกทางเดิน ทะเลสาบกับสวน และในหมู่พวกมันยังมีปีศาจชั้นสูงเจ็ดตนที่แผ่รัศมีน่าคร้ามเกรงและแสดงถึงความแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด
ในปราสาทใกล้ๆ กันนี้ บังเกิดเสียงคำรามโหยไห้ดังกึกก้อง ราวกับว่าศพน่าขยะแขยงทั้งหลายกำลังจัดคอนเสิร์ตฉลองปีใหม่กันอยู่
เมื่อเห็นเช่นนั้น ลูเซียนก็พลันรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากพวกมันมาก แต่เขาก็ยังตกตะลึงอยู่ดี
ลูเซียนนึกสงสัยว่าเขาจะใช้เวทหยุดเวลาขั้นสูงได้หรือไม่ เพื่อที่เขาจะฉวยโอกาสนั้นวิ่งผ่านบริเวณนี้ไป แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าขอบเขตของเวทบทนี้หาได้กว้างพอจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดนี้ได้
เป็นครั้งแรกที่ลูเซียนนึกชังความกว้างใหญ่ไพศาลของอารามแห่งนี้! เขาเคยคิดหวังว่าปีศาจชั้นตำนานทั้งหมดจะมารวมกลุ่มอยู่ที่เดียวกันได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีโอกาสเลยที่จะแช่แข็งพวกมันแบบรวบทีเดียวทั้งหมด แม้ว่าจะใช้ควบคู่กับนาฬิกาจันทรากาล ลูเซียนก็ร่ายเวทได้เพียงสามครั้งติดต่อกันเท่านั้น แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
อสูรผีดิบเหล่านั้นหาได้มีสติปัญญาไม่ ลูเซียนไม่กลัวการรับมือแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อสอง หรือแม้แต่หนึ่งต่อห้ากับพวกมัน ทว่ายามนี้ จำนวนที่เปลี่ยนไปได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามันอาจจะมีมัมมี่บรรพชนและผู้รับใช้แห่งความตายซ่อนตัวอยู่ในกลุ่ม
แล้วหากเป็นการต่อสู้แบบกองโจรเล่า ลูเซียนเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่พอจะทำเช่นนั้น
แต่ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็นึกถึงคำพูดของเบิร์กเนอร์ ‘จำไว้ว่า หากเจ้าเผชิญหน้ากับภัยใหญ่หลวง จงอย่าเร่งร้อนถอยร่น แล้วเจ้าจะมองเห็นความหวังได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเดินหน้าต่อไปเท่านั้น’
ไม่นานลูเซียนก็ตัดสินใจได้โดยเชื่อสัญชาตญาณจากดาวหลักแห่งเทวลิขิตและพลังด้านโหราศาสตร์ของเขา ขณะยืนเผชิญหน้ากับคลื่นปีศาจระลอกใหญ่ ลูเซียนก็ยกมือซ้ายมาขยับแว่นตาข้างเดียวให้เข้าที่ ก่อนจะยื่นมือขวาออกไป
“เวทฟิชชันปรมาณู!”
ชั่วเวลาเดียวกันนั้น ลูเซียนก็ร่ายคาถาของเวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอนโดยใช้พลงจิตของเขา!
ตู้ม!
บอลไฟยักษ์ระเบิดลงกลางฝูงปีศาจ แรงระเบิดน่าประหวั่นพรั่นพรึงแผ่ออกไปอย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง ก่อนที่กลุ่มควันรูปเห็ดสีขาวที่ผสานกับเปลวเพลิงจะพวยพุ่งขึ้นสูง
ฮูวววววววว! เสียงกรีดร้องโหยไห้นับไม่ถ้วนพลันเงียบลง ภาพตรงหน้าดูราวกับทุ่งข้าวสาลีที่เพิ่งเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ หรือท้องทะเลที่จู่ๆ ก็บังเกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้น ปีศาจจำนวนมากถูกกำจัดไปในพริบตา และไม่มีทางเลยที่จะเติมเต็มบริเวณที่ว่างนี้ได้ภายในชั่วเวลาสั้นๆ
เสียงคำรามจากอสูรชั้นตำนานทั้งเจ็ดเองก็ลดจำนวนลงเช่นกัน! สองในเจ็ดตนนั้นระเหยหายกลายเป็นไอไปแล้ว!
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น แล้วแรงระเบิดกับรังสีก็แผ่มาถึงตัวลูเซียน แต่เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดระเบิดมาก และมีเวทมนตร์คุ้มกันกายหลายชั้น เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
การใช้เวทมนตร์ทั้งสองบทร่วมกันได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่น่าเสียดายที่อสูรชั้นตำนานทั้งเจ็ดเว้นระยะห่างจากกันไกลเกินไป ดังนั้นการโจมตีรอบนี้จึงสังหารพวกมันไปได้เพียงสองตน ลูเซียนนึกหวังให้ตนสามารถร่ายเวทแบบผสมผสานนี้ได้ติดต่อกันหลายครา เพื่อส่งเจ้าปีศาจชั่วร้ายทั้งหมดนี้กลับสู่นรกภูมิ แต่มันย่อมไม่อาจเป็นเช่นนั้น
จากนั้นลูเซียนก็พุ่งตัวไปทางประตูด้านขวาของอารามด้วยฝีเท้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะโผบิน ลูเซียนก็คิดในใจว่าเวทเปลวไฟนิรันดร์จะต้องใช้ได้ผลดีกว่านี้แน่เพราะบรรดาปีศาจต่างหวาดกลัวแสงสว่างช่วงกลางวัน
เมื่อผ่านประตูทางขวามือเข้ามา ลูเซียนก็พบกับตรอกทางเดินที่ไม่ได้รับความเสียหายซึ่งมุ่งหน้าสู่ห้องโถงเก่าแก่ตกแต่งแบบเรียบง่าย สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนวิหารที่เพดานทรงกลมมีเสาหินสีดำหนาหลายต้นค้ำยันไว้
ลูเซียนไม่มีเวลามามัวชื่นชมการออกแบบตกแต่ง เพราะเขายังต้องสลายฝูงปีศาจที่ไล่ตามเขามาอีก ดังนั้น เขาจึงเริ่มพุ่งตัวออกวิ่งไปตามโถงทางเดินเบื้องหน้า
โถงทางเดินดูราวกับเส้นทางอันไร้ที่สิ้นสุด แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานที่ที่ลูเซียนเพิ่งเดินทางผ่านมาก่อนหน้านี้ โถงทางเดินนี้ปราศจากซึ่งปีศาจตนใด พื้นที่ทั้งหมดกลับเงียบงันและเย็นเยียบราวกับทุกอย่างในที่นี้ถูกแช่แข็งเอาไว้
ลูเซียนร่ายคาถาเวทบินขั้นสูงกับเวทเร่งความเร็วขั้นสูงในคราวเดียวกัน บางครั้งเขาต้องกระโดดลอยตัวและบินตัดอากาศเพื่อหลบเลี่ยงกับดักเวทมนตร์ยากๆ บางครั้งเขาก็ต้องก้มตัวลงและเดินเลียบพื้นไป
แต่แล้วลูเซียนก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขัน
เสียงหัวเราะคิกคักดังอ้อยอิ่งอยู่ในภายโถงทางเดินว่างเปล่า และเสียงชวนขนลุกนี้จะทำให้ผู้ใดก็ตามที่ไร้เกราะคุ้มกันรู้สึกวิงเวียนและหวาดผวา แต่ลูเซียนมีปราการคุ้มกันจิต
คิกๆๆ แปะๆๆ
เสียงนั้นกำลังหัวเราะและปรบมือให้กับลูเซียนที่กำลังวิ่งหนีสุดชีวิต
นัยน์ตาของลูเซียนสะท้อนภาพดาวหลักแห่งเทวลิขิต แล้วลูกแก้วคริสตัลในมือซ้ายเขาก็กลายเป็นสีเข้ม ฉับพลันนั้น แสงดาวก็ส่องประกายขึ้นและชี้ไปทางกำแพงสีดำด้านหนึ่ง
เวทมนตร์พิเศษระดับเก้า ‘เวทสะกดรอยมาสเกลีน!’
คิกๆๆ ฮะๆๆ
เสียงนั้นค่อยๆ ออกมาจากกำแพงสีดำ มันบิดมวนไปมาอยู่บนพื้นราวกับมีชีวิต ขัดขวางไม่ให้ลูเซียนเดินหน้าต่อไปได้
ความมืดเลือนหายไปแล้ว และกำแพงนั้นก็กลายร่างเป็นสัตว์อสูรที่น่าขนะแขยง มันก่อตัวขึ้นจากกองเนื้อเน่าเปื่อยสีเทาเข้ม กองเนื้อนั้นประกอบไปด้วยแขนที่เน่าเปื่อยไปแล้วกึ่งหนึ่งจำนวนนับไม่ถ้วน กลางฝ่ามือของแขนแต่ละข้างปรากฏลูกนัยน์ตาสีเหลืองอมน้ำตาล มือเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงปรบมือแปะๆ และลูกนัยน์ตาก็คือสิ่งที่ส่งเสียงหัวเราะขบขัน
ผีร้อยเนตร! ลูเซียนรู้ถึงตัวตนของปีศาจชั้นตำนานตนนี้ในทันที และยังรู้ถึงพลังกับวิธีการต่อสู้ของมันอีกด้วย
ลูกนัยน์ตาที่มีอยู่ยั้วเยี้ยดูน่าขยะแขยงนั้นสามารถทำให้ศัตรูของมันรู้สึกสิ้นหวังและชาหนึบ
การหัวเราะคิกคักและปรบมือคือภาษาที่มันใช้สื่อสาร ซึ่งเป็นภาษาแห่งความโกลาหล มันทรงพลังมากพอจะทำให้เป้าหมายวิงเวียนศีรษะและส่งผลโดยตรงต่อจิตใจของเป้าหมาย!
นอกจากนี้ เจ้ากองเนื้อที่น่าขยะแขยงยังมีสติปัญญาอีกด้วย เสียงหัวเราะคิกคักกับเสียงปรบมือนั้นคือการแสดงออกว่ามันกำลังเหน็บแนมเยาะหยัน
แขนหนึ่งร้อยข้างยืดออกมาและพุ่งเข้าใส่ลูเซียนอย่างดุร้าย ในขณะเดียวกันนั้น ลูกนัยน์ตาก็เปล่งแสงวาบ พร้อมจะยิงลำแสงหลากสีสันออกมา
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เสียงคำรามน่าคร้ามเกรงทางด้านหลังกำลังใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน!
ลูเซียนหลุบตาลงครู่หนึ่งและหยิบนาฬิกาพกสีเงินประณีตงดงามออกมาจากกระเป๋ามิติ จากนั้นเขาก็กดเม็ดมะยมเม็ดหนึ่ง
กริ๊ก
การเคลื่อนไหวของผีร้อยเนตรพลันกลายเป็นแข็งทื่ออย่างยิ่ง บัดนี้แขนที่น่าขยะแขยงทั้งหลายกำลังดิ้นรนพุ่งมาในความเร็วระดับหอยทาก
ลูเซียนร่ายเวทพังทลายขั้นสูงขึ้นมาชุดหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เมื่อเข็มวินาทีเดินไปสองสามครั้ง เวทมนตร์อีกสองสามบทก็ถูกร่ายขึ้นมาในทันที
กล้ามเนื้อของลูเซียนเริ่มใหญ่ขึ้น ทำให้เสื้อสูทกระดุมสองแถวบนตัวดูค่อนข้างรัดแน่น ผิวของเขากลายเป็นขาวนวล และดวงตาสีดำก็ทอประกายแสงของดวงจันทร์
มือทั้งสองข้างของเขาจับดาบสีเทาเงินไว้แน่น ใบดาบสะท้อนแสงเป็นประกายดูแหลมคม
สีเทาขาวที่แข็งทื่อเริ่มคลายตัวและกลับมาเดินต่ออีกครั้ง พร้อมกับที่สีดำคืนกลับมา แขนทั้งร้อยข้างพลาดเป้าหมายไป และลำแสงหลากสีสันก็เล็งโดนเพียงพื้นทางเดินเท่านั้น พื้นส่วนหนึ่งพลันหลอมละลาย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น มันก็ระเบิดแสงหลากสีสันออกมา ทั้งแดง เหลือง ขาว ม่วง… และหลังจากที่แสงสีเงินสว่างวูบ กองเนื้อก็หยุดเคลื่อนไหวไปโดยสิ้นเชิง
ผีร้อยเนตรพลันแยกออกเป็นสองส่วนและล้มตึงไปกองกับพื้น ดูราวกับมีมือล่องหนในอากาศยื่นมาฉีกกระชากมัน ทั้งยังฉีกทึ้งมันจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ภายในวินาทีเดียว ลูเซียนก็สังหารสัตว์อสูรปีศาจชั้นตำนานระดับหนึ่งได้แล้ว
แม้ว่าลูเซียนจะไม่ได้มีพลังเทียบเท่าดักลาส แต่เพราะเขามีอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่เยอะพอตัว เขาจึงมั่นใจว่าตน ‘มั่งคั่ง’ ในด้านนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงสามารถต่อสู้แบบฉบับเจ้าพ่อได้
ปีศาจชั้นตำนานเช่นนี้ย่อมต้องเปลี่ยนส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอุปกรณ์ระดับตำนาน ซึ่งนั่นจะทำให้มันไม่อาจถูกดาบแห่งสัจธรรมทำลายลงได้
ท่ามกลางชิ้นเนื้อสีขาวเทานั้น ลูเซียนพบลูกนัยน์ตาสีเหลืองไร้รอยขีดข่วนดวงหนึ่ง มันใหญ่พอๆ กับมือข้างหนึ่งของลูเซียน และมันก็ทอประกายสีสันชวนขนลุกออกมา
ลูเซียนสามารถใช้ลูกนัยน์ตานี้เป็นวัตถุดิบที่ดีได้
เมื่อเก็บมันเสร็จ เขาก็รีบโผบินตรงไปที่อีกฝั่งหนึ่งของโถงทางเดิน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดลูเซียนก็มองเห็นประตูสีเทาอยู่ตรงหน้า
ฮูววววววว!
เสียงคำรามน่าหวาดหวั่นดังมาจากเบื้องหลังกำแพงสีดำ วินาทีถัดมา แขนสีเหลืองเข้มข้างหนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลก็ทลายผ่านก้อนอิฐมาเพื่อจับตัวลูเซียน
นิ้วมือข้างขวาของลูเซียนลูบบนนาฬิกาพกอย่างรวดเร็ว แล้วกระแสแห่งกาลเวลาก็พลันช้าลง ทันทีที่แขนข้างนั้นชะงักไป ลูเซียนก็ร่ายเวทเคลื่อนที่ระยะสั้น
ปัง! กำแพงสีดำพังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วร่างสูงใหญ่สีเหลืองเข้มที่สวมมงกุฎทองคำก็ก้าวออกมา
มัมมี่บรรพชนเช่นนั้นหรือ
……………………………………