บทที่ 622 สองทางแยก
ข้างใต้ม่านสีเทาคือกองไฟสีซีดจางที่เผาไหม้อย่างเอื่อยเฉื่อย เหมือนกับเตาไฟที่ทุกบ้านต้องมีเพื่อผ่านฤดูหนาวไปให้ได้
ใบหน้าภายในเตาหลอมวิญญาณแสดงทั้งเค้าโครงหน้าของลูเซียน อีวานส์ และซย่าเฟิงในขณะเดียวกัน พวกมันดูเหมือนจะทับซ้อนและพัวพันกันยิ่ง ขณะที่เขาจดจ้องอยู่นั้น ใบหน้าทั้งสองก็บัดเดี๋ยวแยก บัดเดี๋ยวรวม และบัดนี้ก็กำลังแสดงสัดส่วนแปลกตาที่เขาไม่เคยเห็นจากการส่องกระจกมาก่อนเลย
‘ทำไมกัน’
‘เป็นไปได้ไง’
หลังจากที่เขาได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเตาหลอมวิญญาณ ลูเซียนก็เคยคิดว่าเขาอาจจะได้เห็น ‘ภาพมายาสะท้อนวิญญาณของเขา’ ภายในเตาหลอมวิญญาณ เพราะว่าเขาคือผู้ที่เดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้ และคิดเล่นๆ ว่าเขาอาจจะมีไพ่ตายมากกว่าคนอื่นๆ อีกหนึ่งอย่าง ทว่า ความลับของเตาหลอมวิญญาณกลับหยั่งลึกน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ มันไม่เพียงแต่จะแสดงภาพมายาสะท้อนวิญญาณของลูเซียน อีวานส์ เท่านั้น แต่มันยังแสดงให้เห็นถึงรูปหน้าของซย่าเฟิง ผู้ที่เดินทางมาจากโลกอีกใบ หาใช่คนของโลกนี้ไม่
‘เตาหลอมวิญญาณนี้คอยคอบคุมดูแลดวงวิญญาณของโลกเดิมด้วยงั้นหรือ’
‘เพราะแบบนี้ฉันถึงมีดาวหลักแห่งเทวลิขิตใช่หรือเปล่า’
‘หลังจากไขปริศนานี้ได้ บางทีข้าอาจจะเข้าใจว่าทำไมข้าถึงทะลุมิติมาได้ และทำไมข้าถึงมาเกิดใหม่ในร่างของลูเซียน อีวานส์…’
ความคิดมากมายหลากหลายหมุนเวียนอยู่ในหัว ลูเซียนพอจะตระหนักได้รางๆ ว่าอาจมีคำอธิบายเกี่ยวกับดวงวิญญาณจากมุมมองใดมุมมองหนึ่ง แต่เขาไม่มีเวลาจะศึกษาวิเคราะห์เตาหลอมวิญญาณ เจ้าแห่งนรกอยู่ด้านนอกนั้นและกำลังจะไล่ตามเขาทันแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยื่นมือออกไปแตะเตาหลอมวิญญาณอย่างแผ่วเบา
ความหนาวเย็นนิดๆ คือความรู้สึกที่สัมผัสได้จากทุกที่ในโลกแห่งวิญญาณ และลูเซียนก็ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความเย็นนั้นหลังจากแตะมือลงไป ราวกับว่าอยู่คนละโลกกันและสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงนี้ก็เป็นเพียงภาพมายาสะท้อน ซึ่งก็เข้ากันดีกับความโปร่งแสงแตะต้องไม่ได้ที่แสดงให้เห็น
ขณะที่เขายืนแตะม่านพลังอยู่นั้น ดวงตาขวาของลูเซียนก็พลันกลายเป็นสีแดงใส
“เวทเพ่งพยาบาท!”
แล้วลำแสงสีแดง ที่เสริมพลังด้วย ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ ก็ยิงออกจากดวงตาข้างขวาของลูเซียน พุ่งเข้าใส่มัลติมุส ผู้ที่ยังถูกตรึงอยู่กับที่โดย ‘เวทแรงโน้มถ่วงยุบตัว’ ด้วยความเร็วแสง
ลูเซียนอาจนึกเสียใจหากว่าเขาไม่แม้แต่จะพยายามเสี่ยงโชคแล้วโจมตีใส่อีกฝ่ายยามสบโอกาส!
หลังจากร่ายคาถาเวท ลูเซียนก็ลอยตัวพุ่งเข้าไปด้านในโถงกว้างที่ตั้งเตาหลอมวิญญาณโดยไม่หันหลังกลับมามอง เส้นทางสองสายปรากฏขึ้นในคลองสายตาเขา หนึ่งในนั้นสูญสิ้นแล้วสีขาวดำ หลงเหลือเพียงสีเทาทึมที่แผ่กลิ่นไออันตรายบางอย่าง ส่วนอีกทางนั้นเปี่ยมล้นด้วยระลอกคลื่นแห่งความว่างเปล่าอันแปลกประหลาดคลุมเครือ เหมือนกับบางอย่างที่ลูเซียนค่อนข้างคุ้นเคยดี นอกจากนี้ มันยังดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงเสียยิ่งกว่าอีกเส้นทาง ราวกับว่าอสูรกายที่สามารถทำลายล้างโลกทั้งใบได้กำลังหลับใหลอยู่ในนั้น
‘คุ้นๆ งั้นหรือ นี่ถือที่ที่สิ่งมีชีวิตลึกลับในโลกแห่งวิญญาณหลับใหลอยู่หรือเปล่านะ’ ลูเซียนนึกไปถึงเจ้าตัวน่าสงสารที่ถูกเจ้าแห่งนรกกับพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินหลอกล่อในตอนที่มันกำลังจะตื่นขึ้น ‘แต่ความคุ้นเคยนี้ไม่เหมือนกับความน่าประทับใจที่มันเคยทิ้งไว้ให้เลย…’
เนื่องจากไม่มีเวลามามัวแยกแยะความแตกต่าง ลูเซียนจึงเลือกเส้นทางเทาทึมไปโดยสันชาตญาณ ภัยร้ายจากอีกเส้นทางนั้นมากเกินไปสำหรับเขา กระทั่งเจ้าแห่งนรกและพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินก็คงไม่กล้าเดินลึกเข้าไปบนเส้นทางนั้น
ลำแสงสีแดงบริสุทธิ์พุ่งเข้าใส่มัลติมุนด้วยอัตราความเร็วแสง ฝ่าทะลวงปราการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของ ‘อาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์’ ไปได้
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่อาจพึ่งพาความเร็วที่น่าทึ่งของตนเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีครั้งนี้!
ทว่า ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ กลับไม่ทำงาน ‘เวทเพ่งพยาบาท’ จึงหายไปหลังจากฝ่าทะลวงปราการมาได้เพียงชั้นเดียว ไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อเจ้าแห่งนรก
ภายในวงกลมครึ่งซีก จู่ๆ เจ้าแห่งนรกก็ขยับมือขวา แล้วอาณาเขตกักขังของ ‘เวทแรงโน้มถ่วงยุบตัว’ ก็พังทลายลง
เขาเฝ้ามองลูเซียนหายลับไปเบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณด้วยรอยยิ้มเยาะหยันเป็นเอกลักษณ์แล้วส่ายศีรษะด้วยท่าทางสบายๆ หาได้มีอาการหัวเสียที่ศัตรูหลบหนีไปได้เลยสักนิด เขาเพียงพึมพำว่า
“แปลกจริงๆ เวทลำแสงนั่นดูเหมือนจะซ่อนความอันตรายและความแปลกประหลาดบางอย่างเอาไว้ เฮะๆ ลูเซียน อีวานส์ ผู้มีชะตาลี้ลับ มักมีสิ่งแปลกประหลาดเหนือความคาดหมายเสมอ”
จากนั้น เขาก็ทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนตรงหน้าอก ก่อนจะหายลับไปในพริบตา
ยังไม่ทันที่เท้าของลูเซียนจะก้าวเข้าไปในเส้นทางสีเทา เสียงคำรามอย่างตกตะลึงและเดือดดาลก็ระเบิดโพลงจากภายนอก ราวกับว่าเขาเพิ่งจะสร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณะชน ทว่า ปีศาจผีดิบส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ย่างกรายเข้ามาใกล้เตาหลอมวิญญาณแม้แต่ก้าวเดียว มีเพียงผู้รับใช้แห่งความตายที่ถือเคียวด้ามยาวกับมังกรเทพอสูร-ลิชที่มีเมือกไหลหยดย้อยออกมาไม่หยุดเท่านั้นที่ไล่กวดตามลูเซียนไปด้วยความโมโห พวกมันวิ่งผ่านเตาหลอมวิญญาณและเข้าไปในเส้นทางสีเทาทึมนั้น
“ฮูวววววว!”
เสียงคำรามดังสะท้อนมาจากทุกทิศทาง ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรผีดิบชั้นตำนานบางตนจะสัมผัสได้ถึงความรังเกียจจากลูเซียน จึงโผเข้าใส่อย่างคลุ้มคลั่ง
อัญมณีหลากสีเป็นประกายสดใสบนศีรษะราชาเทพอสูร-ลิช ผู้กำลังต่อกรกับเจ้าแห่งพายุพร้อมกับสอง ‘นักบุญ’ พลันเปล่งประกายระยิบระยับ มันส่งเสียงฮึดฮัดอย่างมีโทสะ ก่อนจะถอนตัวออกจากสมรภูมิรบ ใช้เวทเคลื่อนที่พริบตาไปยังเตาหลอมวิญญาณในทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น ‘อเล็กเซย์’ และ ‘ยูริเอล’ ก็รีบใช้พลังศักดิ์สิทธิ์และเร่งหลบหนีไป ไม่เปิดโอกาสให้เฟอร์นันโดได้ตอบโต้ ด้วยรู้ดีว่าพวกตนทั้งสองไม่อาจรับมือกับเจ้าแห่งพายุได้หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากราชาเทพอสูร-ลิช อีกอย่าง พลังพระคุณของพระเจ้าที่อีวานส์ใช้ก็กำลังจะหมดเวลาแล้ว ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกเพียงใด กระแสแห่งกาลเวลาก็จะยิ่งเดินช้าลงเท่านั้น แม้ว่าลูเซียนจะใช้เวลาไม่นานนักหลังจากวิ่งเข้าไปในเตาหลอมวิญญาณ แต่ที่ด้านนอกนี้เวลากลับผ่านไปนานมากแล้ว ทักษะสุดยอดในการยกระดับพละกำลังอย่าง ‘พลังพระคุณของพระเจ้า’ นั้นไม่อาจคงอยู่ได้นานถึงเพียงนั้น
เฟอร์นันโดไม่ได้ไล่ตามไป แต่กลับหยิบลูกแก้วคริสตัลของตนออกมาเพื่อค้นหาคนอื่นๆ ในกลุ่ม ภารกิจครั้งนี้คือการสำรวจเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทำลายรากฐานของศาสนจักรฝ่ายเหนือ ความปลอดภัยของลูเซียน เคลาส์ เอริก้า และคนที่เหลือจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
ลูกแก้วกลายเป็นสีเข้ม แล้วดวงดาวเปล่งประกายเจิดจ้าสี่ดวงก็ปรากฏขึ้นภายใน หนึ่งในนั้นเปล่งแสงกระพริบก่อนจะถูกม่านหมอกสีเทากลืนกิน
“มีดาวหลักแห่งเทวลิขิตเพียงสี่ดวง… เคลาส์จากไปแล้วหรือ” เจ้าแห่งพายุคำรามด้วยความเดือดดาล พายุสายฟ้ารอบกายเขาเข้าถล่มปราสาทบริเวณนั้นจนราบเป็นหน้ากลอง “ดูเหมือนว่าลูเซียนจะไปถึงด้านหลังเตาหลอมวิญญาณแล้ว”
หากว่าลูเซียนอยู่ในนั้น เวทโหราศาสตร์ของเขาก็จะใช้การไม่ได้ ดาวหลักแห่งเทวลิขิตของลูเซียนแทบจะแน่นิ่งแข็งทื่ออยู่ในม่านหมอกสีเทา
ภายในปราสาทอีกแห่งหนึ่ง ‘นักบุญอีวาน’ ผู้ที่พลังพระคุณของพระเจ้ากำลังจะสิ้นฤทธิ์ ก็พลันสัมผัสได้อย่างลางเลือนถึงความเปลี่ยนแปลงใกล้ๆ กับเตาหลอมวิญญาณและการที่อเล็กเซย์กับยูริเอลล่าถอยไป เขาฉวยโอกาสตอนที่ตนยังเป็นต่อดักลาส กระพรือปีกแล้วหายตัวไปท่ามกลางจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะส่งกระแสจิตไปบอก ‘เฟลิกซ์’ และเทวทูตแห่งแสงที่อยู่ไม่ไกลกันนี้
ดังนั้น วิเซนเตและเอริก้าจึงเฝ้ามองศัตรูหลบหนีไป นักเวทชั้นตำนานทั้งสองต่างตกเป็นรองในการปะทะกันครั้งนี้ เอริก้านั้นยิ่งตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
“ไปรวมตัวกันที่เตาหลอมวิญญาณ” พวกเขาได้รับข้อความที่ดักลาสและเฟอร์นันโดส่งผ่านกระแสจิตมา
เพราะปีศาจชั้นตำนานที่มีความคิดสติปัญญาหลายตัวกำลังเดินทางไปยังเตาหลอมวิญญาณ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เคลื่อนที่พริบตามาอยู่หน้าเตาหลอม และก็ได้พบกับดักลาสและเฟอร์นันโดที่มีท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเห็นปีศาจฝูงใหญ่ตรงลานด้านหน้าเตาหลอมวิญญาณ ซึ่งพวกมันกำลังคำรามเพื่อข่มขู่ศัตรู แต่หาได้มีความกล้าจะเข้าไปใกล้เตาหลอมไม่
“เคลาส์ตายแล้ว เขาถูกแสงพิพากษาสังหาร แต่ไม่มีเบาะแสเลยว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ” ดักลาสเอ่ยคำทำนายที่ได้จากสถานการณ์ ซึ่งใกล้เคียงกับความจริงอย่างมาก
“อะไรนะ เคลาส์ตายแล้วอย่างนั้นหรือ” เอริก้าถามกลับอย่างเหลือเชื่อ ในใจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แม้ว่าเคลาส์กับนางจะไม่ใช่สหายสนิทชิดใกล้ แต่ก็เคยจับคู่ทำภารกิจออกผจญภัยด้วยกันบ่อยๆ การตายของเขาอาจเป็นตัวบ่งชี้อนาคตของนางก็เป็นได้
วิเซนเตเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งอื่นขึ้นมาได้ “ท่านประธาน ท่านเป็นผู้ขัดขวางอีวาน ส่วนเฟลิกซ์สู่อยู่กับข้า มันก็น่าจะบอกได้ง่ายว่าหากไม่ใช่อเล็กเซย์ ยูริเอล ก็ต้องเป็นเทวทูตแห่งแสงที่ทำเรื่องนี้”
“อเล็กเซย์กับยูริเอลสู้อยู่กับข้า” น้ำเสียงของเฟอร์นันโดฟังดูคล้ายภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด
เอริก้าเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “ข้าเองก็สู้อยู่กับเทวทูตแห่งแสง!”
ผู้ใดเป็นคนลงมือกันแน่ ยังมีผู้มีพลังชั้นสูงคนอื่นที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ชั้นตำนานได้อยู่ในอารามแห่งวิญญาณอีกหรือ
ทุกคนต่างหมกมุ่นครุ่นคิดหาคำตอบให้กับคำถามยากๆ เหล่านี้ จึงไม่มีอารมณ์จะไปศึกษาเตาหลอมวิญญาณอีกต่อไป
ฮูวววววววว!
เหล่าปีศาจชั้นตำนานค่อยๆ คืบคลานไปข้างหน้า ราวกับกำลังพยายามเอาชนะความกลัวของตนเอง
ดักลาสหลุดจากภวังค์ความคิด เขาทาบมือขวาลงไป “เราจะชักช้าอีกต่อไปไม่ได้ จงจดจำความรู้สึกที่ได้จากเตาหลอมวิญญาณแล้วค่อยไปศึกษามันหลังจากที่เรากลับไปแล้ว”
เฟอร์นันโดส่ายศีรษะพลางถลึงดวงตาสีแดง “เจ้าถอนกำลังกลับไปก่อนเลย ข้าจะไปตามหาลูเซียนเอง ในฐานะนักเวทชั้นตำนานอันดับต้นๆ ข้ามั่นใจว่าจะพาเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย ตราบใดที่เขาไม่เข้าไปลึกกว่านี้”
หากแม้ว่าเขาจะเอาชนะศัตรูไม่ได้ แต่เขาก็ยังหลบหนีออกมาได้
เอริก้าอ้าปาก แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ดักลาสก็ยกมือขึ้นดึงหูกระต่ายตรงคอ “ข้าจะไปตามหาลูเซียนกับเฟอร์นันโด แบบนั้น เราจึงจะหนีรอดจากภัยร้ายแรงที่สุดได้ พวกเจ้าต้องออกไปจากอารามแห่งวิญญาณ นำผลการสำรวจของเราและความลับของศาสนจักรฝ่ายเหนือกลับไปรายงาน”
“ท่านประธาน…” เอริก้าไม่รู้ว่านางควรจะพยายามหยุดอีกฝ่ายหรือร่วมกลุ่มค้นหาด้วยดี
ดักลาสกล่าวเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ออกไปเสีย!”
วิเซนเตนั้นเบนสายตาไปมองเตาหลอมวิญญาณแล้ว ใบหน้าซูบตอบของเขาเต็มไปด้วยแรงปรารถนาคลั่งไคล้อย่างควบคุมไม่ได้ เอริก้าจึงเบนความสนใจและหันไปจดจ่อกับการจำความรู้สึกและรายละเอียดมากมายของเตาหลอมวิญญาณ ก่อนที่นางจะลองร่ายเวทมนตร์หลายๆ บทใส่มัน
ฮูวววววววว!
ฝูงปีศาจที่นำโดยปีศาจชั้นตำนานหลายตนขยับเข้ามาใกล้ เซนทอร์นักธนูที่มีสติปัญญาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ขณะเฝ้ามองฝูงปีศาจกับผู้นำฝูงน่าตายและสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล ดักลาสก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “จงหลับใหลเสียเถิด”
เขาลอยตัวขึ้นพร้อมกับกดมือทั้งสองข้างลง
“เปลวไฟนิรันดร์!”
ตู้ม ดวงตะวันเจิดจ้าโผล่ขึ้นจากจุดที่เซนทอร์นักธนูยืนอยู่ ปีศาจรอบๆ นั้นถูกกวาดล้างไปก่อนที่พวกมันจะทันได้ตอบโต้อะไร
“เปลวไฟนิรันดร์!”
“เปลวไฟนิรันดร์!”
ดวงตะวันโผล่ขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง พายุพลังงานที่รุนแรงเหนือจินตนาการส่งเสียงดังกระหึ่มลานจัตุรัสที่กว้างหลายตารางกิโลเมตร แม้แต่เฟอร์นันโด วิเซนเต และเอริก้าที่อยู่บริเวณขอบนอกของแรงระเบิดยังต้องกางกั้นปราการป้องกันกาย
“อ๊ากกกกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้องแต่แล้วกลับหยุดไปเสียดื้อๆ บรรดาปีศาจที่ยังมีพลังไม่ถึงชั้นตำนานระดับสามย่อมไม่อาจต้านทาน ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ได้อย่างแน่นอน แต่สติปัญญาอันน้อยนิดของพวกมันกลับขัดขวางไม่ให้พวกมันหันหลังหนี กลับกรูกันเข้ามาหาศัตรูตามสัญชาตญาณ
แสงสว่างเจิดจ้าระยิบระยับอาบไล้ทั่วทั้งอารามแห่งวิญญาณ ขับไล่สีสันเย็นชืดของขาว ดำ และเทาไปสิ้น
หลังจากที่ทุกอย่างจบลง ลานจัตุรัสก็กลายเป็นหลุมกว้าง ฝูงปีศาจที่เคยยืนอยู่เต็มลานถูกกวาดล้างหายไปจนหมด เสียงคำรามก็เงียบไปแล้วเช่นกัน
“โลกกลับมาสงบสุขอีกครั้งแล้ว…”
เอริก้ากล่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่นางกับวิเซนเตก็ฉวยโอกาสนี้ ใช้เวทเคลื่อนที่เพื่อออกไปจากอารามแห่งวิญญาณ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกระโดดข้ามมิติเข้าไปในมิติพิเศษของพวกตนจากที่แห่งนี้
หลังจากสังเกตการณ์เตาหลอมวิญญาณอย่างถ้วนถี่ เฟอร์นันโดก็พุ่งตัวผ่านมันไปดุจพายุ และเข้าไปยังเส้นทางสีเทาพร้อมกับดักลาส
“ทั้งสองคนนั้นเข้าไปแล้ว…” ‘อีวาน’ ผู้มีปลายจมูกบานใหญ่ตามแบบฉบับชาวชาชรานปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ ใบหน้าเขาดูเคร่งเครียดจริงจังกว่าครั้งไหนๆ
……………………………………