บทที่ 623 ทวารานาจักร
‘อเล็กเซย์’ ‘ยูริเอล’ ‘เฟลิกซ์’ และ ‘เทวทูตแห่งแสง’ ปรากฏกายขึ้นรอบๆ ตัว ‘นักบุญอีวาน’ ทีละคนๆ พวกเขามาถึงที่นี่ก่อนหน้าดักลาส เฟอร์นันโด และนักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ แต่ไม่ได้เข้าไปในนั้น
“เบลคอฟสกี เราจะทำอย่างไรต่อไปดีเล่า” อเล็กเซย์เรียก ‘นักบุญอีวาน’ ด้วยนามของเบลคอฟสกี พระสังฆราชคนปัจจุบันของฝ่ายเหนือ เขาพูดราวกับกำลังคุยกับผู้ที่มีศักดิ์เทียบเท่ากัน
คิ้วสีทองของ ‘นักบุญอีวาน’ ขมวดเข้าหากัน และดวงตาสีน้ำเงินทอประกายสีเหลืองเล็กน้อยก็มองไปยังเส้นทางสีเทาด้านหลังเตาหลอมวิญญาณอย่างสังเกตสังกา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่าอสูรตนนั้นยังอยู่ข้างในนั้น อีกอย่าง หากไม่มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงพิกัดที่มาสเกลีนกับไวเค็นทิ้งไว้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าควรไปทางไหนและจะตามหาพวกมันได้อย่างไร เราทำได้เพียงเสี่ยงโชคดูเท่านั้น”
ท่าทีเขาดูค่อนข้างหวาดกลัว ราวกับเคยพบเจอบางสิ่งบางอย่างยามที่เขามาสำรวจทางเข้าก่อนหน้านี้ เขาไม่กล้าเสี่ยง แม้ว่าตนจะใช้ ‘พลังพระคุณของพระเจ้า’ ได้ก็ตาม
“เช่นนั้น เราควรจะย้ายตำแหน่งที่ตั้งห้องแห่งพระจิตก่อนดีหรือไม่” ดวงตาของ ‘เฟลิกซ์’ เองก็จดจ้องอยู่ที่เส้นทางสีเทา เขาไม่แม้แต่จะปรายตาไปมองทางเข้าที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นมายา ราวกับเขาไม่ได้สนใจว่ามันจะมีอะไรอยู่ในนั้น
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ‘นักบุญอีวาน’ ก็กล่าวตอบ “แต่ข้าคิดว่าที่สภาเวทมนตร์กล้าเข้ามาสำรวจอารามแห่งวิญญาณก็เพราะพวกมันค้นพบสิ่งของชิ้นสุดท้ายที่มาสเกลีนกับไวเค็นทิ้งเอาไว้แล้ว อย่างไรเสีย รังของไวเค็นก็อยู่แถบชายแดนของโฮล์ม และแฮททาเวย์ก็อยู่ที่นั่นในตอนที่มิติมหากางเขนพังทลายลง หากพวกมันค้นพบของเหล่านั้นและเรียนรู้วิธีการเข้าไปยัง ‘ห้องอมตะนิรันดร์’ ความฝันของนักบุญทุกท่านในอดีตย่อมไม่มีทางได้รับการเติมเต็มแล้ว”
ขณะพูด เขาก็เหลือบมองไปยังเส้นทางที่เปี่ยมล้นด้วยระลอกคลื่นมายา
แต่ก่อนที่ ‘ยูริเอล’ และคนที่เหลือจะได้พูดอะไร ‘อีวาน’ ก็พูดต่อ “ฉะนั้นแล้ว ข้ากับมิเคลจะเข้าไปเอง ส่วนพวกเจ้าไปย้ายที่ตั้งห้องพระจิตเสีย เขาเป็นร่างเสมือนที่เกิดจากวัตถุแห่งเทวภาพของจีโน หากเขาตายในนั้นคงไม่เป็นปัญหาอะไร ส่วนข้าก็แข็งแกร่งมากพอจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
มิเคลก็คือ ‘เทวทูตแห่งแสง’
“ก็ได้ เบลคอฟสกี แต่อย่าประมาทเล่า เรายังไม่รู้เลยว่ามาสเกลีนกับไวเค็นพบเจอกับอะไรและเหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยได้กลับออกมา” ‘ยูริเอล’ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
เขาไม่แน่ใจนักว่ามาสเกลีนจะเสียชีวิตแล้ว อย่างไรเสีย หากยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในอารามแห่งวิญญาณ กระแสแห่งกาลเวลาก็จะยิ่งแปรปรวน หนึ่งวันที่รอบนอกอารามจะเท่ากับห้าวันที่ข้างนอก และหนึ่งวันในบริเวณรอบๆ เตาหลอมวิญญาณก็จะเท่ากับหนึ่งสัปดาห์โดยประมาณ ภายในนั้นคงจะปั่นป่วนเลวร้ายกว่านี้แน่ แม้ว่าเหล่านักเวทชั้นตำนานจะหายตัวไปนานกว่าหนึ่งพันปีที่โลกภายนอก แต่พวกเขาอาจจะใช้ชีวิตอยู่ภายใน ‘ทวารานาจักร’ เพียงหนึ่งร้อยปีก็เป็นได้
อีวานแย้มยิ้ม “สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคงจะอยู่เหนือจินตนาการของเราอย่างยิ่ง เราไม่อาจระบุความเป็นตายของพวกเขาได้เลยแม้ว่าเราจะสวดภาวนาและใช้ข้าวของส่วนตัวของพวกเขามาประกอบพิธีทำนาย แต่คนของสภาเวทมนตร์เป็นฝ่ายนำทางให้ข้า ข้าย่อมออกมาได้ทันเวลาหากเกิดภัยอันตรายใดๆ ขึ้น”
หลังจบการหารือสั้นๆ ‘อีวาน’ และ ‘เทวทูตแห่งแสง’ ก็เดินผ่านเตาหลอมวิญญาณเข้าไปยังเส้นทาง ส่วนนักบุญคนอื่นๆ รวมถึง ‘อเล็กเซย์’ ก็กลับไปยังห้องแห่งพระจิต เผื่อว่ากำลังเสริมของสภาเวทมนตร์อาจแกะรอยสืบย้อนมาถึงพวกตนได้
บริเวณรอบเตาหลอมวิญญาณกลับสู่ความเงียบงัน ในตอนนั้นเอง ราชาเทพอสูร-ลิช ผู้มีอัญมณีประหลาดหลากสีหมุนวนรอบศีรษะก็ปรากฏกายขึ้นจากผนัง และจดจ้องไปยังทางเข้าที่ลูเซียนกับคนที่เหลือเพิ่งเข้าไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง วิญญาณโปร่งแสงตนหนึ่งก็ลอยเข้ามา มันสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีดำประดับลวดลายสีแดงแสนประณีตน่ามอง “เจ้าไม่เข้าไปหรือ”
เมื่อพิจารณาจากท่าทางและน้ำเสียงของมัน ก็บอกได้ไม่ยากเลยว่ามันมีศักดิ์เทียบเท่าราชาเทพอสูร-ลิช มันก็คือเจ้าแห่งภูต ผู้เป็นใหญ่ประจำอารามแห่งวิญญาณเขตนอกอีกตนหนึ่ง
“ข้าคงหาทางออกมาไม่ได้หากเข้าไป” ราชาเทพอสูร-ลิชกล่าวด้วยเสียงแหบต่ำ โทสะที่มีก่อนหน้านี้ยามลูเซียนบุกรุกเข้ามาได้เลือนหายไปแล้ว
เจ้าแห่งภูตตอบด้วยน้ำเสียงยากจะคาดเดา “เจ้าไม่กลัวว่านายท่านจะลงทัณฑ์พวกเราหลังจากที่ท่านตื่นขึ้นหรือ”
นายท่านที่เขากล่าวถึง หมายถึงสิ่งมีชีวิตลึกลับในโลกแห่งวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย
“แอร์เมสกับโครซอสติดตามพวกนั้นไปอยู่ เราจำเป็นต้องตื่นตัวตลอดเวลา เผื่อจะมีศัตรูบุกเข้ามาในอารามอีก” ดวงไฟยาวรีดั่งเข็มแหลมสีแดงในดวงตาราชาเทพอสูร-ลิชส่องประกายวาบอย่างเย็นชา
เจ้าแห่งภูตลอยตัวขึ้น “ใช่ บัดนี้ชิแล็ปส์ถูกศัตรูสังหารไปแล้ว การป้องกันในเขตรอบนอกย่อมอ่อนแอเกินไปหากว่าเราเข้าไปในนั้นเช่นกัน”
ปีศาจชั้นตำนานทั้งสองมองสบตากันก่อนจะแยกกันไปซ่อนตัวรอบๆ นั้น เฝ้ารอให้ ‘ผู้เหลือรอด’ กลับออกมาและเฝ้าระวังผู้มีพลังชั้นสูงที่อาจบุกรุกเข้ามาอีก
…
หลังคาทรงโค้งเป็นสีเทา พื้นเป็นสีเทา ผนังเป็นสีเทา คบไฟเป็นสีเทา และไฟบนนั้นก็เป็นสีเทาเช่นกัน ลูเซียนมองไม่เห็นสีสันอื่นใดอีกนอกจากที่มีอยู่บนตัวเขา ราวกับว่าเขาได้เข้ามาสู่โลกเหนือจริงสักแห่งหนึ่ง
ลูเซียนบินตรงไปด้วยความเร่งรีบ ไม่มีเวลามาตรวจสอบว่าเหตุใดไฟจึงยังลุกไหม้ได้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เขาก็มองเห็นประตูสีดำที่ปิดอยู่บานหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างเด่นสะดุดตาเมื่อมันอยู่ในโลกแห่งสีเทานี้
หากเทียบกับความยิ่งใหญ่อลังการของอารามแห่งวิญญาณในส่วนอื่นๆ ประตูสีดำไร้ลวดลายที่สูงเพียง 2.5 เมตรบานนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนประตูในเมืองมนุษย์ ราวกับว่าลูเซียนได้กลับมาที่อาณาจักรโฮล์มแล้ว
หลังจากตรวจสอบประตูอย่างเร่งร้อนและไม่พบกับดักแต่อย่างใด ลูเซียนก็เสกเวทมนตร์เปิดมันออก
ขณะที่ประตูสีดำค่อยๆ แง้มเปิด ลูเซียนก็มองเห็นห้องโถงสีเทาด้านใน นอกเหนือจากประตูสีดำสามบานที่ตั้งอยู่คนละมุม ในห้องก็ไม่มีอะไรเลย มันทั้งสลัวรางและทึบทึม
ลูเซียนไม่มีเวลามองพิจารณาสิ่งใดขณะบินผ่านห้องโถงหน้าตาคล้ายคลึงกันนี้อีกหลายห้องติดต่อกัน กว่าเขาจะชะลอความเร็วลงก็เป็นตอนที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลาและอวกาศ
‘ห้องโถงสีเทาพวกนั้นดูแปลกเกินไป ทุกห้องว่างเปล่า และมีประตูดำสี่บานประจำสี่ทิศ ถ้าไม่ใช่ว่าการตกแต่งกับเสาในแต่ละห้องดูแตกต่างกัน ข้าคงคิดว่าตัวเองอยู่ในห้องเดิมมาตลอดแน่ๆ’ ขณะร่ายเวท ‘จัดลำดับเวทมนตร์’ ‘ชนวนเวท’ และเวทเสริมบทอื่นๆ ให้กับตนเอง ลูเซียนก็มองสำรวจไปรอบๆ ตัว เขาเชื่อว่าคนอื่นๆ คงจะคิดว่าห้องโถงสีเทาคือภาพมายาและประตูสีดำทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่ ‘เป็นจริง’ เพียงหนึ่งเดียว
เมื่อนึกถึงตัวแปรทางด้านสภาพแวดล้อมที่เขาเพิ่งสังเกตการณ์มาเมื่อครู่ ลูเซียนก็พบว่ารูปแบบการเปลี่ยนแปลงของพิกัดที่มาสเกลีนทิ้งไว้ยังใช้กับสถานที่แห่งนี้ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาสามารถหาทางออกไปได้ทุกเมื่อ
‘แต่อาคารพวกนี้เปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไปหรือเปล่านะ มันจะเปลี่ยนไปแทบทุกครั้งหลังจากข้าเปิดประตูไปสองบาน’ ลูเซียนคิดคำนวณแล้วก็ให้รู้สึกแปลกใจ แม้ว่านี่จะเป็นการการันตีความปลอดภัยของเขา เพราะเจ้าแห่งนรกหรือปีศาจชั้นตำนานตนอื่นๆ อาจเข้าไปผิดห้องยามที่พวกมันเปิดประตูตามหลังเขามา แต่มันก็มีโอกาสที่เขาจะพบเจอเรื่องอันตรายเหนือความคาดหมายเช่นกัน เพราะห้องโถงเบื้องหลังประตูแต่ละบานอาจเป็นห้องที่มีศัตรูของเขาอยู่ก็เป็นได้
ในสถานที่แห่งนี้ เวทพยากรณ์และเวทสอดแนมถูกสะกดข่มจนแทบใช้การอะไรไม่ได้
‘ข้าต้องตื่นตัวรอบคอบให้มากกว่านี้’ ลูเซียนร่ายเวทมนตร์อีกหลายบทเพื่อเสริมพลังให้กับสัญชาตญาณตน การต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้เขาต้องใช้ ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ ในนาฬิกาจันทรากาลไปครบทั้งสามครั้งแล้ว ส่วน ‘เวทแรงโน้มถ่วงยุบตัว’ ก็ใช้ได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ‘เวทธาตุอารักขา’ จากเสื้อคลุมมหาจอมเวทและ ‘ป้อมปราการซากศพ’ จากแหวนคอนกัสก็ใช้ไปหมดแล้วเช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นอกเหนือจากการแปลงกายเป็นอัศวินชั้นตำนานเพื่อถือโล่แห่งสัจธรรมแล้ว เวทคุ้มกันกายระดับชั้นตำนานที่เขาจะใช้ได้นั้นมีเพียงคทาอวกาศ ‘ข้าจำเป็นต้องหาที่ซ่อนตัวเพื่อปลดผนึกมงกุฎของราชามัมมี่ ยิ่งมีอุปกรณ์ชั้นตำนานมากเท่าไหร่ ข้าก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น’
ห้องโถงนี้อยู่ห่างจากปากทางเข้าเพียงห้า ‘ประตู’ เท่านั้น ลูเซียนจึงยังไม่วางใจ เขาจึงสุ่มเลือกประตูดำและเปิดมันหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว
ท่ามกลางสีเทาอันเลือนราง จู่ๆ ลูเซียนก็มองเห็นแสงสีเงินยวงวูบผ่าน เขาตื่นตัวขึ้นมา และรีบแผ่พลังจิตออกไปในทันใด
ห้องโถงสีเทายังคงเงียบงัน แต่บนพื้นกลับมีเศษซากของวงแหวนเวทที่ถูกใช้การไปแล้ว
วัตถุดิบที่ใช้ในวงแหวนเวทได้หายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่นั้นมีเพียงร่องรอยลวดลายแสนซับซ้อนสีเงินยวง มันให้ความรู้สึกที่ทั้งสูงส่งและน่าหวาดกลัว ราวกับว่ามันคือสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก ความรู้สึกนั้นช่างคล้ายคลึงกับที่ลูเซียนสัมผัสได้จากทางแยก
‘วงแหวนเวทที่ท่านมาสเกลีนใช้อย่างนั้นหรือ เป็นแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย’ ลูเซียนจดบันทึกเศษซากที่หลงเหลืออยู่ลงในห้องสมุดห้วงจิตแล้วมองสำรวจ แต่ก็ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ หากเขาอยากจะรู้ว่ามันเป็นวงแหวนอะไร นอกจากนี้ เพราะมีร่องรอยลวดลายเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เหลือทิ้งไว้ การวิเคราะห์ย้อนกลับจึงเป็นเรื่องยากมาก ลูเซียนไม่รู้เลยว่าเขาจะวิเคราะห์มันให้สำเร็จได้เมื่อไหร่
หลังจากจดบันทึกเกี่ยวกับเศษซากที่เหลืออยู่เสร็จ ลูเซียนก็กวาดตามองภาพรวม และฉับพลันนั้น เขาก็ค้นพบว่าวงแหวนเวทนี้ประกอบด้วยเหลี่ยมมุมหนึ่งของดาวหกแฉก
ดาวหกแฉกถือเป็นรูปแบบเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานที่สุดที่มีต้นกำเนิดจากการบูชาความอุดมสมบูรณ์เจริญพันธุ์ จากนั้น นักเวทโบราณก็พัฒนามันขึ้นโดยยึดจากลวดลายเวทมนตร์ของสัตว์อสูร มันแสดงถึงการผสมผสานระหว่างร่างกายและวิญญาณ เช่นเดียวกับการแทรกแซงโลกแห่งวัตถุของพลังจิต
‘มีวงแหวนเวทที่คล้ายกันหกอันงั้นหรือ แต่มีไว้เพื่ออะไรกันล่ะ’ ลูเซียนไม่อยากจะอยู่ในห้องที่น่าขนลุกขนพองเป็นพิเศษเช่นนี้ ในเมื่อจดบันทึกข้อมูลเสร็จแล้ว ลูเซียนจึงบินไปทางประตูดำในอีกทิศทางหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง ลูเซียนก็พบเศษสิ่งของบางอย่างข้างใต้เสาสีเทาต้นหนึ่ง เขาจึงใช้หัตถ์นักเวทหยิบมันขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง
‘เศษชิ้นส่วนของกระดาษหนังงั้นหรือ เป็นกระดาษหนังชนิดพิเศษที่ผลิตจากเวทมนตร์เสียด้วย’ ลูเซียนรู้ได้ในทันทีว่าเศษชิ้นส่วนนั้นคืออะไร เพราะมีเพียงกระดาษหนังที่ผลิตขึ้นจากเวทมนตร์เท่านั้นที่จะอยู่รอดมาได้หลายปีท่ามกลางสภาพแวดล้อมพรรค์นี้โดยไม่เน่าเปื่อยไปเสียก่อน
บนกระดาษสีเทานั้นมีคำเพียงคำเดียวเขียนไว้ว่า ‘ปีศาจ!’
“ปีศาจงั้นหรือ” ลูเซียนเอ่ยทวนคำที่เขียนด้วยภาษาของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณซิลวานาส ตามปกติแล้ว คำคำนี้มีความหมายอยู่สองอย่าง อย่างแรก หมายถึงสิ่งมีชีวิตในนรก อย่างที่สอง หมายถึงสิ่งอันตรายทั้งหมดและสิ่งชั่วร้ายโดยรวมๆ “แล้วมันหมายถึงอะไรกันล่ะ”
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น ลูเซียนก็มองไปรอบๆ ห้องโถงให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอะไรเลย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงบินไปที่ประตูดำตามแผนเดิมแล้วตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
ประตูดำกางกั้นทั้งสองห้องโถงเอาไว้ ไม่ว่าลูเซียนจะใช้เวทมนตร์คาถาบทใดก็ไม่อาจสอดแนมอีกฟากฝั่งหนึ่ง จนกว่าเขาจะเปิดมันออก ดังนั้นเขาจึงจำต้องรอบคอบให้มาก ลูเซียนยังตัดสินใจแล้วด้วยว่าตอนขากลับ เขาจะเก็บประตูนี้กลับไปศึกษาอย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่จอมเวททุกคนคงทำ
หลังจากร่ายเวทเสร็จ ประตูดำก็ค่อยๆ ขยับถอยหลังไป แล้วสายตาลูเซียนก็มองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง!
เสื้อเชิ้ตสีดำ เสื้อคลุมสีแดง ดวงตากับผมยาวๆ สีเงิน และรอยเปรอะเปื้อนสีเข้มจากโลหิตบนอกนั้น ทำให้เขาดูเปี่ยมล้นด้วยความงดงามอันแปลกประหลาด
“ท่านไรน์” ลูเซียนอุทาน พลางระงับเวทมนตร์ที่พร้อมจะปล่อยออกไป
ไรน์ ผู้ยืนพิงเสาสีเทาต้นหนึ่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน แย้มยิ้มละไม “ไง ลูเซียน เราเจอกันอีกแล้วนะ”
……………………………………