บทที่ 624 ห้วงเวลาที่ถูกปิดผนึก
ต้นเดือนกรกฎาคม ปี 825 อากาศร้อนดังอยู่ในเตาไฟ
บนหอคอยเวทมนตร์อัลลินชั้นที่สามสิบเอ็ด โอโนเรที่สอบผ่านและได้เข้าเรียนในวิทยาลัยเวทมนตร์โฮลต์ กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนทั้งหลาย กำลังจดจ้องสถานีวิทยุสกายที่ตั้งอยู่หน้าสุดด้วยความสนใจอย่างยิ่งยวด เขาเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ สถานีวิทยุจะจัดรายการตอนกลางคืน แต่โรงเรียนกลับห้ามเข้าหลังหกโมงเย็น ไม่เช่นนั้น เราคงจะได้ขอลายเซ็นของท่านหญิงลาร์คและท่านหญิงไนติงเกล ทั้งสองท่านคงต้องงดงามเหมือนเสียงตามสายเป็นแน่”
ส่วนที่เหลือของชั้นสามสิบเอ็ดในหอคอยอัลลินถูกจับจองไว้เป็นห้องเรียนของวิทยาลัยเวทมนตร์โฮลต์ เพื่อที่จะให้นักศึกษาใช้ห้องทดลองที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ล้ำสมัยที่สุดในหอคอยเวทมนตร์ได้โดยตรง มันหาได้จำเป็นที่จะต้องสร้างห้องทดลองใหม่ๆ ขึ้นมา ส่วนหอพักของนักศึกษานั้นจะอยู่อีกที่หนึ่ง
“เจ้าสมัครทำการทดลองเวทมนตร์ช่วงกลางคืนได้นะ” คลาร์ก นักศึกษาอีกคนเอ่ยทีเล่นทีจริง
โอโนเรค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เทอมแรกเพิ่งเริ่มได้เพียงสองเดือนเท่านั้นเอง ข้ายังพยายามทำความเข้าใจเวทมนตร์และอาร์คานาเบื้องต้นอยู่เลย ตัวข้าไม่มีคุณสมบัติไปสมัครทำการทดลองเวทมนตร์ช่วงกลางคืนหรอก”
วิทยาลัยเวทมนตร์โฮลต์เปิดเรียนในเดือนพฤษภาคม นักศึกษาจะได้รับอนุญาตให้เลือกวิชาด้วยตัวเองและคาดหมายว่าจะต้องจบออกไปภายในสองถึงห้าปี พวกเขาจะได้หยุดยาวช่วงปีใหม่ แต่ไม่มีวันหยุดยาวช่วงหน้าร้อน
“ใช่ ข้ายังไม่เข้าใจกลศาสตร์เมตริกซ์ของท่านอีวานส์เลย เมตริกซ์น่ะข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว และรู้วิธีการคำนวณ แต่ข้าไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรและเพราะเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนั้น มันเหมือนกับชิ้นงานทางคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ หากข้าไม่ได้เรียนรู้ความหมายทางอาร์คานาที่อยู่เบื้องหลังนั้น ตัวทฤษฎีทั้งหมดมักทำให้ข้าสับสนมึนงง” คลาร์กกล่าวเสียงขื่น กลศาสตร์เมตริกซ์นั้นยากจะเข้าถึงได้และไม่เป็นมิตรอย่างแท้จริง
โอโนเรส่ายศีรษะและพยายามเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเล่นมุก “ก็อย่างที่ท่านอีวานส์เคยว่าไว้ เรารู้จักคำทุกคำและสมการทุกสมการ แต่เรากลับไม่รู้อะไรเลยเมื่อนำมันมาเชื่อมโยงกัน”
“ประมาณนั้นเลย ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษก็เหมือนกัน ข้าเข้าใจข้อสมมติฐานกับการอนุมานได้ แต่ความสัมพันธ์ของกาล-อวกาศที่ตามมา และการปรับใช้เพื่อวิเคราะห์เวทมนตร์กลับยากเกินไปสำหรับข้า” คลาร์กถอนหายใจ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมีสอนแต่เพียงพื้นฐานชั้นต้น แต่ไม่ได้มีวิชาเรียนที่ตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ว่ากันว่าทั่วทั้งสภาเวทมนตร์นั้นมีเพียงไม่ถึงสิบคนที่เข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจริงๆ จึงไม่มีอาจารย์คนใดในวิทยาลัยที่มีความสามารถพอจะสอนเรื่องนั้น
โอโนเรผายมือออกและกำลังจะเอ่ยตอบ แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็พบว่าอาจารย์ท่านหนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ กลับยืนนิ่งประดุจรูปปั้น โดยมีวารสาร ‘อาร์คานา’ อยู่ในมือ
“ท่านเออร์เรสโต” ด้วยรู้สึกแปลกใจ โอโนเรจึงเข้าไปทักทาย
ตุบ วารสารในมือเออร์เนสโตตกลงกระแทกพื้น เขามองมาทางเหล่าลูกศิษย์ด้วยสายตาแฝงความตื่นตระหนกและหวาดกลัว “พวกเจ้าไม่มีเรียนหรือ”
“ไม่มีขอรับ เราเรียนวิชาที่เลือกสำหรับสัปดาห์นี้เสร็จแล้วขอรับ ท่านเออร์เนสโต นี่คือ ‘อาร์คานา’ ฉบับล่าสุดใช่ไหมขอรับ” โอโนเรถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ทางวิทยาลัยเวทมนตร์โฮลต์กำหนดไว้ว่านักศึกษาทุกคนต้องอ่านวารสารอาร์คานา เวทมนตร์ และธรรมชาติ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ใหม่ๆ ในอาร์คานาและเวทมนตร์ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม ทางวิทยาลัยจะสั่งวารสารทั้งสามหัวนี้มาและแจกจ่ายให้โดยไม่คิดเงิน
เออร์เนสโตมองวารสารที่นอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางลังเล ราวกับมันเป็นปีศาจชั่วร้าย “ใช่แล้วล่ะ แต่เจ้าอย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรในนั้นเด็ดขาด จนกว่าเจ้าจะทำการทดลองยืนยันด้วยตัวเอง”
“เป็นการทดลองและทฤษฎีหักล้างเช่นนั้นหรือขอรับ” โอโนเรเองก็จดจ้องไปที่วารสารเล่มนั้นด้วยดวงตาเบิกโต เหตุการณ์ศีรษะระเบิดตอนที่มีการนำเสนอทฤษฎีควอนตัมยังคงฝังลึกในใจเขา
“‘การทดลองการเลี้ยวเบนของอิเล็กตรอนด้วยผลึกเดี่ยว…’” คลาร์กอ่านชื่อบนความบนหน้าวารสารที่เปิดอ้าอยู่ แล้วก็ให้งุนงง “อิเล็กตรอน? การเลี้ยวเบน? มันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไรล่ะเนี่ย”
เราลูเซียนต้องเตรียมตัวเพื่อการออกสำรวจโลกแห่งวิญญาณ เขาจึงเลื่อนการทดลองการเลี้ยวเบนออกไปสองเดือนและกว่าจะได้ส่งให้ทางคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาก็เป็นตอนที่เขากำลังจะออกเดินทาง
โอโนเรหยิบวารสารเล่มนั้นขึ้นมาอย่างห้ามใจไม่อยู่ พลางพึมพำว่า “คลาร์ก เจ้าจำอาร์คานาฉบับก่อนได้หรือไม่ ที่ทางสภาสูงสุดถกเถียงกันเรื่องงานเขียนของท่านเดียปน่ะ”
“งานเขียนของท่านเดียป…” ใบหน้าของคลาร์กบิดเบ้ไปราวกับว่าเขาถูกทำให้นึกถึงอสูรกายที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุด
โอโนเรอ่านบทความนั้นอย่างกระหายใคร่รู้ระคนวิตกกังวล เขาเห็นขั้นตอนการเตรียมการทดลอง เห็นกระบวนการทดลองทั้งหมด และท้ายสุดก็คือผลสรุปจากการทดลอง ซึ่งก็คือรูปแบบการเลี้ยวเบนดั้งเดิมแสนคุ้นตา!
“มัน… มันเป็นความจริง อิเล็กตรอนสามารถแสดงคุณสมบัติของคลื่น…” โอโนเรเหม่อมองอย่างไร้จุดหมายขณะพูดในสิ่งที่คิดออกมาโดยไม่รู้ตัว
ต้องขอบคุณสุนทรพจน์ของลูเซียนและตัวอย่างที่มีมาก่อนหน้านี้ เขาจึงยอมรับมาสักพักแล้วว่าอิเล็กตรอนคือสิ่งนิรนามที่ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ทั้งหมด สิ่งที่เขาคิดคือ อิเล็กตรอนมีพฤติกรรมเหมือนอย่างคลื่น ไม่ใช่ว่าอิเล็กตรอนคือคลื่น ด้วยเหตุนี้ สมองของเขาจึงยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
คลาร์กส่ายหน้าระรัว “มันต้องใช้การทดลองพิสูจน์ยืนยัน! มันต้องยืนยันก่อน!”
เออร์เนสโตเองก็หยักหน้าแรงๆ อย่างเห็นดีเห็นงาม เขาพานักศึกษาไปที่ห้องทดลองของตนและเตรียมวัตถุดิบสำหรับการทดลองตามที่เขียนไว้ในบทนำของอีวานส์
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เมื่อภาพที่ดูเหนือจริงเผยโฉมอยู่ตรงหน้า เออร์เนสโตก็ถึงกับทรุดตัวลงบนเก้าอี้และดึงทึ้งผมบนศีรษะด้วยท่าทางเจ็บปวด
ท่าทางนั้นทำให้โอโนเรตกตะลึงอย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าศีรษะของเออร์เนสโตอาจระเบิดโพลงได้ทุกเมื่อ ทำให้เนื้อสมองสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งห้อง
แต่โชคยังดีที่เออร์เนสโตค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เขามองไปรอบๆ ด้วยความสับสนมึนงง “มันมีคุณสมบัติทั้งของอนุภาคและของคลื่น แล้วโลกแห่งความเป็นจริงเล่า ข้าว่าข้าไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ข้ารู้ได้เลยสักนิด”
ด้วยกลัวว่าเออร์เนสโตอาจไม่หยุดคิดมาก โอโนเรจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “มีบทความใน ‘อาร์คานา’ บทความหนึ่งที่ท่านอีวานส์เขียนร่วมกับลูกศิษย์ของท่าน พวกเขาประมวลผลกลศาสตร์เมตริกซ์เสียใหม่โดยใช้สูตรคณิตศาสตร์ดั้งเดิม มันดูชัดเจนและสั้นกระชับได้ใจความกว่าเดิมมากขอรับ”
“ไม่ว่าจะชัดเจนและกระชับได้ใจความมากแค่ไหน หากเราไม่อาจหาความหมายทางอาร์คานาเบื้องหลังคณิตศาสตร์ได้ พวกมันก็จะเป็นเหมือน ‘เขาวงกตเมตริกซ’ ที่เราหลงวนเวียนอยู่ในตอนนี้” คลาร์กขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านบทความในวารสาร
ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบงัน โอโนเรอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปถึงคุณสมบัติแปลกประหลาดของอิเล็กตรอน ซึ่งมีคุณสมบัติของอนุภาคอย่างไม่ต้องสงสัยและยังแสดงรูปแบบการเลี้ยวเบนแสนคุ้นตาในขณะเดียวกัน ตามที่เดียปว่าไว้แล้วนั้น โปรตอนกับนิวตรอนก็เหมือนกับอิเล็กตรอน เช่นนั้น ธาตุ สสาร และแม้แต่โลกนี้ก็มีคุณสมบัติทวิภาคเช่นกันอย่างนั้นหรือ
เมื่อมองไปทางจอแสดงภาพ เก้าอี้ พื้น และโคมไฟตรงหน้า โอโนเรก็ส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้จักโลกแห่งความเป็นจริงอีกต่อไปแล้วเช่นกัน”
ในที่สุดคลาร์กก็ตั้งข้อสังเกตว่า “ตำราเรียนคงต้องเปลี่ยนแปลงอีกแล้วสิ”
โอโนเรรู้สึกขบขัน แต่แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ตนเห็นยามมาทำข้อสอบสอบเข้าวิทยาลัยเวทมนตร์ขั้นสูง ตำราเรียนของการเล่นแร่แปรธาตุที่เพิ่งกำหนดเนื้อหาออกมาในช่วงเช้ากลับต้องแก้ไขใหม่ในตอนที่การสอบจบลงช่วงบ่าย และตอนนี้ เพียงสองเดือนให้หลัง ตำราเรียนก็ต้องแก้ไขอีกครั้งแล้ว
“ช่างเป็นยุคสมัยที่ยอดเยี่ยมและบ้าคลั่งจริงๆ…”
ภายในห้องทดลองของเดียป เขามองจ้องรูปแบบการเลี้ยวเบนด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะอุทานด้วยความตระหนก
หลังจากที่เขาทำการทดลองเสร็จ เขาก็ได้รับการตอบสนองของโลกความเป็นจริง ซึ่งทำให้โลกแห่งปัญญาของเขาพัฒนาขึ้น ทว่า เขากลับพึมพำด้วยความฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดมันจึงน้อยกว่าที่ข้าคาดไว้นักเล่า ท่านอีวานส์ได้รับการตอบสนองส่วนใหญ่ไปเพราะท่านเป็นผู้ทำการทดลองการเลี้ยวเบนได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ”
มันคงจะอธิบายได้เพียงเท่านั้น!
แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ ลูเซียนทำการทดลองนี้ด้วยความเร่งรีบเพียงเพื่อจะหยุดการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งปัญญาและไม่ได้ทำการอนุมานทางทฤษฎีแต่อย่างใด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขายังได้รับการตอบสนองมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
…
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมสีเทาทึม เสื้อคลุมสีแดงของไรน์ดูเด่นสะดุดเป็นพิเศษ ทว่า ลูเซียนก็ไม่ได้ลดความระแวงระไวลงเลย อารามแห่งวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยภัยอันตราย และไรน์ก็มักทำตัวลึกลับอยู่เสมอ
“เมื่อครู่นี้ข้าเกือบจะโจมตีเจ้าแล้ว หากไม่สัมผัสถึงโลหิตต้นกำเนิดของข้าในตัวเจ้าเสียก่อนน่ะนะ” ไรน์กล่าวด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังเข้าร่วมงานดนตรีมากกว่ามาผจญภัยในโลกแห่งวิญญาณ
ลูเซียนเองก็ตรวจสอบยืนยันตัวตนของไรน์ด้วยกลิ่นอายและปฏิกิริยาของโลหิตต้นกำเนิดเช่นกัน จากนั้นเขาจึงถามด้วยความมึนงง “ท่านไรน์ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่กันเล่า ท่านติดอยู่ในนี้อีกแล้วหรือขอรับ”
ไรน์ส่ายหน้า “ตอนที่ซาร์ดตายระหว่างการต่อสู้กับเบเนดิกต์ที่สอง ชิ้นส่วนปริศนาจากร่างกายเขาได้หลบหนีเข้ามาในโลกแห่งวิญญาณ ข้าตามมันมาจนถึงสถานที่แห่งนี้”
ขณะเล่า เขาก็ชี้ไปที่รอยเลือดบนอกตนเอง “แต่ข้าคราดกับมันและดันมาเจอสัตว์อสูรร่างโปร่งแสง ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องใช้เพียงพลังของบรรพบุรุษต้นกำเนิดเท่านั้นจึงจะตอบโต้มันได้”
“มันไม่ตายอย่างนั้นหรือขอรับ สัตว์อสูรตัวนั้นมีพลังระดับใดกัน” ลูเซียนถามด้วยความประหลาดใจ ไรน์จะมีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดเมื่อยืมพลังจากพระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน แต่สัตว์อสูรตนนั้นกลับฆ่าไม่ตาย
ไรน์ยังคงแย้มยิ้มเป็นกันเอง “ข้าเองก็คิดว่ามันค่อนข้างแปลกเช่นกัน หลังจากถูกกักขังอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ ข้าก็เลื่อนระดับเป็นชั้นตำนานระดับสามแล้ว ตอนที่ข้าสู้กับสัตว์อสูรตนนั้น มันเพียงแสดงพลังที่เกือบถึงระดับสูงสุด มันอาจทำร้ายข้าได้แต่ไม่มีทางสังหารข้าได้แน่ แต่หลังจากที่ข้ายืมพลังของบรรพบุรุษต้นกำเนิด จู่ๆ มันก็แข็งแกร่งขึ้นและเลื่อนระดับขึ้นแตะชั้นตำนานขั้นสูงสุด ฉะนั้น ข้าจึงไล่มันไปได้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น”
“มันจงใจหลอกล่อให้ท่านใช้พลังของอัลเทอร์นาเช่นนั้นหรือ” ลูเซียนวิเคราะห์ พลังทักษะของไรน์นั้นก็เหมือนกับ ‘พลังพระคุณของพระเจ้า’ ของอีวาน กว่าเขาจะใช้พลังนั้นได้อีกครั้งคงอีกนานโข
ไรน์อมยิ้ม “ก็อาจจะ แต่การจะสังหารเจ้าชายแวมไพร์นั้นไม่ง่ายเลย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
ลูเซียนเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และยังพูดถึงเศษซากวงแหวนเวทกับเศษกระดาษที่มีคำว่า ‘ปีศาจ’ อยู่บนนั้นอย่างละเอียด
ไรน์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าเองก็ได้เห็นเศษซากคล้ายคลึงกันนี้มาก่อน… ลองไปตรวจสอบดูกันเถอะ เราอาจค้นพบสิ่งอื่นอีกก็เป็นได้”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเปิดประตูดำที่ลูเซียนเพิ่งจากมาอีกครั้ง แต่ห้องโถงสีเทาด้านหลังนั้นกลับเปลี่ยนไปแล้ว ที่ปรากฏสู่สายตาคนทั้งสองคือห้องลับสีเทา
กาลเวลาในห้องลับนี้คล้ายกับถูกปิดผนึกเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูใหม่และสมจริง ทว่า หลังจากที่ประตูเปิดออก เวลาก็เริ่มเดิน ส่งผลให้กระดาษ โต๊ะ และอุปกรณ์อื่นๆ เสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว
ห้องลับห้องนี้มีประตูดำเพียงสองบาน ซึ่งแตกต่างจากห้องโถงสีเทา
“วงแหวนแปรธาตุงั้นหรือ นี่คือเศษซากของห้องทดลองเวทมนตร์เช่นนั้นหรือ” ลูเซียนยืนเยื้องอยู่ด้านหลังไรน์เล็กน้อย ในใจเขาพลันเกิดความสงสัยใคร่รู้และความปรารถนาที่จะเข้าไปสำรวจ
มีสิ่งของสองอย่างที่ยังอยู่ดีท่ามกลางกองโคลน หนึ่งในนั้นคือสมุดบันทึกสภาพผุพังที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ และอีกอย่างคือแขนข้างหนึ่งของหุ่นเชิดซึ่งมีลวดลายแปลกประหลาด
ไรน์หยิบแขนของหุ่นเชิดขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ลูเซียนเองก็ร่ายเวทเปิดสมุดบันทึก พลิกหน้ากระดาษสีเทาผุพังไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นเสียงดังกรอบแกรบ
บันทึกในช่วงต้นเป็นข้อสรุปของการทดลองทางการเล่นแร่แปรธาตุสักอย่างหนึ่ง มันคงจะเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งยวดสำหรับนักเวทโบราณ แต่สำหรับเหล่าจอมเวทในสภาเวทมนตร์ยุคปัจจุบันแล้ว สิ่งเหล่านี้ถูกลดทอนความยากลง ทั้งยังปรับแก้จนนับครั้งไม่ถ้วน และหาได้คุ้มค่ากับการเอ่ยถึงไม่ แต่ลูเซียนกลับถูกวิธีการสร้าง ‘หุ่นตัวตายตัวแทน’ ในสมุดบันทึกดึงดูดให้สนใจ เขารีบจดมันลงในห้องสมุดห้วงจิตของตนเอง
เขาอ่านเนื้อหาในสมุดจนเกือบจะจบแล้ว แต่มันกลับไม่มีเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในตอนนี้เลย ทันใดนั้นเอง ตัวอักษรสีเทาเข้มสองบรรทัดก็ต้องสะท้อนดวงตาเขาก่อนที่เขาจะทันได้แสดงปฏิกิริยาใด ‘ผี ผีที่น่ากลัวเหนือจินตนาการป้วนเปี้ยนอยู่ในที่แห่งนี้’
‘สหายหลายท่านหายตัวไปแล้ว ข้าอาจเป็นคนถัดไป’
……………………………………