บทที่ 632 การเผชิญหน้าที่ไม่คาดฝัน
ไรห์นรู้สึกขบขันกับสถานการณ์ตรงหน้า “มาสเกลีนคงจะนึกถึงสิ่งสำคัญมากๆ ขึ้นมาในตอนที่เขากำลังเขียนส่วนนี้เป็นแน่ และมันคงต้องสำคัญมากเสียจนเขาทำให้ห้องลับนี้พังระเนระนาดเพราะความปั่นป่วนทางอารมณ์ เขาไม่ได้เขียนข้อสรุปให้เสร็จและจากไปอย่างเร่งรีบ ไม่สนสักนิดว่านั่นจะทำให้ผู้อ่านในอนาคตรู้สึกหัวเสีย”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ เมื่อดูจากการที่ไม่มีร่องรอยว่าเกิดการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังชั้นตำนานขึ้นที่นี่ และไม่มีจุดใดที่ถูกทำลายโดยจงใจ มันบอกได้ไม่ยากว่าท่านมาสเกลีนออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเองและเร่งรีบอย่างยิ่ง” ลูเซียนสงบใจให้เย็นลงพลางร่ายเวทฟื้นฟูหาร่องรอยการต่อสู้
ไรห์นมองไปรอบๆ และพูดว่า “มันหมายความว่าสิ่งที่มาสเกลีนกระตือรือร้นจะทำนั้นเป็นสิ่งสำคัญกว่าการเขียนเบาะแสทั้งหมดให้เสร็จ บางทีมันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการกำจัดสัตว์ประหลาดตนนั้นก็เป็นได้”
“แต่ว่า ท่านมีเวทมนตร์เป็นตัวช่วยอยู่แล้ว มันจะเสียเวลาขนาดไหนกันเชียวหากท่านจะเขียนชื่อให้เสร็จ” ลูเซียนตอบคำถามตัวเองทันที “ไม่เกินหนึ่งวินาทีเสียด้วยซ้ำ”
ไรห์นตรวจดูรอยหมึกลากยาวที่มาสเกลีนทำไว้อย่างละเอียด หากว่าเขามีแว่นขยายก็คงจะเอาออกมาใช้แล้ว “รอยหมึกนี้ชี้ชัดถึงความตกตะลึงของมาสเกลีน ตามเหตุและผลแล้ว เขาไม่น่าจะตกใจจนอึ้งงันเกินกว่าจะเขียนชื่อให้เสร็จทั้งๆ ที่เขาอนุมานเสร็จสิ้นแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ด้านนอก หรือมีเบาะแสใหม่ที่จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้…”
ลูเซียนพลันนึกถึงเรื่องบางอย่าง “บางที ท่านมาสเกลีนอาจนึกถึงรายละเอียดสำคัญบางอย่างที่ท่านมองข้ามไป ซึ่งขัดแย้งกับข้อสุปทั้งหมดก่อนหน้า ดังนั้นท่านจึงรีบออกไปสำรวจหาเบาะแสอื่นๆ เพื่อยืนยัน ที่ท่านตกตะลึงในช่วงสุดท้ายอาจเป็นเพราะข้อสันนิษฐานใหม่นั้นอยู่เหนือจินตนาการก็เป็นได้ ท่านจึงไม่ได้เขียนข้อสรุปเดิมเพราะว่ามันผิดพลาด”
“เป็นข้อสันนิษฐานที่อาจหาญมากและอธิบายได้สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง” ไรห์นเอ่ยชม “ทว่า ข้าเชื่อว่าสัตว์ประหลาดตนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับธานอสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะตัวเจ้านั่นเองก็เป็นสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว เหมือนกับเจ้า”
เขาทำท่าราวกับเป็นสหายคนสนิทของธานอส
“ข้าเองก็สงสัยเช่นนั้นเหมือนกันขอรับ ข้าค้นพบบันทึกที่ไม่สมบูรณ์ของท่านธานอสจากปราสาทใต้ดินของราชันย์แห่งสุริยา ข้าคิดว่าท่านได้ค้นพบหนทางในการเปลี่ยนตนเองเป็นปีศาจแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ดและขจัดผลกระทบแย่ๆ จากการแปลงกายนั้นด้วยวิธีที่เหล่าพระเจ้าเทียมเท็จใช้รวบรวมสะสมเทวภาพ ผลผลิตเช่นนั้นน่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นผู้ใดก็ได้ตามความทรงจำหรือความรู้สึกด้านลบแทนที่จะแทรกแซงภาพมายาสะท้อนของพวกมันเข้าไปในตัวคน”
ยิ่งลูเซียนพูดก็ยิ่งคล่องปาก ราวกับเขาได้ตัดสินไปแล้วว่าธานอสคือจำเลย แต่ลูเซียนกลับเย็นสันหลังวูบเมื่อคิดว่าคนผู้ซึ่งมีพลังเกือบเทียบเท่ามนุษย์ครึ่งเทพเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้นแท้ที่จริงคือฆาตกร
ไรห์นถามด้วยความสับสนมึนงง “ข้ารู้นะว่าเขาศึกษาพวกปีศาจแห่งบรรพกาล ข้ายังเคยกระทั่งหาเอกสารบางอย่างให้กับเขา และข้าก็รู้วิธีการรวบรวมเทวภาพอีกด้วย แต่ความรู้สึกด้านลบที่ว่านี้ เจ้าหมายถึงสิ่งใดกัน”
“มันเกี่ยวกับห้องลับอีกห้องที่ท่านไรห์นไม่ได้ค้นพบขอรับ…” ลูเซียนอธิบายเรื่องอารามที่เขาไปเจอคทาแห่งตะวัน
ไรห์นหัวเราะขัน “เขาช่างเก็บงำเรื่องที่ค้นพบไว้กับตัวมากมายจริงๆ หากพิจารณาจากการแฝงภาพมายาสะท้อนของรูดอล์ฟที่สองแล้ว เขาคงจะพบหนทางทลายขีดจำกัดในการแปลงกายเป็นปีศาจแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ดก่อนหน้านี้แล้วเป็นแน่ แล้วเจ้าคิดว่าสัตว์ประหลาดตนนี้มีคุณสมบัติตรงตาม ‘ทฤษฎีปีศาจธานอส’ หรือไม่ หากเจ้ารู้ทุกอย่าง ณ ปัจจุบัน เจ้าจะเข้าใจอดีตและอนาคตทั้งหมด…”
“…หากว่ากันตามหลักทฤษฎีแล้ว ข้าไม่คิดว่า ‘ทฤษฎีปีศาจธานอส’ จะมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ หากมันมีอยู่จริง คงจะต้องใช้พลังงานและสมการเพื่อการคำนวณมากมายเหนือจินตนาการทีเดียว” ลูเซียนตอบคำถามของไรห์นจากมุมมองของอาร์คานาศาสตร์ ในระหว่างนั้น เขาก็คิดในใจว่า ‘ถ้ามันเป็น “ทฤษฎีปีศาจธานอส” จริงๆ ฉันจะเผยแพร่การทดลอง “แมวของชเรอดิงเงอร์[1]”!’
ไรห์นเดาะลิ้น “บางที มันอาจจะเป็นเพียงรูปแบบที่ปรับให้ง่ายลงแล้วก็ได้ เอาล่ะ เราจะทำอย่างไรกันต่อดี”
“บันทึกของท่านมาสเกลีนตัดจบในส่วนสำคัญที่สุด แต่เอกสารเกี่ยวกับวิธีการสร้างสัตว์ประหลาดคงยังอยู่ในห้องทดลองที่ท่านธานอสสร้างทิ้งไว้ตามที่พวกเขาบอกไว้แน่ๆ หากว่ามันยังไม่ถูกสัตว์ประหลาดทำลายไปล่ะก็นะ…” ลูเซียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมากระตือรือร้นอีกครา “พวกนักเวทโบราณอย่างท่านมาสเกลีนอาจมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากบันทึกการทดลอง แต่นักเวทสมัยใหม่อย่างเราต้องมองออกแน่!”
เมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของลูเซียน ไรห์นก็หลุดหัวเราะออกมา “เจ้าคงกระตุ้นพลังโลหิตได้ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในตัวแม้ว่าเจ้าจะล้มเหลวกับการเป็นนักเวทก็ตาม ฮะๆๆ เมื่อทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว ตอนนี้เราคงทำได้เพียงมุ่งหน้าไปยังห้องทดลองของธานอส แต่ปัญหาก็คือ เราจะหาที่นั่นเจอได้อย่างไรกัน”
ลูเซียนหยิบกระจกแห่งชะตาออกมา “มันสามารถบอกเรื่องราวในอดีตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างน้อยก็แม่นยำกว่าการทำนายหาจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดล่ะนะขอรับ”
ในเมื่อมาสเกลีนได้รับเพียงคำบอกใบ้แสนเลือนราง ลูเซียนจึงทิ้งความคิดที่จะทำนายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตนนั้นด้วยกระจกแห่งชะตา
ขณะถือลูกแก้วเวทมนตร์อยู่บนมือซ้าย ลูเซียนก็วาดมือขวาผ่านกระจกแห่งชะตาและร่ายคาถาแสนซับซ้อน
กระจกแห่งชะตาสีเทาพลันสั่นไหวเป็นระลอกคลื่น ก่อนที่ตัวเลขคู่หนึ่งจะปรากฏขึ้นท่ามกลางคลื่นเหล่านั้น
“ทีนี้เราก็ได้พิกัดห้องทดลองของธานอสแล้วขอรับ” ลูเซียนยิ้มกว้าง
หลังจากเกิดเสียงแตกดังเพล้ง กระจกแห่งชะตาก็แตกกระจายร่วงหล่นลง แต่มันกลับเลือนหายไปกับแสงสว่างแทนที่จะร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น
“เราจะไปตอนนี้เลยหรือไม่” ไรห์นถาม
ลูเซียนส่ายหน้า “เวลาในห้องนี้เดินเร็วเท่ากับโลกภายนอก เราต้องฉวยโอกาสนี้ฟื้นฟูซ่อมแซมอุปกรณ์ชั้นตำนานทั้งหมดขอรับ”
ขณะกล่าว เขาก็หยิบช่วงลำตัวของหุ่นเชิดขึ้นมา แล้วเสียบแขนทั้งสองข้างกับขาอีกข้างกลับเข้าที่
“ข้าก็จะกำจัดความอ่อนแอเช่นกัน” ไรห์นพยักหน้า แล้วเอนหลังพิงชั้นหนังสือ
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น มงกุฎทองคำบนมือขวาของลูเซียนก็แผ่ควันสีดำรางเลือนออกมา
“มงกุฎของมัมมี่บรรพชนงั้นรึ มันแสดงผลอะไรบ้าง” ไรห์นลืมตาขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเงิน ซึ่งกลับมาเป็นปกติดีแล้ว
ลูเซียนเดาะลิ้นด้วยความขัดใจ “มัมมี่บรรพชนไม่ได้ทิ้งข้อมูลอะไรไวเลย ข้ารู้เพียงแต่ว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นถุงมือคู่หนึ่ง เสื้อเกราะ หรือรองเท้าบู๊ทคู่หนึ่งได้ มันมีพลังป้องกันทางกายภาพในระดับที่ใกล้เคียงชั้นตำนานขั้นสูงสุด และยังมีพลังต้านทานเวทศาสตร์มืดชั้นตำนานหลายบทอีกด้วย แต่ว่า เมื่อสวมใส่แล้วจะทำให้ความคิดของคนผู้นั้นช้าลงไม่มากก็น้อย”
นิสัยชอบทิ้งข้อมูลไว้ในอุปกรณ์เวทมนตร์นั้นเริ่มต้นจากยุคสมัยจักรวรรดิเวทมนตร์ เพื่อให้ชนรุ่นหลังรับอุปกรณ์แต่ละชิ้นไปใช้ได้ง่ายขึ้น เช่น หลังจากที่ลูเซียนตรวจสอบข้อมูลแล้ว เขาก็ใช้งานกระจกแห่งชะตาได้ง่ายกว่ามาก ส่วนมัมมี่บรรพชนและราชาเทพอสูร-ลิชนั้นเป็นสัตว์อสูรผีดิบ จึงไม่แปลกที่พวกมันจะไม่มีนิสัยชอบทิ้งข้อมูลไว้
“มันเข้าคู่กันได้ดีกับดาบแห่งสัจธรรมนะ อย่างไรเสีย อัศวินก็มิจำเป็นต้องใช้หัวคิดอยู่แล้วเวลาต่อสู้ ว่ากันตามตรง นักรบอนารยชนชั้นตำนานทั่วๆ ไปก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน” ไรห์นเล่นมุก “เราควรรอให้โล่แห่งสัจธรรมซ่อมแซมเสร็จหรือไม่”
“ไม่จำเป็นขอรับ ตอนนี้เรามีอุปกรณ์ป้องกันที่แข็งแกร่งสุดๆ แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรอให้โล่แห่งสัจธรรมซ่อมเสร็จ” ลูเซียนตัดสินใจ นาฬิกาจันทรากาลกับเสื้อคลุมมหาจอมเวทคงใช้เวลาฟื้นฟูซ่อมแซมอีกครึ่งวันกว่าจะเสร็จ แต่เขาไม่อาจรั้งรอต่อไปได้
ขณะพูดอยู่นั้น เขาก็แปลงกายเป็นอัศวินชั้นตำนานและสวมมงกุฎที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นถุงมือคู่หนึ่ง
ไรห์นยืนตรงพร้อมกับเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ!”
บาดแผลสาหัสที่ได้รับจากสัตว์ประหลาดตนนั้นยังไม่หายดี และเขาก็ยังขจัดความอ่อนแอที่เกิดจากเวทเปลวไฟนิรันดร์ไปไม่หมด เขาแสดงพลังได้ราวๆ ชั้นตำนานระดับสามเพียงเท่านั้น และไม่อาจอัญเชิญพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินมาได้ในตอนนี้
หลังออกมาจากห้องทดลองลับของมาสเกลีน ลูเซียนกับไรห์นก็เดินผ่านห้องโถงสีเทาและประตูดำทั้งหลายไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหาได้สนใจกับโลกอันแปลกประหลาดที่ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว
ในตอนที่พวกเขาเปิดประตูดำบานหนึ่ง จู่ๆ ดาวหลักแห่งเทวลิขิตของลูเซียนก็สั่นสะท้าน และเขาก็สัมผัสได้ถึงภยันตรายร้ายแรง เขาจึงยกมือที่สามถุงมือมัมมี่ขึ้นอย่างไม่ลังเล
จากอีกฟากฝั่งหนึ่งของประตู เสียงเคร่งขรึมพลันดังกึกก้อง “แสงพิพากษา!”
ลูเซียนมองเห็น ‘นักบุญอีวาน’ กับ ‘เทวทูตแห่งแสง’ ผ่านทางช่องว่างของประตู!
ทั้งสองปลดปล่อยพลังโจมตีทันทีที่เห็นว่าประตูแง้มเปิดออก!
ลำแสงอันทรงพลังท่วมท้นสาดส่งลงมาจากด้านบน พิพากษาความชั่วร้ายทั้งมวลสิ้น!
เป็นครั้งที่สองแล้วที่ลูเซียนต้องเผชิญหน้ากับ ‘แสงพิพากษา’ คราวก่อน เป็น ‘จีโน’ ร่างจุติของเจ้าแห่งนรก ที่ใช้มัน แต่บัดนี้กลับเป็นพระสังฆราชแห่งศาสนจักรฝ่ายเหนือ!
ท่ามกลางแสงสว่างอันบริสุทธิ์สูงสุด ถุงมือโลหะของลูเซียนแผ่ควันดำหนาแน่นออกมา แต่มันกลับระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว
แสงนั้นส่องกระทบถุงมือ ก่อให้เกิดสะเก็ดไฟดูงดงามละลานตา
ถุงมือพลันแตกร้าวเสียงดัง ‘เทวทูตแห่งแสง’ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เรียกใช้พลัง “หอกชำระบาป!”
หอกแห่งแสงดูเย็นเยียบและส่องประกายงดงามถูกเขวี้ยงมาทางลูเซียนที่กำลังต้านทานแสงพิพากษาอยู่ ณ เวลานั้น นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องทั้งสิบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าลูเซียนและคว้าจับหอกแห่งแสงเอาไว้ แสงสว่างจึงดับมอดไป
ไรห์นเข้ามาช่วยลูเซียนได้ทันกาล!
ขณะที่แสงพิพากษาเลือนหายไป ลูเซียนก็รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของตนอ่อนปวกเปียกและรู้ได้ทันทีว่าถุงมือนั้นเสียหายหนักเกินกว่าจะใช้ได้อีกครั้งในเร็วๆ นี้ อย่างไรเสีย พลังแสงพิพากษาก็เป็นศัตรูตัวฉกาจกับอุปกรณ์เวทมนตร์จากสำนักศาสตร์มืดอยู่แล้ว
“เราต้องหนีไปให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นเราตายแน่!”
ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในหัวลูเซียน แต่การกระทำของเขากลับมิได้รับผลกระทบใดๆ นาฬิกาพกสีเงินปรากฏขึ้นในมือขวาของเขา และเสียงเข็มนาฬิกาเดินก็ดังก้องไปทั่วภายในห้องโถงสีเทา
แกร๊ก ลูเซียนกดนาฬิกาด้วยนิ้วกลาง ความว่างเปล่ารูปวงกลมครึ่งซีกก็พลันปรากฏขึ้นข้างกายอีวาน ทำให้การโจมตีครั้งถัดไปของเขาช้าลง
ลูเซียนฉวยโอกาสนี้ร่ายคาถา ‘เวทเคลื่อนที่ตรงพิกัด’ ขณะที่ประตูมิติเปิดออกและปิดลง เขาก็ก้าวพริบตาไปยังประตูดำอีกบานหนึ่ง โดยที่ไรห์นตามมาติดๆ
ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะผลักประตูเปิด ปีกบนหลังอีวานก็กำจัดเวทแรงโน้มถ่วงยุบตัวได้แล้ว และกระพรือปีกสลัดพลังศรแห่งแสงใส่ลูเซียน
เบื้องหน้าเขาคือประตูที่ปิดแน่น และด้านหลังก็มีพลังเผาไหม้แสนอันตรายไล่ตามมา ลูเซียนกัดฟันแล้วกระแทกประตูดำให้เปิดออกโดยไม่คิดหลบเลี่ยง และรีบพุ่งตัวผ่านมันไป
เปรี้ยง ‘เวทผิวหนังธาตุ’ พลันเสียหาย พลัง ‘ดูดซับเวทมนตร์’ ก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว และผลของพลังนั้นยังทำให้ ‘จัดลำดับเวทมนตร์’ และ ‘จัดลำดับการสะกด’ สิ้นฤทธิ์โดยสิ้นเชิง!
แต่ท้ายที่สุด ลูเซียนก็สามารถหลบเลี่ยงพลังที่เหลือจากศรแห่งแสงด้วยการใช้ ‘ก้าวพริบตา’ ผ่าน ‘ชนวนเวท’ เขากับไรห์นเปิดประตูดำหนีไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายและไม่อาจหยุดฝีเท้าได้!
“ตามพวกมันไป!” ‘อีวาน’ ค่อนข้างหัวเสียหลังจากล้มเหลวกับการลอบสังหารนักเวทชั้นตำนานระดับหนึ่ง
ลูเซียนเปิดประตูดำบานแล้วบานเล่าเพื่อหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต ต้องขอบคุณที่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ตั้งของห้องโถงนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงสลัดตัวหลุดจาก ‘อีวาน’ และ ‘เทวทูตแห่งแสง’ ได้ในที่สุด
“ประตูบานนี้ดูแปลกๆ มันมีลวดลายสีขาวดำแปลกตาอยู่บนนั้นด้วย” หลังจากที่พวกเขาชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย ไรห์นก็สังเกตเห็นประตูดำบานหนึ่งที่ดูค่อนข้างแปลกตา
ลูเซียนคำนวณพิกัดเสร็จ ก็ตระหนักว่ามันหาใช่จุดที่ตั้งของห้องทดลอง เขาจึงสันนิษฐานเอา “บางทีข้างหลังนั้นอาจเป็นโลกที่มีลักษณะพิเศษ เราวิ่งต่อไปอีกสักสองสามโถงเถอะขอรับ ระยะห่างในตอนนี้ยังไม่มากพอ ‘อีวาน’ อาจยังไล่ตามเรามาอยู่ก็ได้”
เมื่อครู่นี้ ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง แม้แต่คนใจเย็นอย่างลูเซียนก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้เมื่อคิดถึงมัน
ไรห์นเปิดประตูดำลวดลายประหลาดนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เข้าไปในโลกเบื้องหลังประตูบานนี้กันเถิด”
ขณะที่ประตูแง้มเปิด แสงอันศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตก็พลันสาดส่องเข้าดวงตาทั้งสอง ก่อนที่พวกเขาจะถูกห้อมล้อมด้วยเสียงเพลงสรรเสริญแสนไพเราะเสนาะหู
ศูนย์กลางของแสงศักดิ์สิทธิ์อันล้นทะลักคือโลกหน้าตาดุจหุบเขาที่มีเจ็ดชั้นซึ่งปรากฏอยู่เลือนราง โดยมีเทวทูตจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนโผบินอยู่รอบๆ นั้น
ลูเซียนอ้าปากค้างอย่างอึ้งงัน
รอยยิ้มของไรห์นแข็งค้างอยู่บนใบหน้า ก่อนที่เขาจะพึมพำกับตนเองด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“นี่มันชักจะขำไม่ออกเสียแล้ว…”
…………………………………
[1] Schrödinger’s cat เป็นการทดลองทางความคิด คิดค้นโดยนักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ การทดลองนี้แสดงสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นปัญหาของการตีความกลศาสตร์ควอนตัมแบบโคเปนเฮเกน ที่ใช้กับวัตถุในชีวิตประจำวัน โดยฉากนี้เสนอแมวตัวหนึ่งที่อาจทั้งยังมีชีวิตและตายแล้วในเวลาเดียวกัน เป็นสถานะที่เรียกว่า หลักการซ้อนทับควอนตัม อันเป็นผลจากการถูกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระดับเล็กกว่าอะตอมแบบสุ่มซึ่งอาจเกิดหรือไม่ก็ได้