บทที่ 634 ใบหน้าอันบิดเบี้ยว
นักเวทชั้นตำนานอันดับต้นๆ ทั้งสอง และหนึ่งสัตว์ประหลาดที่มีพลังใกล้เคียงระดับมนุษย์ครึ่งเทพกำลังต่อสู้พัวพันกันอย่างดุเดือด ยังผลให้โลกทั้งใบเบื้องหลังประตูสั่นสะเทือนรุนแรง กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างแผ่ไปทั่วทุกทิศทาง และอวกาศก็คล้ายกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ป่าแห่งความตายที่ดูแปลกประหลาดไร้ชีวิตชีวากลับกลายเป็นสถานที่แห่งหายนะอย่างแท้จริง
รอบศีรษะดักลาสมีอันญมณีเปล่งประกายมากมายที่ดูราวกับดาวเคราะห์เทียมอยู่รายล้อม เหมือนๆ กับนักเวทชั้นตำนานหลายคนจากจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ บ้างก็เป็นทองคำ บางชิ้นเป็นอันญมณีสีฟ้าสดใส และบางชิ้นก็เป็นทับทิมสีแดงฉาน
อันญมณีเหล่านั้นเปล่งประกายวิบวับและก่อตัวเป็น ‘ขอบเขตพลัง’ มากมายที่น่าคร้ามเกรงเมื่อเขาร่ายคาถาแต่ละบท
เสื้อสูทชายยาวของเขากลายเป็นชุดคลุมสีดำตัวยาวดูเคร่งขรึมตามแบบฉบับดั้งเดิมของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ แสงเจิดจรัสดูลุ่มลึกและชั่วร้ายไหลบ่าขึ้นมากางกั้นมหาสมุทรแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ ‘สัตว์ประหลาดเบเนดิกต์ที่สาม’ สร้างขึ้น
สิ่งของสองอย่างลอยอยู่เบื้องหน้าเขา หนึ่งในนั้นคือ ‘ลูกโลกนภาหม่น’ อุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานพิเศษของเขา และอีกชิ้นเป็นตำราเล่มหนาที่มีพื้นหลังสีดำกับลวดลายสีเงิน เมื่อกระดาษพลิกหน้าไป เวทมนตร์ชั้นตำนานก็จะถูกร่ายออกมาไม่หยุดหย่อน
ยามเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจใช้เหตุและผลหาข้อสรุปได้ ดักลาสจึงนำอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานทั้งหมดออกมาใช้ ซึ่งของสองอย่างมีพลังชั้นตำนานขั้นสูงสุด และอีกสองอย่างนั้นมีพลังชั้นตำนานระดับสาม!
ดวงตาข้างขวาของเฟอร์นันโดมิหลงเหลือสีแดงอีกต่อไป กลับกลายเป็นสีดำมืดทึบทึม เหมือนกับกระแสน้ำวนที่ก้นบึ้งมหาสมุทรและเป็นแหล่งกำเนิดความวินาศสันตะโร มันระเบิดพายุพลังทำลายล้างสูงออกมาหลายสายและทิ้งคำสาปแปลกๆ ไว้ในจักรวาล
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ป่าแห่งความตายกลายเป็นดินแดนแห่งหายนะ!
ชุดคลุมเวทมนตร์สีแดงบนตัวเขาควบคุมทุกอย่างรอบๆ นั้น เขาต่อสู้แย่งชิงอำนาจควบคุมสภาพแวดล้อมกับสัตว์ประหลาดในร่างของเบเนดิกต์ที่สามราวกับว่ามันคือเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ในมือขวาของเฟอร์นันโดมีคทาสีเข้มที่ลูเซียนไม่เคยเห็นมาก่อน
คทาด้ามนั้นขยับยุกยิกราวกับมีชีวิต แต่การเคลื่อนไหวของมันกลับไร้ซึ่งแบบแผน ให้ความรู้สึกของความโกลาหลราวกับว่าอเวจีชั้นล่างสุดกำลังจะมาเยือน ทุกๆ ครั้งหลังจากที่เฟอร์นันโดใช้มัน มันจะสร้างอาณาเขตแห่งความโกลาหลขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างภายในนั้น รวมถึงห้วงอวกาศ จะถูกทำลายลง
นักเวทชั้นตำนานอันดับต้นๆ ทั้งสองได้ใช้ไพ่ตายจนหมดหน้าตักแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะ ‘พระสันตะปาปาไร้เศียร’ ได้เสียที ‘อาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์’ ‘แสงพิพากษา’ ‘หอกชำระบาป’ ‘แตรสวรรค์’ ‘ไฟล้างบาป’ ‘กางเขนนักบุญ’ ‘สายลมครวญคร่ำ’ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’…มันร่ายคาถาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งยังสะกดข่มดักลาสกับเฟอร์นันโดได้อีกด้วย
ดักลาสนึกหวาดหวั่นเล็กน้อย หากมิใช่เพราะความสามารถของสัตว์ประหลาดตนนี้…แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นพระสันตะปาปาตัวจริง เขาก็ยังมั่นใจว่าจะกลับออกไปได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ตราบใดที่ศัตรูไม่ได้ใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’…แต่เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจสถานะของมันต่างหาก! ความจริงแล้ว สัตว์ประหลาดชั่วร้ายน่าขนลุกพรรค์นี้จะถูกพลังศักดิ์สิทธิ์สะกดข่มอย่างเป็นเรื่องปกติ แต่มันกลับใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้เหมือนกับพระสันตะปาปาตัวจริง!
“นับเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือจินตนาการอย่างแท้จริง” ดักลาสเอ่ยข้อสังเกตด้วยความรู้สึกหลากหลายผ่านทางกระแสจิต
เฟอร์นันโดยิ่งรับมือกับศัตรูได้ยากลำบากกว่า แต่เขากลับไม่นึกกังวลสักเท่าใด “เราหาโอกาสถอยไปที่ทางเข้ากันเถอะ มันหยุดเราไม่ได้หรอก!”
“ตกลง!” ดักลาสเห็นดีด้วยอย่างยิ่ง แผนการสำรวจครั้งนี้จบลงที่เตาหลอมวิญญาณ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะเสียเวลาไปกับสัตว์ประหลาดที่แปลกเหนือจินตนาการ นอกจากนี้ หากลูเซียนยังไม่ถูกสัตว์ประหลาดสังหาร เขาย่อมต้องหาทางกลับไปที่ทางเข้าในขณะที่พวกเขาหยุดมันเอาไว้
…
ต้นเดือนสิงหาคม กระทั่งสายลมยังร้อนระอุ
ภายในห้องประชุมของสภาสูงสุด ทุกคนต่างหารือกันเรื่องดักลาส เฟอร์นันโด และลูเซียนที่ยังไม่กลับมาอีกกครั้ง
“ข้าเชื่อว่าเราต้องจัดกลุ่มอีกกลุ่มเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา” บรูก จักรพรรดิแห่งการควบคุม ประสานมือขณะกวาดตามองสมาชิกคนอื่นๆ “ข้าจะเป็นผู้นำกลุ่มนี้เอง ทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
เขาทั้งเหนื่อยล้าและดูท่าทางตื่นเต้นอย่างผิดปกติวิสัย ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาพอจะคลำพบอีกหนทางหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาในการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย จากมุมมองที่ว่าอิเล็กตรอนมีคุณสมบัติเป็นคลื่น หากมิใช่ว่ามีปัญหาทางด้านคณิตศาสตร์และการทดลองที่หาคำอธิบายไม่ได้ในบางส่วน เขาก็อาจจะบรรลุผลในบางเรื่องไปแล้ว ทว่า ณ ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายสำหรับสภาเวทมนตร์ เขาก็ยังยอมละทิ้งการทดลองอย่างไม่ลังเล และตัดสินใจจะจัดตั้งทีมช่วยเหลือ
เมื่อพิจารณาว่าปีศาจชั้นตำนานในบริเวณรอบนอกอารามแห่งวิญญาณถูกดักลาสและคนในกลุ่มกวาดล้างไปแล้วส่วนใหญ่ บรูกจึงเชื่อว่าสภาเวทมนตร์ย่อมแข็งแกร่งมากพอที่จะบดขยี้พวกที่เหลืออยู่ในตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องระมัดระวังก็คือคนจากศาสนจักรฝ่ายใต้ แต่ปัญหานั้นสามารถแก้ไขได้ผ่านการสื่อสารและการต่อรอง อย่างไรเสีย สภาเวทมนตร์ก็ไม่เคยคิดที่จะทำลายห้องลับของฝ่ายนั้น หากว่าพวกเขาเองก็สนใจเรื่องความลับเบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณ มันก็เป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน
มิมีมิตรแท้หรือศัตรูตลอดกาล มีเพียงการทำตามความต้องการเท่านั้นที่อยู่ยั้งยืนยง บรูกเชื่อว่าความเห็นของลูเซียนใช้ได้กับศาสนจักรฝ่ายเหนือ ซึ่งค่อนข้างเป็นมิตรกับกับสภาเวทมนตร์อยู่แต่แรกแล้ว
“ข้าขอเสนอให้เรารอไปอีกสักหนึ่งเดือน” วิเซนเต้ เจ้าแห่งผีดิบ เอ่ยเสียงแหบแห้ง “กระแสแห่งกาลเวลาใกล้ๆ กับเตาหลอมวิญญาณเดินช้าเป็นพิเศษ ข้าว่าตอนนี้ในนั้นยังผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านประธาน เฟอร์นันโด และลูเซียนอาจกำลังไปที่ทางเข้าอยู่ก็เป็นได้ การรีบร้อนจัดตั้งทีมช่วยเหลืออาจกลายเป็นภัยร้ายแรงต่อสภามากกว่า”
เขาย่อมกระหายใคร่รู้เกี่ยวกับความลับเบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณ แต่เขาก็หวาดกลัวภัยใหญ่หลวงที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เช่นกัน
“ข้าเห็นด้วยกับวิเซนเต้ เราจะรอต่อไปอีกหนึ่งเดือน หากพวกเขายังไม่ออกมา ข้าจะไปกับเจ้าด้วย บรูก” โอลิเวอร์พยักหน้าและแสดงความเห็นของตน มิใช่ว่าเพราะเขาขลาดกลัวแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะภารกิจช่วยเหลือนั้นยังไม่นับว่าจำเป็น นักเวทชั้นตำนานอันดับต้นๆ ทั้งสองย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่อยู่ภายในนั้นง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่สิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณกลับไปหลับใหลอีกครั้ง
นอกจากนี้ เขาเองก็อยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการสร้างความคืบหน้าเรื่องฟังก์ชั่นคลื่นของอิเล็กตรอน เหมือนกับบรูก
แฮทธาเวย์เหลือบมองไปทางนาตาชาที่นั่งอยู่ข้างหลัง ครั้งนี้นาตาชาได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสภาสูงสุดเป็นการพิเศษ ก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “ศาสดาพยากรณ์ไม่ได้มองเห็นภาพว่าลูเซียนกำลังตกอยู่ในอันตรายถึงตาย หากพวกเขาไม่กลับมาภายในหนึ่งเดือนนี้ เราจะต้องเข้าไปช่วยในทันที ข้าจะร่วมทีมด้วยเช่นกัน”
ไม่นานก็ได้ข้อสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์ บรูกถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะหันไปพูดกับแฮทธาเวย์ “เจ้าได้เสนอความคิดเห็นอันยอดเยี่ยมเรื่องแบบจำลองอะตอมที่มีสองอิเล็กตรอน นี่นับเป็นชัยชนะของกลศาสตร์เมตริกซ์อย่างหนึ่ง ข้าไม่สงสัยในคุณค่าของมันอีกต่อไปแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจความหมายทางอาร์คานาเบื้องหลังมันอยู่ดี”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” แฮทธาเวย์ตอบอย่างประหยัดถ้อยคำ
บรูกหันไปมองนาตาชาอีกครา “ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจการตัดสินใจของเรานะ เพราะมันยืนยันได้ยากมากว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ แน่นอนว่าข้าจะเข้าไปรออยู่รอบนอกอารามแห่งวิญญาณ เผื่อว่าพวกเขาจะต้องการกำลังเสริม”
กลุ่มออกสำรวจอาจทำหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือได้ดีกว่า แต่บุคคลผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดย่อมหาทางหลบหนีภยันตรายได้ง่ายกว่าเมื่ออยู่ตามลำพัง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบรูกจึงตัดสินใจเข้าไปรับคนทั้งสามด้วยตัวเอง แทนที่จะจัดตั้งกลุ่มเข้าไปช่วยเหลือในทันที
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ” ใบหน้านาตาชาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หาได้มีแม้แต่ความสั่นไหวใดๆ ในดวงตาสีเงินของนาง นางลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “ท่านบรูก ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ แต่ข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าต้องกลับไปฝึกฝนพลังโลหิตและทักษะทั้งหลายต่อ การพร่ำบ่นไม่มีทางแก้ปัญหาได้ ข้าต้องใช้สิ่งที่ข้าถนัดเท่านั้น”
ภายในสถาบันอะตอม…
คาทรินาพูดกับแอนนิคด้วยความปลื้มปีติ ขณะถือ ‘อาร์คานา’ ฉบับล่าสุดอยู่ในมือ “ท่านแฮทธาเวย์ชี้แนะเส้นทางในการแก้แบบจำลองอะตอมด้วยสองอิเล็กตรอนแล้ว ช่างสมกับเป็นอัจฉริยะผู้ฉลาดหลักแหลม ฮ่าๆ มันยังพิสูจน์ความถูกต้องของกลศาสตร์เมตริกซ์ที่อาจารย์เราคิดขึ้นอีกด้วย”
“ข้าเคยคิดถึงปัญหานี้นะ แต่ข้ากลับหาทางแก้ไขไม่ได้เลยสักนิด นี่คือตัวอย่างของความแตกต่างระหว่างมหาจอมเวทกับข้ากระมัง” คาทรินาแสดงความเห็น
แอนนิค เลย์เรีย และลูกศิษย์คนอื่นๆ กำลังอ่านวารสารอยู่เช่นกัน พวกเขาต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจ
“แม้ว่ากลศาสตร์เมตริกซ์ของอาจารย์เราจะซับซ้อนและขาดความหมายที่แท้จริงไป แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือเส้นทางที่ถูกต้องจากมุมมองด้านธรรมชาติของอนุภาคและความไม่ต่อเนื่อง” สปรินต์กล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เราจะค้นพบความหมายที่แท้จริงได้ในสักวัน” ขณะพูด จู่ๆ ไฮดี้ก็หัวเราะออกมา “ตำราเรียนทั้งหลายของวิทยาลัยเวทมนตร์โฮล์ตเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว!”
บัดนี้นางกลายเป็นอาจารย์ผู้ทรงเกียรติประจำวิทยาลัย ตามรอยผู้อำนวยการและศาสตราจารย์ลูเซียน อีวานส์
“อ้อ ใช่ แอนนิค เจ้ากับสปรินต์กำลังวิจัยอะไรกันอยู่หรือ เหตุใดจึงดูลึกลับนัก” ด้วยความสนิทสนม เลย์เรียจึงถามออกไปโดยไม่คิดอะไรมากนอกจากความอยากรู้
แอนนิคเองก็ไม่คิดเก็บเป็นความลับอะไร “เราอาจจะค้นพบคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ช่องเปิดที่ผิดปกติของท่านบรูก ด้วยการนำเสนอแนวคิดสปินของอิเล็กตรอนที่มีเลขควอนตัมเป็นเศษหนึ่งส่วนสอง แต่ว่า มันยังมีปัญหาแปลกๆ หากเราอนุมานโดยยึดหลักจากเลขนั้น ความเร็วในการหมุนของอิเล็กตรอนบนผิวหน้าจะสูงกว่าความเร็วแสงมาก…”
“หา?” เชลีย์และลูกศิษย์คนอื่นๆ ต่างมึนงง
“เรายังต้องถามอาจารย์หลังจากที่ท่านกลับมา” สปรินต์กล่าว ดูท่าทางไม่มั่นใจกับการค้นพบของตนเองนัก
ส่วนไฮดี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแสนสดใสที่นอกหน้าต่าง
“เมื่อไหร่อาจารย์จะกลับมากันนะ”
…
แลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์
ในตอนที่ไรห์นเปิด ‘ประตูสู่หุบเขาวิมาน’ เมแคนทรอน ราชาทูตสวรรค์ที่อยู่ภายในห้องสวดภาวนา จู่ๆ ก็ลืมตาพรึ่บ ดวงไฟสีทองดูเหมือนจะลุกโชนอยู่ในดวงตาเขา
“ผู้ใดกัน” เขาตะโกนก้องด้วยความเดือดดาล ปีกทั้งสามสิบหกข้างกางออก แผ่กว้างจนครอบคลุมทั่วทั้งห้อง จากนั้น จุดแสงมากมายก็ปรากฏขึ้นจากปีกเหล่านั้น ทำให้ทั้งห้องดูพร่าเลือนราวกับภาพฝัน
ไม่นาน ภาพชวนฝันนั้นก็หายไป เช่นเดียวกับราชาทูตสวรรค์
เบเนดิกต์ที่สาม ที่นั่งอยู่ในห้องสมุด หาได้ทำสิ่งใดไม่ เขาเพียงเฝ้ามองความว่างเปล่าเบื้องหน้าตนเองด้วยใบหน้าหมองหม่น ดูกึ่งขบขันกึ่งขุ่นเคือง
…
“…การกำจัดเจ้าจักถือเป็นการที่ข้าให้ความเคารพแก่เจ้า”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเออร์วิน ลูเซียน ผู้ที่ดวงวิญญาณและสมองกำลังวิงเวียนมึนงง ก็เกิดหลอนว่าเสียงชายผู้นั้นดังมาจากอีกโลกหนึ่ง มันดูเหมือนว่าชีวิตเขาหาใช่ความจริงอีกต่อไป และมันกำลังจะพังทลายลง
เขาไม่อาจมัวชักช้าร่ำไร และจำต้องระเบิดตนเองบัดเดี๋ยวนี้!
เออร์วินเดินเข้ามาใกล้ลูเซียนและพูดเสียงแผ่ว “เจ้ากำลังคิดจะระเบิดพลีชีพเช่นนั้นรึ แต่ข้าเกรงว่าเจ้าคงทำไม่ได้เมื่ออยู่ภายใต้ฤทธิ์ของพลัง ‘แสงแห่งสวรรค์’ กับ ‘สายลมคืนสุข’”
“จงหลับพักผ่อนเสียเถิด แล้วบาปทั้งหลายของเจ้าจักได้รับการลบล้าง”
เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าลูเซียนไม่มีความสามารถใดในการต่อกรอีกต่อไปแล้ว
ลูเซียนพยายามอย่างที่สุดเพื่อร่ายเวทปลิดชีพตนเอง แต่พลังจิตของเขาที่ถูกแสงแห่งสวรรค์ทำให้ปั่นป่วนกลับเป็นเหมือนเครื่องยนต์สนิมเขรอะและไม่อาจใช้การได้เลยสักนิด
‘ไม่! ฉันจะไม่ยอมแพ้แบบนี้แน่!’
ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะลองพยายามดูอีกครั้ง เขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนบนอกขณะที่ทูตสวรรค์แห่งสายลมเข้ามาใกล้ จากนั้น คลื่นพลังของ ‘แสงพิพากษา’ ตรงหน้าเขาก็หายวับไป!
ท่ามกลางความตกตะลึงและสงสัย ลูเซียนมองเห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเออร์วินด้วยสองตาอันพร่าเลือนสั่นไหว บุรุษผู้นั้นดูเหมือนกำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักและยกมือทั้งสองข้างขึ้นกดแนบศีรษะอย่างแรง ในขณะที่เขาเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงแก่ชราที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ซึ่งแตกต่างจากน้ำเสียงนุ่มนวลสูงส่งก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“มง…กุฎ…สุริยัน?”
…………………………………