บทที่ 642 แปรสภาพ
ราชันเทพอสูร-ลิชและเจ้าแห่งภูตที่อยู่ซ่อนกายอยู่ใกล้ๆ กับเตาหลอมเวทมนตร์ คอยจับจ้องไปที่ทางเข้าทวารานาจักร เตรียมพร้อมจะโจมตีผู้ใดก็ตามที่หลบหนีออกมาจากที่นั่น
แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นว่าผู้รับใช้แห่งความตายบินออกมาพร้อมกับมังกรอสูร-ลิชในรูปแบบของกลุ่มควันหนา
“เจ้ากำจัดพวกมันแล้วหรือ” ราชันเทพอสูร-ลิชปรากฏกายจากความว่างเปล่า แม้จะรู้ดีว่าผู้รับใช้แห่งความตายไม่อาจสังหารดักลาสได้ แต่เขาก็ยังอดที่จะถามออกไปมิได้
ผู้รับใช้แห่งความตายปล่อยมังกรอสูร-ลิชที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะไรห์นลงกับพื้น จุดแสงสีแดงสองจุดไปรวมตัวกันในกลุ่มควันหนา ขณะที่เขาตอบกลับด้วยท่าทางมินำพา “เปล่า แต่เราไม่อาจรั้งรออยู่ในนั้นได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นเจ้าสัตว์ประหลาดอาจจะกำจัดเรา”
เขาลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนหน้านี้ครู่ใหญ่ เขาคิดว่าตนคือผู้ล่า แต่แล้วก็พบว่าเหยื่อภายในนั้นมีความโหดเหี้ยมทารุณทุกผู้ตน แม้แต่สอง ‘สุภาพบุรุษ’ หนุ่มที่ดูท่าทางอ่อนแอก็ยังอาจสังหารเขาได้ด้วยของวิเศษที่มี เขาอาจจะดับดิ้นไปแล้วหากเขามีปฏิกิริยาไม่เร็วพอ ต้องขอบคุณการคุ้มครองจาก ‘ท่านจ้าว’ ที่เขายังไม่ตาย!
“เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้ว ‘ท่าวจ้าว’ คงไม่ถือโทษเราหรอก” ราชันเทพอสูร-ลิชปลอบผู้รับใช้แห่งความตายเช่นเดียวกับตนเอง
…
ขณะที่พลังแตกต่างกันคนละขั้วทั้งสองสายโอบล้อมรอบกาย ลูเซียนก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณ ร่างกาย พลังจิต เสื้อผ้า แหวน เหรียญตรา และนาฬิกาพกต่างตกอยู่ในสภาวะอันยอดเยี่ยมมหัศจรรย์
ความรู้สึกเหนือธรรมชาติที่ราวกับเขากำลังก้มลงมองทุกสรรพสิ่งจากจุดที่สูงขึ้นไปไกลเหมือนกับตอนที่อัลเทอร์นาประทับร่างเกิดขึ้นเขาอีกครั้ง ส่งผลให้ลูเซียนแปรสภาพไปตามทิศทางนั้น ตัวเขาดูเหมือนอยู่ห่างไกลจากโลกหลัก เช่นเดียวกับโลกแห่งวิญญาณ และกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ตัวเองจากมุมมองที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างมาก ซึ่งอยู่ในสภาวะที่ทั้งสองโลกอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
มันเป็นสิ่งที่เหนือคำบรรยาย เพราะดวงจิต กายหยาบ พลังจิต และสติสัมปะชัญญะของเขาทั้งหมดอยู่ภายในวงแหวนเวท มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมองเห็นตัวเองจากมุมมองโลกภายนอก!
แต่ความรู้สึกนี้สมจริงยิ่งนัก และมันก็คล้ายกับความรู้สึกยามใครสักคนมองลงมาที่เขาจากจักรวาลอันห่างไกลในตอนที่เขาได้รับการตอบสนองของโลกความเป็นจริง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ มุมมองของเขาได้เปลี่ยนมาเป็น ‘คนผู้นั้น’ ที่เฝ้าสังเกตการณ์ตัวเขาจากจักรวาลอันห่างไกลอย่างเฉยชา
ดวงจิตกับร่างกายเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงอันพิสดารเหนือจินตนาการ บัดเดี๋ยวพวกมันก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า บัดเดี๋ยวก็ควบรวมกันเป็นสสารจับต้องได้
‘นี่มัน…’ ลูเซียนที่สังเกตการณ์ตัวเองจากด้านบน พลันตระหนักได้อย่างเลือนลางว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ตระหนักถึงความสามารถที่แท้จริงของวงแหวนเวท และความสัมพันธ์ระหว่างมันกับเตาหลอมวิญญาณ…บางทีสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวราชันย์แห่งสุริยาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สร้างวงแหวนเวทวงนี้ขึ้นมาก็ตาม
‘ถ้าเทียบการแปรสภาพประเภทนี้กับการประทับร่างของพระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน ฉันก็พอจะบอกได้ว่าพวกมันมีความแตกต่างข้อใหญ่ๆ อยู่ แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันอย่างชัดเจนในหลายๆ ด้านก็เถอะ นอกจากนี้ พวกมันต่างก็ขาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป เพราะแบบนี้ถึงมีแค่มนุษย์ครึ่งเทพเท่านั้น และเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอัลเทอร์นากับคนอื่นๆ ถึงก้าวข้ามเส้นทางแห่งความเป็นอมตะไปไม่ได้หรือเปล่านะ’ มิมีผู้ใดจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับโลกใบนี้มากไปกว่าลูเซียนอีกแล้ว เขามีทฤษฎีและข้อสันนิษฐานมากมายที่เขาสามารถนำมาใช้พิสูจน์ยืนยันได้
หลังจากถูกใช้งานมาหลายครั้งจนเกินไป รอยร้าวจางๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นบนลวดลายในวงแหวนเวทแล้ว มันดูราวกับจะแตกสลายได้หลังจากใช้งานอีกไม่กี่ครา มีเพียงราชันย์แห่งสุริยาที่จะแก้ไขมันให้เหมือนใหม่ได้อีกครั้ง หากเป็นคนอื่นคงต้องใช้เวลานานเป็นชาติกว่าจะวิเคราะห์โครงสร้างของมันให้ได้เสียก่อน
ฉับพลันนั้น ร่างกายและดวงวิญญาณของลูเซียนก็ดูเหมือนจะหลอมละลาย ก่อให้เกิดแรงดึงดูดขนานใหญ่ พวกมันดึง ‘ลูเซียน’ ที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์ตนเองอย่างเฉยชาจากมุมสูงลงมาสู่ร่างกายเขาเอง
มุมมองเหนือธรรมชาติพลันหายไป หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ลูเวียนก็กลับมามีสติแจ่มชัด เขาลืมตาขึ้นมาเห็นสัตว์ประหลาดที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
“ยอดเยี่ยม เจ้า ‘ตาย’ ไปแล้ว” ใบหน้าผอมตอบเศร้าซึมของสัตว์ประหลาดผุดรอยยิ้มขึ้น “บอกตามตรง ข้ากังวลยิ่งนักว่าเจ้าจะไม่อาจแปรสภาพด้วยวงแหวนเวทวงนี้ได้ เพราะดวงวิญญาณของเขากักเก็บหลายสิ่งหลายอย่างไว้มากมายเกินไปจนข้าไม่อาจหยั่งรู้หรือแทรกแซงเข้าไปได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปริศนามากมายซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของเจ้านะ”
“นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” ลูเซียนหยุดยิ้ม เขาค้นพบว่าตนเองอยู่ในสภาพภูตผีแสนประหลาด เขาสามารถสลายตัวและกลับมารวมตัวกันได้ทุกเมื่อ และเขายังมีพลังชั้นตำนานระดับหนึ่งอยู่เช่นเดิม อุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหมดที่มียังคงติดตัวเขาอยู่ และยังมีกระทั่ง ‘หุ่นเชิดตัวตายตัวแทน’ ในสภาพสมบูรณ์อีกด้วย
ไรห์นเองก็อยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกัน เขาหัวเราะขัน “วงแหวนเวทนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับพลังของบรรพบุรุษต้นกำเนิดเลย ดูเหมือนว่าปริศนาในการเลื่อนระดับขั้นของธานอสจะอยู่ในนี้สินะ หึๆ ข้านึกว่าข้าจะได้เลื่อนขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพหลังจากแปรสภาพเสียอีก”
“การจะเป็นมนุษย์ครึ่งเทพนั้นง่ายดายเพียงนั้นรึ ข้าเป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้ก็เพราะไวเค็นกับข้าคือสองด้านของแก่นแท้เดียวกัน เราคือรูปแบบที่แตกต่างกันของมนุษย์ครึ่งเทพตนเดียวกัน นั่นยังเป็นปัญหาของเส้นทางนี้เช่นกัน ธานอสเองก็ประสบปัญหาเดียวกันนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องกลายเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แม้จะต้องเสี่ยงมากก็ตาม ทว่า หุบเขาวิมานนั้นเป็นเพียงการหลวมรวมของโลกแห่งพลังและพลังศรัทธา ที่มันแข็งแกร่งมิใช่เพราะระดับพลังอันสูงส่ง และมันเพิ่งจะมีคุณสมบัติของพระเจ้าเที่ยงแท้ก็ตอนที่สติสัมปะชัญญะของธานอสหลอมรวมเข้ากับมัน” สัตว์ประหลาดไม่ได้เล่าอย่างลงรายละเอียด ดูเหมือนว่าเขาจะถูกห้ามมิให้บอกความลับทั้งหลาย แม้ว่าผู้ฟังของเขาจะเป็น ‘คนตาย’ ก็ตาม
ลูเซียนไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่ม ด้วยเกรงว่าสัตว์ประหลาดจะสังหารเขา หากว่าเขาไปกระตุ้นข้อผูกมัดบางประการเข้า ทว่า เขาพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไวเค็นต้องเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดก่อนจะเข้ามาในโลกแห่งวิญญาณแล้วเป็นแน่ และคอยมองหาวิธีการเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพมาตลอด สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในห้องทดลองของธานอสทำให้เขาเข้าถึงวิธีการทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เมื่อสัตว์ประหลาดถูกสร้างขึ้น เขาจึงแบ่งดวงวิญญาณของตนเองและหลอมรวมเข้ากับสัตว์ประหลาดพร้อมกับบุคลิกลักษณะเสมือนจริง เปลี่ยนมันให้เป็นร่างแยกของเขา เขาปล่อยให้สัตว์ประหลาดจัดการมาสเกลีนในขณะที่เขาฉวยโอกาสนั้นเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพโดยใช้วิธีครอบงำของราชันย์แห่งสุริยา
แต่คงจะเกิดความผิดพลาดบางอย่างขึ้นระหว่างกระบวนการนั้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สัตว์ประหลาดมีสติรับรู้ถึงตนเองในระดับหนึ่ง จากนั้นไวเค็นก็กำจัดปัญหาอื่นๆ ได้ทั้งหมด เหลือเพียงปัญหานี้เพียงอย่างเดียว ก่อนจะกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าธานอส มิเช่นนั้นคงจะอธิบายไม่ได้ในเรื่องที่ว่าเหตุใดธานอสจึงประสบปัญหาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ไวเค็นกลายเป็นผู้ชี้นำศาสนานักบุญสัจธรรมมานับพันปี
‘ไวเค็นแยกวิญญาณของตัวเองและสร้าง “สัตว์ประหลาด” เพื่อเป็นหนทางในการกำจัดปัญหาส่วนใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ เป็นเพราะงานวิจัยของเขาดีกว่าของธานอส หรือว่ามันเป็นความบังเอิญกันนะ’ ลูเซียนเลือกที่จะเชื่อข้อสันนิษฐานแรกมากกว่า ไวเค็นคงจะคาดไม่ถึงว่าสัตว์ประหลาดเองก็จะเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพหลังจากที่เขาเป็นมนุษย์ครึ่งเทพแล้ว ซึ่งทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
สัตว์ประหลาดตนนี้พูดเก่งไม่น้อย อาจเพราะมันถูกกดข่มมาเป็นเวลานานมากแล้ว “เพื่อที่จะกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพบนเส้นทางนี้ อย่างแรกเลยเจ้าต้องใช้มิติหรือโลกเบื้องหลังประตูดำที่เข้ากันได้ดีกับเจ้า จากนั้นเจ้าก็ต้องเก็บรวบรวมพลังศรัทธาเอาไว้มหาศาล หลังจากนั้น เจ้าก็ต้องหาทางหลวมรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ท้ายที่สุด เจ้าจะแปรสภาพเป็นสองสิ่งด้วยพลังงานความรู้สึกที่รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ พลังอำนาจอาจจะมากกว่ามนุษย์ครึ่งเทพโดยกำเนิด แต่ธรรมชาติของมันหาได้ดีเทียบเท่าพลังของพวกเขา”
“เฮะๆๆ แต่เราทุกคนต่างใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้ หลายต่อหลายครั้งที่มัลติมุสและอัลเทอร์นาได้แต่วนเวียนอยู่ภายนอก แต่หาได้กล้าเข้ามาในนี้ มีเพียงเจ้าอเวจีไร้สมองนั่นที่กล้าบุกเข้ามาโดยไม่ยั้งคิด”
ลูเซียนพลันเคร่งเครียด เขาเองก็ใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้เช่นนั้นหรือ ใช่ว่านั่นจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เมื่อดูจากข้อเท็จจริงที่ว่าซาร์ดสามารถใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้ด้วยชิ้นส่วนลี้ลับเพียงชิ้นเดียว ดังนั้น เขาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ท่านสัตว์ประหลาด ทั้งท่านและไวเค็นต่างก็ไม่ยอมใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ กันง่ายๆ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะหวาดกลัวว่าท่านอาจจะตาย นั่นเป็นเพราะพวกท่านต่างระแวงกันเองใช่หรือไม่ขอรับ”
มนุษย์ครึ่งเทพถือว่ามีชีวิตกึ่งอมตะแล้ว ผลสะท้อนบนดวงวิญญาณและร่างกายย่อมมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงคาดคะเนว่ายิ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ มากเท่าไหร่ ดวงวิญญาณก็จะยิ่งอ่อนแอลงและถูก ‘ตัวเอง’ กลืนกินได้ง่ายขึ้น
เพราะเหตุนี้ ไวเค็น หรือพระสันตะปาปานั้นน่าหวาดกลัวคร้ามเกรงกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ คนผู้นั้นอาจเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ครึ่งเทพหากว่าเขามีคทาทองคำขาวอยู่ในมือ
สัตว์ประหลาดแย้มยิ้มแต่มิได้ตอบอันใด มิทราบได้ว่าเขาไม่อยากพูดถึงมันหรือถูกเหนี่ยวรั้งด้วยข้อผูกมัดอยู่กันแน่ “สรุปแล้ว เจ้าไม่ควรคิดเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพด้วยวิธีการนี้ เจ้าไม่อยากจะสู้กับตนเองทุกวันหรอก ใช่ไหมเล่า”
ลูเซียนยิ้มกว้าง “ข้ามีหนทางของตัวเองแล้วขอรับ ข้าจะไม่เดินไปบนเส้นทางที่อาจเป็นทางที่ผิดหรอกขอรับ”
เขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันผิดหรือไม่เพราะการวิจัยของเขายังไม่ได้ทำการพิสูจน์ยืนยัน เขาเพียงแต่พูดทวนคำบรรยายของอัลเทอร์นาด้วยการเรียบเรียงใหม่ก็เท่านั้น
นอกจากนี้ จากองค์ความรู้ที่เขามีและความรู้สึกที่ได้รับเมื่อครู่นี้ ลูเซียนแอบคิดว่าธานอสและไวเค็นต่างก็มองว่าตัวช่วยทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกุญแจสำคัญ แต่กลับเมินเฉยสิ่งสำคัญที่แท้จริงในการเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพไป เหมือนดังที่เจ้าแห่งนรกเอ่ยเยาะหยันไว้ก่อนหน้านี้
“ดูท่าทางเจ้าจะมั่นใจมากนะ เช่นนั้น ข้าก็จะไม่แทรกเศษเสี้ยววิญญาณของข้าเข้าไปในตัวเจ้าและช่วยให้เจ้าใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้ก็แล้วกัน นั่นจะทำให้ดวงวิญญาณของเจ้าปั่นป่วนเพราะข้า เอาล่ะ สภาวะที่เจ้าเป็นอยู่นี้สามารถคงอยู่ได้เพียงสิบนาที เมื่อเจ้าจากไป เจ้าจะมิใช่ผู้บุกรุกอีกต่อไป และข้าก็จะไม่ไล่สังหารเจ้า แต่ว่า เจ้าไม่ควรแตะต้องสิ่งใด มิเช่นนั้นข้อผูกมัดทั้งหลายในตัวข้าอาจถูกกระตุ้นขึ้นและทำให้เจ้าตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริงแล้ว” สัตว์ประหลาดเอ่ยเตือน สำหรับเขา การทำให้ลูเซียนเรียนรู้เกี่ยวกับความลับของไวเค็นและออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นความสำเร็จแล้ว
เขาไม่ได้ไปหาดักลาสหรือคนที่เหลือเพราะพวกเขาต่างแข็งแกร่งเกินไปและมีแนวโน้มว่าจะเกิดความโลภ สัตว์ประหลาดรู้จักความปรารถนาเป็นอย่างดี
ลูเซียนพยักหน้า “ได้ขอรับ”
เขามั่นใจในตนเองอย่างแท้จริง เมื่อครู่นี้ การแปรสภาพได้มอบความหวังในการเลื่อนระดับขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสองในเร็วๆ นี้ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาพอจะเข้าใจและจับใจความบางอย่างได้ลางๆ ผ่านพิธีกรรมนั้น ซึ่งทำให้เขามองเห็นหนทางสู่การพัฒนาตนเองในอนาคต
“ข้าขอแนะนำให้เจ้าไปดูห้องอมตะนิรันดร์เสียหน่อย” จู่ๆ สัตว์ประหลาดก็โพล่งขึ้น “ภัยอันตรายส่วนใหญ่บนเส้นทางนั้นถูกธานอส ไวเค็น และข้าขจัดไปแล้ว เจ้าน่าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างปลอดภัย น่าเสียดายที่เราสามคนต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไวเค็นกระตือรือร้นกับการจับตัวจันทราสีเงินกับเจ้าแห่งนรก เพราะหวังจะค้นหาหนทางไขปริศนาลี้ลับจากพวกเขา”
ไรห์นแย้มยิ้ม “เจ้ากำลังใช้กลยุทธ์มากจำนวนเข้าว่า วางเดิมพันกับความเป็นไปได้ที่ว่าใครสักคนอาจเข้าใจปริศนาลี้ลับของความเป็นอมตะใช่ไหมเล่า”
“เจ้าก็พูดตรงเสียเหลือเกินนะ” สัตว์ประหลาดหันไปมองไรห์นแล้วเอ่ยหยอกล้อ มิได้มีท่าทางของสัตว์ประหลาดกระหายเลือดอีกต่อไป ทว่า ลูเซียนยังคงระแวงอีกฝ่ายอยู่ เขาเข้าใจผู้คนดีมาก เติบโตมาจากการควบรวมความรู้สึกทั้งหลาย และหลอมรวมเข้ากับบุคลิกลักษณะด้านลบส่วนหนึ่งของไวเค็น เขาคือ ‘ปีศาจ’ โดยธรรมชาติ ท่าทางเจ้าสำราญนี้เป็นเพียงเพราะเขาถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้ หากว่าเขาออกไปจากที่นี่ได้ขณะยังมีชีวิต…
ลูเซียนพยักหน้า “จริงๆ ข้าจะแวะไปที่ห้องอมตะนิรันดร์อยู่แล้วแม้ว่าท่านสัตว์ประหลาดจะไม่พูดถึง มันไม่ง่ายเลยที่จะแปรสภาพมาอยู่ในสภาวะนี้ได้”
ไรห์นไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ นั่นคือเป้าหมายยามที่เขาเข้ามาสำรวจโลกแห่งวิญญาณเป็นครั้งแรก
เมื่อลูเซียนกับไรห์นตรงไปที่เส้นทางสู่ความเป็นอมตะผ่านทวารานาจักร สัตว์ประหลาดก็แย้มยิ้มและเปรยกับตนเองว่า “ทีนี้ข้าก็ต้องไปสู้กับคนอื่นแล้ว…”
ห้องทดลองของธานอสกลับมาเงียบงันอีกครา จากแสงสว่างร้อนระอุดูบริสุทธิ์ของปราการป้องกัน ปรากฏเงาสายหนึ่งที่จู่ๆ ก็คืบคลานออกมา ภายใต้เสื้อคลุมตัวยาวสีขาวมีดวงตาสีแดงฉานและรอยยิ้มเยาะหยันตลอดกาลบนริมฝีปาก คนผู้นี้ก็คือ ‘จีโน’ ร่างจุติของเจ้าแห่งนรก!
“หากรู้เช่นนี้ ข้าคงจะเข้ามาในนี้โดยตรงแทนที่จะกลบร่องรอยด้วยบรรยากาศของจันทราสีเงินบนตัวลูเซียนแล้ว” เจ้าแห่งนรกยักไหล่ยิ้มๆ ก่อนจะกระโดดลงไปในหลุม ใช้วงแหวนเวทนั้นอีกครั้ง
รอยแตกร้าวชัดเจนมากมายที่ปรากฏขึ้นบนวงแหวนเวทเริ่มจะมีมากขึ้น หลังใช้งานเสร็จครานี้ วงแหวนเวทคงจะใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
…
ขณะรอให้บาดแผลฟื้นตัว ‘เมแคนทรอน’ ก็ส่งเสียงขึ้นจมูก “เฮอะ เจ้าสัตว์ประหลาดไวเค็นนั่นต้องการให้จักรพรรดิผู้มีพลังโลหิต ‘ราชันย์เทวทูต’ มาถ่วงเวลาเมแคนทรอนเช่นนั้นรึ ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียนี่กระไร!”
จบคำ บาดแผลบนตัวเขาก็หายดี ก่อนที่ร่างกายเขาจะบิดเบี้ยวกลายเป็นสิ่งโปร่งแสงที่ไม่อาจคาดเดาได้
“มีอะไรอยู่ภายในห้องอมตะนิรันดร์กันนะ ข้าจำไม่ได้เลยสักนิด…”
“แต่ข้าจำได้ว่านี่คือทางที่จะเข้าไปในห้องอมตะนิรันดร์…”
…………………………………