Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 645 หวนคืน (1)

บทที่ 645 หวนคืน (1)

ภายในโลกที่มีเพียงสีดำ ขาว และเทา ดักลาส เฟอร์นันโด กับลูเซียนมิได้ใช้เวทกระโดดข้ามอวกาศโดยตรง กลับพุ่งตัวบินไปพร้อมกับแผ่รังสีกดดันอันน่าเกรงขามอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ปีศาจไร้สมองก็ยังรู้ดีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับพวกเขา

“รวบรวมพลังแห่งความรู้สึกเพื่อแปรสภาพตนเองให้อยู่ในสภาวะที่คล้ายคลึงกับปีศาจแห่งบรรพกาล จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์ครึ่งเทพด้วยการควบรวมพลังแห่งศรัทธาและพลังงานแห่งอวกาศ…สมแล้วที่ท่านธานอสได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในนักเวทผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักโหราศาสตร์ ท่านคือผู้มีพลังชั้นสูงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เลื่อนขั้นพลังขึ้นสู่ระดับนั้นได้ นอกเหนือจากมนุษย์ครึ่งเทพโดยกำเนิด…” แม้ว่าดักลาสจะถือกำเนิดในช่วงปีท้ายๆ ของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ห่างไกลจากยุคสมัยของธานอส แต่เขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับธานอสผ่านการใช้ชีวิตและการทำวิจัย ดังนั้น เขาจึงให้ความเคารพชื่นชมธานอสพอสมควร

เขาเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพถูกนำเสนอต่อหน้าเขาอย่างชัดเจน คงจะเป็นการเสแสร้งหากบอกว่าเขาไม่รู้สึกสนใจ จริงๆ แล้ว คงมิมีคนผู้ใดควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ดีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นแน่

เฟอร์นันโดรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีทีเดียว เพิ่งไม่นานมานี้เองที่เขาเพิ่งจะเลื่อนขึ้นเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุด และเขาก็ยังห่างไกลจากการมีคุณสมบัติมากพอจะก้าวต่อไป ดักลาสแตกต่างจากเขาในส่วนที่ว่าดักลาสติดอยู่ที่ระดับสูงสุดมาหลายร้อยปีแล้ว และเขายังได้รับการสรรเสริญเยินยอว่าเก่งกาจเทียบเท่าราชันย์แห่งสุริยาก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพไป หากเขาตั้งใจจะทำ เขาก็สามารถรวบรวมพลังแห่งความรู้สึกและฟื้นฟูวงแหวนเวทได้ภายในสิบปี เพื่อที่เขาจะสามารถ ‘ยืม’ พลังจากหุบเขาวิมานและเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพโดยมีสัตว์ประหลาดคอยให้ความช่วยเหลือ ถ้าหากว่าการแปรสภาพของเขาไม่ล้มเหลวล่ะก็นะ

ทว่า ปัญหามากมายที่ธานอสกับไวเค็นประสบพบเจอหลังจากที่พวกเขากลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพก็ได้แสดงให้เขาเห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน ในโลกแห่งปัญญาของเขา เส้นทางจากทฤษฎีสัมพัทธทั่วไป แม้มันจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่มันก็ได้แสดงถึงความสดใสรุ่งโรจน์ในภายภาคหน้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกำจัดความโลภโมโทสันไปได้อย่างไม่ยากเย็น โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางเดิมของเขาเพิ่งจะเผยแสงนำทางแรกขึ้นมาและห่างไกลจากคำว่าหมดหวังอย่างยิ่ง

“ตามความเห็นของข้า พวกเขาเพียงแต่ถูกความปรารถนาครอบงำ และสิ่งที่ทำก็เป็นการกระทำที่โง่เง่าสิ้นดี ปีศาจแห่งบรรพกาลหาใช่มนุษย์ครึ่งเทพอยู่แต่แรกแล้ว การแปรสภาพให้อยู่ในสภาวะนั้นจะเกิดประโยชน์อันใด นอกเหนือจากความสะดวกสบายในการรับเอาพลังแห่งศรัทธาเข้ามาหลวมรวม” เฟอร์นันโดไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะตำหนิธานอส บรรพบุรุษในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ อย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่า งานชิ้นนี้มีคุณค่าในตัวมันเอง นั่นก็คือการเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวให้แก่เรา!”

“แต่ว่า ไวเค็นที่ใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้หลายครั้งก็ถือเป็นภัยร้ายแรงอย่างที่สุด เรายังไม่มีความสามารถใดจะไปรับมือกับเขา ดังนั้น นอกเหนือจากการพยายามอย่างหนักเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เรายังต้องศึกษาเส้นทางที่เขาใช้เพื่อเป็นมนุษย์ครึ่งเทพเอาไว้ด้วย เพื่อค้นหาจุดอ่อนของเขา” ดักลาสกล่าวด้วยความรอบคอบ มิมีผู้ใดจะล่วงรู้ได้ว่าไวเค็นยังใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้อีกกี่ครั้งติดต่อกัน ยกเว้นสัตว์ประหลาดไวเค็น “เราไม่อาจล้มเลิกความคิดเกี่ยวกับเส้นทางนี้ไปเสียทั้งหมดเพียงเพราะว่ามันล้มเหลว มันถึงเวลาเหมาะสมแล้วที่เราจะเพิ่มเรื่องปีศาจแห่งบรรพกาลเข้าไปในงานวิจัยของเรา”

ลูเซียนพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม การศึกษาเรื่องปีศาจแห่งบรรพกาลจะช่วยให้เขาเข้าใจปริศนาและแก่นแท้ของการแปรสภาพ รวมทั้งสัจธรรมของโลก “สักวันหนึ่ง ข้าจะไปสำรวจอนุสรณ์สถานโบราณที่อยู่ชั้นลึกสุดของนรกภูมิขอรับ”

ด้วยเพราะเจ้าแห่งนรกสนใจในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง ลูเซียนจึงยังมิอาจหาญเดินทางไปนรกภูมิจนกว่าเขาจะกลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุด

“ตราบใดที่เจ้ามอบผลประโยชน์ให้เจ้าแห่งนรกได้มากพอ เขาย่อมไม่สนใจ แม้ว่าเจ้าจะสังหารดยุกแห่งนรกไปสักตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ‘ไร้สาระ’ อย่างเช่นการทำลายภาพมายาสะท้อนของเขา แต่ว่า เราต้องพึงระลึกไว้ว่าเขาอาจลักลอบเตรียมแผนการร้ายเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า” เจ้าแห่งนรกมิใช่คนแปลกหน้าสำหรับดักลาส ผู้เคยไปสำรวจนรกภูมิมาแล้วหลายครั้ง “หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ข้าจะไปที่อนุสรณ์สถานโบราณในชั้นลึกสุดของนรกภูมิเพื่อเก็บ ‘ทรัพยากร’ มาไว้ใช้ในการวิจัยของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงหรอก”

“อย่าห่วงเลยขอรับท่านประธาน ภารกิจนี้มีเรื่องมากพอให้ข้าต้องย่อยข้อมูลไปอีกนานเลยทีเดียวขอรับ อีกอย่าง จนกว่าข้าจะกลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุด ข้าขอไปที่อเวจีดีกว่านรกภูมิขอรับ” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เมื่อเฟอร์นันโดได้ยินคำว่า ‘ภารกิจนี้มีเรื่องมากพอ’ เขาก็พลันนึกถึงห้องอมตะนิรันดร์แล้วพึมพำออกมา “ปริศนาแห่งความเป็นอมตะคือภาพของจักรวาลเช่นนั้นรึ นี่มันปริศนาประเภทใดกัน เป็นความจริงงั้นหรือที่เจ้าต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ครึ่งเทพเพื่อจะมองมันได้เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งน่ะ”

“ข้าไม่คิดเช่นนั้นขอรับ ภาพของจักรวาล เช่นเดียวกับแก่นแท้ที่ไม่อาจเข้าใกล้และไร้คำใดจะอธิบายมันได้ อาจมีความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะก็เป็นได้ขอรับ”

“เฟอร์นันโด เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าทุกวันนี้เรายังไม่ค้นพบดาวเคราะห์ในอวกาศเลยสักดวง เราไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้เลยแม้ว่าเราจะขึ้นไปมองโลกทั้งหลายจากมุมสูง ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างปิดบังเอาไว้ ทว่า ภาพของจักรวาลกลับซ่อนอยู่ภายในห้องอมตะนิรันดร์ สองอย่างนั้นอาจมีความเกี่ยวข้องกัน หากเราไขปริศนานี้ได้ เราก็อาจจะได้สัมผัสถึงปริศนาแห่งความเป็นอมตะ” ดักลาสวิเคราะห์สถานการณ์ภายในห้องอมตะนิรันดร์จากมุมมองของอาร์คานาเพียงอย่างเดียว

ลูเซียนเอ่ยขณะครุ่นคิดอย่างหนัก “ภาพของจักรวาลภายในห้องอมตะนิรันดร์อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราไม่อาจค้นพบดาวเคราะห์ได้จริงๆ ก็เป็นได้ขอรับ”

ทว่า ความสัมพันธ์อาจเป็นแบบตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนคิดจินตนาการเอาไว้ ลูเซียนพอจะพิจารณาและคาดเดาได้ แต่เขาจำเป็นต้องมีทฤษฎีกับปรากฏการณ์เพิ่มขึ้นเพื่อยืนยันและปรับเปลี่ยนพวกมัน

การสำรวจหาความจริงของโลกนั้นต้องใช้ทั้งข้อสันนิษฐานแสนอาจหาญและการพิสูจน์ยืนยันอย่างรอบคอบ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมิได้!

เฟอร์นันโดแย้งกลับด้วยติดเป็นนิสัย “ก็ใช่จะเป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว ไม่ใช่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปหรอกหรือที่ระบุว่าแสงจะโค้งงอเมื่ออยู่ในสนามแรงโน้มถ่วง บางที ตำแหน่งของดาวเคราะห์ทั้งหลายที่เราคำนวณออกมาโดยใช้เส้นตรงอาจจะขัดแย้งกับความเป็นจริงอย่างใหญ่หลวงเลยก็ได้”

“เป็นไปได้มากทีเดียว” ดักลาสกับลูเซียนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ตัวลูเซียนนั้นรู้ดีว่าปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘เลนส์ความโน้มถ่วง[1]’ นั้นมีอยู่จริง แน่นอนว่า มันยังต้องได้รับการระบุยืนยันจากปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และ ‘การทดลองภาคสนาม’ ทั้งหลายเสียก่อน

เมื่อมิมีผู้ใดโต้แย้ง เฟอร์นันโดก็หมดความสนใจที่จะถกเถียงเรื่องนี้ต่อโดยพลัน เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “มันยังมีปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องอยู่อีก ตอนที่เราไปสำรวจ ณ สุดขอบมหาสมุทรไร้พรมแดน เราควรจะไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งของเทือกเขาไร้แสงตามทฤษฎีของดักลาส ทว่า เมื่อใดที่นักเวทชั้นตำนานไปสำรวจมหาสมุทรไร้พรมแดนหรือมหาสมุทรแสงจันทร์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขาไร้แสง พวกเขามักลงเอยที่การกลับไปยังบริเวณเดิมขณะเดินทาง ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนทิศทางอย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยืนยันว่าโลกของเราเป็นทรงกลมด้วยการเดินทางวนรอบมัน”

นั่นคือหนึ่งในความลึกลับที่โด่งดังที่สุดหลังจากดักลาสนำเสนอทฤษฎีการเคลื่อนไหวของวัตถุในฟากฟ้า ลูเซียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนและนึกสงสัยว่าเป็นเพราะการพับตัวของอวกาศ แต่เขาก็มึนงงกับเหตุผลนี้มาตลอด แต่ว่า หลังจากที่เขาเปิดประตูห้องอมตะนิรันดร์และได้เห็นภาพจักรวาลแสนคุ้นตา เขาก็นึกถึงข้อสันนิษฐานบางอย่าง เขาคิดกับตัวเองว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะไปสำรวจมหาสมุทรไร้พรมแดนหลังจากที่เขาทำความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้จากภารกิจจนหมดแล้ว

เฟอร์นันโดเอ่ยขึ้น พลางเยาะหยันเจ้าแห่งนรกอย่างไร้ปราณีอีกครา “มัลติมุสคิดอยู่เสมอว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุด แต่ในความคิดข้า เขามันก็ไร้สมองพอๆ กับอเวจีนั่นแหละ ปริศนาแห่งความเป็นอมตะจะมีอยู่ที่นั่นให้ทุกผู้คนได้เห็นและเรียนรู้ได้อย่างไรกัน มันควรจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แบบเดียวกันกับวิถีโคจรของดวงดาว ธรรมชาติของธาตุต่างๆ ภูมิศาสตร์กายภาพ หรือวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เว้นแต่ว่ามันมีปริศนาเกี่ยวกับความเป็นอมตะอยู่ในนั้น คนเราย่อมเรียนรู้เกี่ยวกับมันได้ผ่านการทำวิจัยเท่านั้น!”

“มัลติมุสหัวเราะด้วยความผิดหวังโดยไม่ถามคำถามใดหลังจากที่ได้เห็นภาพจักรวาล ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าเขามิได้ฉลาดไปกว่าอเวจีเลย และเขาก็ไม่อาจขจัดความเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสติปัญญาต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปได้!”

‘อาจารย์ ท่านจะใจร้ายเกินไปแล้ว นั่นมันวิธีการคิดแบบฉบับจอมเวทนะขอรับ เจ้าแห่งนรกจะมีวิธีคิดแบบนั้นได้อย่างไรกัน’ ลูเซียนส่ายศีรษะยิ้มๆ

ดักลาสเองก็มีท่าทางเช่นเดียวกับลูเซียน ‘เจ้าวิจารณ์ข้าที่ถามคำถามมากไปแต่หัวเราะเยาะมัลติมุสที่ไม่ถามคำถามใดเลย คงมิมีผู้ใดถูกต้องในสายตาเจ้าแล้วล่ะ’

เขาส่ายหน้าด้วยความขบขัน “เอาล่ะ เราเลิกคุยถึงเรื่องภาพจักรวาลภายในห้องอมตะนิรันดร์กันก่อนเถิด เรายังต้องจดจ่ออยู่กับทฤษฎีอาร์คานาในปัจจุบัน บางที หลังจากที่เราเข้าใจปริศนาของโลกจุลภาคกับอวกาศที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เราย่อมได้คำตอบของปริศนาแห่งความเป็นอมตะที่ซ่อนอยู่ในภาพจักรวาลตามมาเอง”

“นั่นคือวิธีการที่ถูกต้องที่สุดแล้วขอรับ” ลูเซียนเห็นด้วย จากนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ “ท่านประธานขอรับ เรื่องท่านธานอสกับไวเค็น เราควรจะเผยแพร่ความลับเหล่านี้ให้กระจายเป็นวงกว้างเพื่อสั่นคลอนรากฐานความศรัทธาของศาสนานักบุญสัจธรรมและสร้างข้อกังขาให้กับเหล่าพระคาร์ดินัลหลวงดีไหมขอรับ หรือว่าเราควรจะเก็บความลับไว้เพื่อใช้พูดคุยดึงดูดนักบวชบางคนให้มาอยู่ฝ่ายเราขอรับ”

“เผยแพร่เป็นวงกว้างงั้นรึ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ก่อตั้งขึ้นมาหลายปีแล้ว เหล่าผู้ศรัทธาต่างคุ้นเคยกับข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับศาสนจักรดี บางเรื่องยังฟังดูน่าเหลือเชื่อกว่าเรื่องนี้เสียอีก ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ค่อยดีนักหรอก” ดักลาสเอ่ยอย่างครุ่นคิดหนัก

นั่นคือสำหรับไม่กี่ประเทศทางชายฝั่งด้านนี้ของช่องแคบสตอร์มและแนวชายฝั่งทางตอนเหนือเท่านั้น เพราะว่าทุกๆ หัวมุมถนนจะมีวิทยุเวทมนตร์สองสามเครื่องอยู่ในบริเวณนั้นๆ เจ้าของวิทยุหากไม่ใช่สมาชิกสภาเวทมนตร์ก็จะเป็นผู้ที่ติดนิสัยฟังวิทยุกันเป็นกลุ่ม ผลที่ได้ก็คือ ความครอบคลุมในการออกอากาศของรายการ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ เพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ หลังจากที่อาณาจักรโฮล์มและประเทศอื่นๆ ให้การสนับสนุนสภาเวทมนตร์ ‘เขตกระจายเสียง’ และ ‘จัตุรัสกระจายเสียง’ ที่ลูเซียนคิดค้นขึ้นก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้รายการวิทยุเป็นที่นิยม มอบโอกาสให้กับสามัญชนส่วนใหญ่ได้ฟัง ‘เสียงแห่งอาร์คานา’

ส่วนประเทศอื่นๆ ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของช่องแคบอย่างเช่นจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจากขุนนางชั้นสูงที่ไม่ถูกควบคุมแล้ว วิทยุเวทมนตร์แทบจะไม่พบในบ้านเรือนของสามัญชนเลย ทางศาสนจักรจึงไม่ต้องพยายามหรือมีความจำเป็นในการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ทำงานคล้ายๆ กันให้เป็นที่นิยมแพร่หลาย พวกเขาเพียงกระจายเสียงจากโบสถ์เพื่อดึงดูดให้เหล่าผู้ศรัทธาไปสวดภาวนา ดังนั้น ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ จึงแทบเข้าไปครองพื้นที่แถบนั้นมิได้เลย สายลับที่ทางสภาเวทมนตร์ส่งเข้าไปยังคงมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย

ในสายตาลูเซียน นั่นแทบจะเหมือนกับภาพยนตร์สายลับเลยทีเดียว

เฟอร์นันโดกล่าวเสริม “ก่อนหน้านี้ราชาทูตสวรรค์อยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์ การกลับมาของเขาบ่งชี้ว่าไวเค็นอาจรู้แล้วว่าความลับของเขาถูกเปิดเผยเป็นที่เรียบร้อย เขาย่อมเตรียมพร้อมรับมือว่าเราอาจพยายามเกลี้ยกล่อมนักบวชบางคนมาเป็นพวก เราจะประมาทมิได้”

“ทำไมเราถึงไม่ทำทั้งสองอย่างเลยเล่า เราจะเผยแพร่เรื่องราวกึ่งความจริงผ่านทาง ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ สั่นคลอนรากฐานแห่งศรัทธาของพวกนั้น และทำให้ไวเค็นคิดว่าเรายังมิได้ล่วงรู้ทุกความลับของเขา ในขณะที่เราเก็บข้อมูลหลักไว้กับเรา คอยมองหาโอกาสเพื่อโน้มน้าวเหล่านักบวชให้มาอยู่ฝั่งเรา” ดักลาสครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญขั้นสุดยอด เราค่อยปรึกษาหารือและตัดสินใจหลังจากประชุมกับสภาสูงสุดเถิด”

ขณะพูดคุย ทั้งสามก็มาถึงฐานที่มั่น

ภายในวงแหวนเวทป้องกัน บรูกผู้สวมผมปลอมสีขาว มองมาทางทั้งสามคนพลางดันแว่นตากรอบทองขึ้น เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วกล่าวว่า “ดีจริงๆ ที่กลับมากัน…”

เบิร์กเนอร์ ศาสดาพยากรณ์ผู้ยังคงสวมหมวกทรงแหลมสีเทาเองก็แย้มยิ้มกว้าง “ผู้มีพลังชั้นตำนานอันดับต้นๆ ทั้งสองย่อมไม่มีทางสิ้นชีพง่ายๆ หรอก”

………………………………………………………………………

[1] เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับแสงที่เดินทางมาจากแหล่งกำเนิดส่องสว่างไกลโพ้น แล้วเกิดการบิดโค้ง เนื่องจากแรงดึงดูดของวัตถุมวลมาก (เช่น กระจุกดาราจักร) ที่อยู่ระหว่างแหล่งกำเนิดแสงกับผู้สังเกต เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ไอน์สไตน์ทำนายเอาไว้จากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท