ดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านละอองสีเลือดที่ดูมืดสลัวและเย็นชา แต่ที่จริงแล้วมันร้อนแรงแผดเผายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในโลกวัตถุหลัก ธารลาวาที่ไหลอยู่ด้านล่างบนที่ราบก็เพิ่มความร้อนขึ้น ทำให้อุณหภูมิสูงกว่าหกสิบองศาตลอดทั้งปี มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้เลยแม้ว่าพื้นที่นี้จะไม่มีคำสาปหรือสารพิษใด ๆ ก็ตาม
แสงสีเงินสว่างวาบเป็นรอยเฉือนรูปพระจันทร์เสี้ยว ก่อนที่จะจางหายไปในอากาศอันเบาบาง ทิ้งภาพลวงตาและรอยแยกอันน่ากลัวซึ่งดูเหมือนจะทะลุผ่านอเวจีขึ้นมาบนนี้
ปีศาจหลายร้อยตัวที่นำโดยสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายงู 6 แขน หยุดชะงักลงทันทีราวกับว่ามีใครบางคนร่าย ‘หยุดเวลา’ ใส่พวกมัน วินาทีต่อมาร่างของพวกมันก็ระเบิดออกราวกับเป็นน้ำพุเลือด ชิ้นส่วนร่างกายต่าง ๆ กระเด็นตกกระทบพื้นเหมือนฝนเม็ดเล็กๆ
“เจ้าควบคุมพลังระดับตำนานของ ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ” เมื่อได้เห็นฉากนี้ ลูเซียนก็ไม่ลังเลที่จะชมเชย นาตาชาไม่ได้ถือ ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ แต่เป็น ‘ยุติธรรมจืดจาง’ นางกำลังฝึกควบคุมพลังโลหิตของนางอย่างจากการสังหารปีศาจ
นาตาชาอารมณ์ดีมาก “ข้าไม่ใช่อัศวินที่มีดีแค่พละกำลังหรอกนะ แต่ข้าก็เป็นผู้ที่ควบคุมพลังได้ดีเช่นกัน ในช่วงสามปีที่ข้าใช้เวลาอยู่ในอารามหลวง หลังจากที่ข้ากลายเป็นอัศวินอาภา ข้าก็สามารถเข้าใจเจตจำนง และร่างกายของข้าได้อย่างแท้จริง…”
นางยอมรับคำชมของลูเซียนอย่างไม่ขัดเขิน จากนั้นนางก็พูดด้วยความเสียใจว่า “น่าเสียดายที่เราไม่ได้พบปีศาจระดับสูงระหว่างทางเลย เราไม่เห็นดยุกปีศาจ และไม่ต้องพูดถึงเจ้าแห่งปีศาจเลย ข้ายังไม่ได้ออกแรงเต็มที่เลย และข้าก็ยังมองหาสถานที่ที่จะสามารถพัฒนาตัวเองได้”
“อเวจีแต่ละชั้นจะมีเจ้าแห่งปีศาจได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น กล่าวคือถ้าดยุกปีศาจไม่สามารถควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ในพื้นที่ของตัวเองได้ มันก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากอเวจี และไม่ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นเจ้าแห่งปีศาจ” ลูเซียนอธิบายให้นาตาชาฟังด้วยรอยยิ้ม แม้ว่านางจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับอเวจีมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากลูเซียน การศึกษาเกี่ยวกับปีศาจเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับนักเวททุกคน “ดังนั้นหากไม่มีการร่วมงานกัน เราก็จะไม่เห็นใครเลยนอกจากราชันย์โลหิตที่มักจะอยู่บนที่ราบสีแดง”
ในห้วงอเวจี นอกจากเจ้าแห่งภูติผี เดโมกอร์กอนแห่งความมืด และปีศาจที่พิเศษอีก 2-3 ตัว นอกนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่มีชื่อเรียก แต่มีเพียงฉายาที่ผู้เชี่ยวชาญของโลกวัตถุหลักตั้งขึ้น
ราชาแห่งอเวจีหลายตนเป็นที่รู้จัก พวกเขามีสิบแปดตนซึ้งมากกว่านรกเก้าชั้นสามเท่า แต่เมื่อไม่มีใครรู้ว่าอเวจีมีกี่ชั้น ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามีปีศาจระดับตำนานกี่ตนกันแน่ แม้แต่ไรน์ที่เป็นถึงเจ้าชายแวมไพร์ที่มีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีก็ไม่แน่ใจเช่นกัน สมควรแล้วที่จะถูกเรียกว่า ‘ระนาบก้นสมุทร’
แต่เพราะการเข่นฆ่ากันเอง และการที่พวกเขาต้องการความแข็งแกร่งจึงต้องเอาชนะและดูดซับพลังของราชาตนอื่นๆ ดังนั้นอเวจีจึงไม่ได้ทรงพลังเท่ากับขุมนรกที่มีดยุกปีศาจเพียงเก้าตน หลังจาก ทิโฟทิดิส ดยุกแห่งน้ำแข็ง และเจ้ามหาลัทธิอาเจนต์ตายไป ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาปีศาจระดับตำนานตัวใหม่เติบโตขึ้นมาในนรกเงียบงัน และได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าแห่งนรก ให้เป็น ‘ดยุกแห่งน้ำแข็งตนใหม่’
หลังจากได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าแห่งนรก เขาได้รับการตอบรับและพัฒนายกระดับมิติพิเศษ ดังนั้นเขาจึงพัฒนาจากระดับตำนานขั้น 1 เป็นระดับตำนานขั้น 2 ได้อย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่า ‘ดยุกแห่งน้ำแข็ง’ ตนใหม่มีไหวพริบและเจ้าเล่ห์เป็นพิเศษ เขาเป็นที่รู้จักในนาม ‘เจ้าแห่งความลึกลับ’
“ฮิฮิ มันจะดีมาก ถ้าเราได้พบกันราชันย์โลหิต!” แม้ว่านาตาชาจะกระหายการต่อสู้ แต่นางก็ไม่ต้องการให้ตัวเองและสามีตกอยู่ในอันตราย
มัลฟิวเรียนถูกล้อมรอบด้วยแสงสีเขียวราวกับว่าพืชจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเติบโตงอกออกมาจากเขา มันสดชื่นและสำราญใจทั้งที่มันตรงกันข้ามกับสภาพแวดล้อมที่แย่อย่างมาก เขาสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างตั้งใจเพราะถ้าหากมีการซุ่มโจมตีจากราชาปีศาจที่มองเห็นการพูดคุยอย่างครึกครื้นของนาตาชา และลูเซียนราวกับว่าพวกเขากำลังเดินเล่นอยู่ในย่านชานเมือง
จากคำแนะนำทางโหราศาสตร์ และกระจกแห่งชะตา ตอนนี้ลูเซียนก็ได้เปลี่ยนทิศทางแล้ว ทันใดนั้นภาพภายในลูกแก้วก็ชัดเจนขึ้น!
ภายในวงแหวนหินสีขาวขนาดมหึมา โคลนสีเลือดพุ่งขึ้นอย่างน่าประหลาดจนดูเหมือนแท่นบูชาลึกลับ!
กำแพงเปื้อนเลือดรอบแท่นบูชาถูกสลักด้วยลวดลายลูกบาศก์ที่ซับซ้อน ใครก็ตามที่เห็นสิ่งนี้จะถูกปีศาจราคะจับและฆ่าทันที ลวดลายพวกนี้แผ่ออกมาจากด้านบนของแท่นบูชา และดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับที่ราบสีแดงทั้งหมด เหนือแท่นบูชาก็เปล่งแสงสีเขียวเรืองรองราวกับว่าโลกภายในนี้มีสภาพแวดล้อมเหมือนป่าสตรู๊ป
นอกวงกลมของโขดหินเป็นป้อมปราการเปื้อนเลือดที่มีซากศพของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งหัวใจ ลำไส้ ศีรษะ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
มันคือ ‘ป้อมปราการเลือดเนื้อ’ ของราชันย์โลหิต!
“นี่ดูเหมือนจะเป็นที่มาของสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง…” เมื่อมองไปที่ลูกแก้ว ลูเซียนก็รู้สึกประหลาดใจไม่มากก็น้อย “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีใช่ไหม?”
หลังจากค้นหาแหล่งที่มาของการขยายตัวของรอยแยกแห่งอเวจีแล้ว มัลฟิวเรียนก็ไม่นิ่งเฉยเหมือนตอนที่เขาเข้าไปในดินแดนอย่างลังเลอีกต่อไป เขามองไปที่ลูกแก้วอย่างครุ่นคิดและพูดว่า “ไปตรวจสอบกันก่อนดีกว่า เราจะพยายามตรวจสอบพวกมันหากทำได้ แต่ถ้าศัตรูนั้นน่ากลัวเกินไป เราจะล่าถอยและอัญเชิญระดับตำนานให้มากกว่านี้”
นาตาชาหุบยิ้มจากนั้นนางก็พูดอย่างเคร่งขรึม “พวกเขาอาจจะซุ่มโจมตีเราอยู่ มันง่ายและราบรื่นเกินไป…”
อย่างไรก็ตามมันสอดคล้องกับลักษณะของปีศาจที่พวกเขาไม่ต้องใช้แผนการที่ซับซ้อนได้
…
กองโคลนที่ดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชานั้นภายในกว้างขวางมาก ป่ารกทึบกำลังปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมา ที่ใจกลางของต้นไม้มีวัตถุสีเขียวที่ล้อมรอบด้วยจุดสีเขียวที่มีการเปลี่ยนแปลงสม่ำเสมอ และทำให้เกิดความรู้สึกแข็งแรง
ถัดจากวัตถุสีเขียว ปีศาจยักษ์ที่มีเกล็ดเลือดเล็ก ๆ ทั่วร่างกายกำลังเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย ปีกบนหลังของมันส่องประกายระยิบระยับจากเลือดและการเผาไหม้
สิ่งที่พิเศษที่สุดของปีศาจตัวนี้คือมันมีสองหัว หนึ่งในนั้นดูเหมือนหัวสุนัข เว้นแต่ว่ามันมีสองเขาเหมือนเขาแกะ ในขณะที่อีกหัวดูเหมือนแพะที่มีหน้ามนุษย์
“ข้าบอกว่าข้าเกลียดสภาพแวดล้อมแบบนั้นที่สุด! ให้ตายเถอะข้าจะทำลายมัน!” หัวสุนัขคำรามออกมา ดวงตาสีทองของมันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และการทำลายล้าง
หัวแพะหน้ามนุษย์หัวเราะเบา ๆ “เจ้าช่างไม่มีความอดทนกับช่วงเวลาสั้นๆ เอาเสียเลย ไม่แปลกใจที่เจ้าจะถูกข้าข่มอยู่ตลอดเวลา”
“ซักวัน ข้าจะจัดการเจ้า!” หัวสุนัขเหวี่ยงไปข้างหน้า และอ้าปากอันน่าขนลุกจะกัดหัวอีกฝ่าย
หัวแพะหันไปรอบ ๆ และหลบราวกับว่ามันเคยชินกับ ‘การทารุณตัวเอง’ เสียแล้ว “เจ้าปัญญาอ่อน เจ้ากำลังพยายามทำลายแผนของเราหรือ? เจ้าอยากถูกลงโทษหรือไง?”
หัวสุนัขหยุดกึก มันพ่นลมและคำรามออกมา “แผนจะช่วยได้อย่างไร? เราควรจะเดินหน้าต่อไป!”
มันไม่สร้างความวุ่นวายอีกต่อไป การเชื่อฟังผู้ที่มีพลังมากกว่าเป็นพฤติกรรมทั่วไปของปีศาจ หากผู้มีพลังไม่สามารถจัดการปีศาจพี่มีพลังน้อยกว่าได้ ปีศาจเหล่านั้นก็ไม่รังเกียจที่จะทรยศและลอบสังหาร ความเป็นจริงเมื่อพวกมันสับสนมากที่สุด พวกเขามักจะพยายามโค่นล้มผู้ที่มีพลังมากกว่าโดยไม่คำนึงถึงช่องว่างของความแข็งแกร่ง
“ทำไมข้าต้องเสียเวลาอธิบายแผนให้เจ้าฟังล่ะ? เจ้าเข้าใจไหม” แพะหน้ามนุษย์พูดอย่างดูถูก “สรุปแล้วเราต้องรอผู้ตรวจสอบของสภาเวทมนตร์และเอลฟ์ที่นี้ จากนั้นเราจะมี ‘การต่อสู้ที่ดุเดือด’ กับพวกเขาก่อนที่เราจะ ‘พ่ายแพ้’ และหนีออกจากที่นี้พร้อมทั้งทิ้ง ‘เบาะแส’ ให้กับพวกมัน”
“เราไม่ฆ่าพวกมันหรอกหรือ?” หัวสุนัขไม่เข้าใจ “ประเด็นคืออะไร?”
มันรู้สึกว่ามันไม่สามารถจัดการกับมัลฟิวเรียนบนที่ราบสีแดงได้ แต่ไม่ว่าใครที่สภาเวทมนตร์ส่งมามันก็ไม่สน!
“ข้าบอกว่าเราต้องพ่ายแพ้!” แพะหน้ามนุษย์ขี้เกียจเถียงกับคนงี่เง่า เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วที่ไม่สามารถก้าวหน้าได้เพราะความงี่เง่านี้
แต่มันก็เชื่อด้วยว่าบนที่ราบสีแดงนี้จะทำให้พวกมันได้รับความแข็งแกร่ง และศัตรูก็จะอ่อนแอลง มันเชื่อว่าต่อให้ดักลาสหรืออะเกลียยามาเอง มันก็สามารถหลบหนีออกไปได้ ไม่มีใครในอเวจีนอกจากชนกลุ่มน้อยที่ชื่นชอบการสะสมข่าวกรอง เทพอสูรของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดีที่พวกมันจะปฏิบัติตาม