Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 660 อัญเชิญ

บทที่ 660 อัญเชิญ

ภายในเขตอีเกรต…

บัคเดินนำไฮดี้ผ่านกระท่อมหลังเตี้ยดูโกโรโกโสไปยังสถานที่แสนชำรุดทรุดโทรมและเงียบงันซึ่งมีหญ้าขึ้นรกครึ้ม มันดูน่าขนลุกขนพองแม้แต่ในยามกลางวันแสกๆ

“ที่ตรงนี้มีคนไร้บ้านมาใช้อาศัยซุกหัวนอน แต่ช่วงกลางวันพวกเขาจะออกไปหางานทำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ขอรับ” บัคชี้ไปทางกำแพงโทรมๆ ขณะอธิบาย

หลังจากเดินลัดเลาะมาตามห้องที่สร้างจากดินโคลนสภาพจะพังแหล่มิพังแหล่มาสองสามห้อง ไฮดี้ก็ได้เห็นสถานที่เกิดเหตุในรูปถ่าย น้ำสกปรกยังคงไหลเอื่อย และแมลงวันยังคงบินวนเวียนไปทั่วท่ามกลางกลิ่นเหม็นโฉ่

“คนไร้บ้านพวกนี้ไม่คิดจะทำนุบำรุงบ้านเลยสักนิด ทางเข้าท่อระบายน้ำอยู่ใกล้มากแท้ๆ แต่พวกเขาก็ยังทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง” บัคสบถ แม้แต่นายตำรวจมากประสบการณ์อย่างเขายังขมวดคิ้วกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แล้วจอมเวททจากสถาบันอะตอมอย่างท่านหญิงไฮดี้เล่าจะรู้สึกเช่นไร!

แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไฮดี้ไม่ถนัดนัก แต่นางก็ผ่านประสบการณ์การผจญภัยมาอย่างโชกโชน นั่นต้องขอบคุณภารกิจบังคับของสภาเวทมนตร์ล่ะนะ เทียบกับรังของโทรลล์และยักษ์แล้ว ที่แห่งนี้ดูสะอาดและสะดวกสบายประดุจสวนหลังบ้านของสตรีชนชั้นสูงสักนางเลยทีเดียว ดังนั้นนางจึงเดินตรงไปมองหาเบาะแสด้วยเวทมนตร์โดยมิแสดงอาการขมวดคิ้วเลยสักนิด

“พายุคราวก่อนทำลายเบาะแสไปมากทีเดียว…” ไฮดี้ได้รับการยืนยันความคิดคาดเดาจากเวทมนตร์

บัคมองนางด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง “ใช่ขอรับ ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอความช่วยเหลือจากทางสภา ท่านหญิงพอจะทำอะไรกับมันได้ไหมขอรับ”

เขามิได้พูดชื่อเต็มของ ‘สภาเวทมนตร์’ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาคือหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนนักเวท

ไฮดี้ดูไม่มีท่าทางเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนยามปกติเมื่อนางอยู่ในสถานที่ที่เกิดการฆาตกรรม นางกลับนำเอาเศษชิ้นส่วนของเหยื่อออกมาและร่ายเวทระบุตำแหน่งของสำนักโหราศาสตร์

เศษเนื้อในมือนางพลันหลอมละลายและหยดลงไปบนพื้น ก่อนจะชี้ไปยังที่ไหนสักหน่อยไกลออกไป

“แต่เดิมแล้ว เวทมนตร์บทนี้จะใช้ระบุตำแหน่งได้เพียงสิ่งมีชีวิต แต่หลังจากการปรับปรุง มันก็สามารถสะกดรอยตามผู้ตายได้ ตราบใดที่ฆาตกรยังเก็บเครื่องในเอาไว้ เวทมนตร์ก็จะนำเราไปที่นั่น” หยาดโลหิตชั้นหนึ่งขยับยุกยิกอยู่บนมือซ้ายของไฮดี้

บัครู้สึกทึ่งกับเวทมนตร์แสนยอดเยี่ยมและยิ่งมุ่งมั่นที่จะส่งลูกชายตนไปเรียนในโรงเรียนสายสามัญเพื่อรับการศึกษาทางด้านเวทธาตุ

คราวนี้ เป็นไฮดี้ที่เดินนำบัค ทั้งสองเดินตัดผ่านเขตอีเกรตเพื่อตามหาฆาตกร

ทว่า หลังจากที่พวกเขามาถึงทางแยก หยาดโลหิตในมือไฮดี้ก็หยุดเดือดพล่าน ราวกับว่าเส้นสายสุดท้ายแห่งชีวิตได้ถูกกำจัดไปแล้ว จากนั้นมันก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นออกมา

“ท่านหญิง เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” บัคถามอย่างเป็นกังวล

ไฮดี้มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางเคร่งเครียด “สายสัมพันธ์ของ ‘ตระกูล’ ถูกตัดขาด ซึ่งมีเพียงเวทมนตร์ พลังศักดิ์สิทธิ์ หรือพละกำลังของอัศวินเท่านั้นที่จะทำได้”

“อะไรนะ” บัคประหลาดใจอย่างยิ่ง ‘นักเวทหรืออัศวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมผู้ยากไร้เช่นนั้นน่ะหรือ พวกเขาต้องการอะไรกันแน่’

ไฮดี้สูดจมูกฟุดฟิด “ข้าเคยถามว่าเหตุใดฆาตกรจึงไม่ทำลายร่างของเหยื่อทิ้งเสีย ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เพราะพวกมันไร้สามารถ แต่เป็นเพราะพวกมันมีจุดประสงค์อื่นอยู่”

“จุดประสงค์อื่นเช่นนั้นหรือขอรับ” บัครู้ข้อมูลในเอกสารลับทั้งหลาย แต่เขาก็ยังคงขาด ‘กึ๋น’ เมื่อเทียบกับไฮดี้ นักเวทมากประสบการณ์

ไฮดี้มองไปรอบๆ พลางเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ “พูดง่ายๆ ก็คือ มันเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมชั่วร้ายหรือพวกลัทธิ พวกมันต้องแน่ใจว่าร่างตั้งต้นยังคงมีอยู่ในตอนที่พวกมันใช้เครื่องใน…”

“เช่นนั้น ข้าจะส่งข้อสรุปของท่านหญิงให้กับหัวหน้าขอรับ” บัคลังเล นี่มันมากเกินไปสำหรับเขา ปล่อยให้อัศวินระดับสูงของกรมตำรวจ หรืออาจจะนักเวทระดับสูง มาจัดการเรื่องนี้เถิด!

เขามองไปที่ทางแยก ถนนสายหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่ตัวเมือง และอีกสายนั้นนำไปยังอีกฟากฝั่งของเขตอีเกรต เขาเอ่ยขึ้น “พวกฆาตกรคงจะหนีออกนอกเมืองไปแล้ว ตอนนี้คงตามตัวพวกมันได้ยากเป็นแน่ไ

ไฮดี้ดูท่าทางตื่นเต้นที่จะได้พบเจอพวกลัทธิชั่วร้าย นางหยิบเอาลูกแก้วออกมาอย่างกระตือรือร้นขณะกล่าวตอบ “ข้าไม่แน่ใจในเรื่องนั้น ขอพิสูจน์ดูก่อนนะเจ้าคะ”

อยู่ในเรนทาโต นางไม่กลัวว่าจะพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง ผู้มีพลังชั้นสูงที่อารักขาพระราชวังเนคโซอยู่ย่อมพบเห็นการต่อสู้รุนแรงกินวงกว้างได้อย่างแน่นอน

ลูกแก้วใสแจ๋วพลันมืดทึบด้วยพลังเวทมนตร์ จากนั้น หมู่ดวงดาวก็เปล่งแสงเจิดจรัส เชื่อมต่อกับสายพันรัดแห่งแสงที่ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

“พวกมันตรงไปที่อีกฟากหนึ่งของเขตอีเกรต…” นั่นคือผลลัพธ์ที่ไฮดี้ได้จากการใช้เวทพยากรณ์ “เราลองไปดูที่นั่นกันเถิด”

บัคใจเสียเล็กน้อย แต่มิกล้าปฏิเสธ เขาจึงทำได้เพียงเดินตามไป

‘ท่านหญิงไฮดี้คือนักเวทที่ใกล้จะเลื่อนขั้นเป็นระดับสูงแล้ว และเป็นลูกศิษย์ของผู้มีพลังชั้นตำนานอีกด้วย นางต้องมีของวิเศษที่ทรงอำนาจเป็นแน่ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดแม้ว่าเราจะเผชิญหน้ากับนักเวทชั่วร้ายหรือพวกสาวกลัทธิ…’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น จิตใจเขาก็ค่อยๆ สงบลง

ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นว่าไฮดี้คอยแตะเหรียญตราทำจากเงินที่สลักสัญลักษณ์ต่างๆ ของธาตุ มันดูเหมือนตารางธาตุฉบับย่อส่วน แม้แต่สามัญชนทั่วไปยังรู้จักมัน และคิดว่ามันมีพลังเวทมนตร์ที่ต้านทานความชั่วร้ายได้

ไฮดี้หัวเราะขัน “มันเป็นสื่อในการทำพิธีกรรมเวทมนตร์น่ะเจ้าค่ะ”

“พิธีกรรมเวทมนตร์…” ด้วยความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่บัคมี มิใช่ว่าต้องเตรียมสิ่งของบางอย่างล่วงหน้าเพื่อทำการนี้หรอกหรือ

ขณะพูดคุย ทั้งสองก็มาเดินตามถนนมาถึงหัวมุมหนึ่งของเขตผู้ยากไร้ มันเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวิตและอุ่นหนาฝาคั่งยิ่ง

“หากเป็นพวกสาวกลัทธิ มันย่อมต้องมีพรรคพวกเป็นแน่ ฉะนั้น เราไปถามคนในพื้นที่ก็ได้ว่าบ้านหลังใดที่มีคนแปลกหน้าเข้าออกบ่อยๆ หรือมีเสียงแปลกๆ ดังออกมาในตอนกลางคืน แบบนั้น เราก็น่าจะหาเบาะแสบางอย่างได้ขอรับ” บัคเสนอความเห็นตามประสบการณ์

ไฮดี้แย้มยิ้ม “ต้องรบกวนท่านแล้ว ท่านสายสืบบัค”

ที่หน้ากระท่อมง่อนแง่นมีหญิงชราผู้หนึ่งกำลังตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จอยู่

“ข้าขอรบกวนสักหน่อยสิขอรับท่านยาย ข้าชื่อบัค มาจากกรมตำรวจ ข้าอยากจะถามอะไรท่านสักหน่อยขอรับ” บัคชูเหรียญตราประจำตัวอย่างมีมารยาท

หญิงชราเช็ดมือด้วยท่าทางอึ้งๆ “เชิญเจ้าค่ะท่านสายสืบ”

นั่นถือเป็นปฏิกิริยาปกติเมื่อผู้ยากไร้พบเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ บัคพยักหน้าก่อนจะถามว่า “ท่านคงจะคุ้นเคยกับแถวนี้ดีใช่ไหมขอรับ มีบ้านหลังใดที่มีคนแปลกหน้าแวะเวียนมาหาบ่อยๆ หรือมีเสียงอึกทึกดังออกมาในยามกลางคืนบ้างไหมขอรับ”

หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไม่เลยนะ ข้าไม่เห็นความผิดปกติอะไรนี้เลย และตัวข้าเองก็แทบไม่ได้ไปที่อื่นเลยด้วย”

บัคเก็บเหรียญตรากลับไป “ท่านพอจะรู้จักใครที่รู้เรื่องเกี่ยวกับละแวกนี้ดีบ้างไหมขอรับ”

“ข้ารู้ๆ ท่านมอนโรแห่งภราดรนิลกาฬ” หญิงชราเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับว่านางกำลังหวาดกลัวท่านมอนโรผู้นี้

บัคพยักหน้า “พาเราไปหาเขาทีสิขอรับ”

“ไม่นะ ขอร้องล่ะท่านเจ้าหน้าที่ ไปขอให้ผู้อื่นทำนางเถิด” หญิงชราโบกมือไปมาด้วยความตื่นตระหนก

แต่บัคมิยอมอ่อนข้อ หญิงชราปิดประตูบ้านแล้วนำทางไฮดี้กับบัคไปตามคำสั่งของเขา

ด้านล่างบ้านหลายๆ หลัง เหล่าสตรีกำลังซักเสื้อผ้า พวกบุรุษกำลังผ่าฟืน และเด็กๆ ก็กำลังมองมาทางคนแปลกหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ช่างรื่นเริงนัก” บัคออกความเห็น

ไฮดี้ขมวดคิ้วขณะมองไปรอบๆ และไม่เอ่ยตอบอันใด

ตอนนั้นเอง หญิงชราก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านสองชั้นที่ดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางสลัม “พวกท่าน ท่านมอนโรอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”

นางเคาะประตูไปด้วยขณะพูด

แต่แล้วไฮดี้ก็โพล่งออกมา “เราจะมาเยี่ยมเยียนท่านมอนโรกันวันอื่น ยังมีอีกงานที่เราต้องไปทำ”

“อะไรนะขอรับ” บัคถามด้วยความสับสน แต่แล้วเสียงของไฮดี้ก็ดังก้องอยู่ในหัวเขา ‘ถอยไปก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง มิเช่นนั้นข้าอาจดูแลท่านไม่ได้’

“เหตุใดกัน” บัคเริ่มประหม่ากลัว นี่คือกระแสจิตในตำนานอย่างนั้นน่ะหรือ

ไฮดี้หัวเราะ ‘คนยากไร้ในสลัมต้องทำงานสิบชั่วโมงเพื่อให้มีชีวิตรอด ดังนั้นจึงมีเพียงเด็กและสตรีบางคนที่จะพบเห็นได้ในพื้นที่เช่นนี้ในช่วงกลางวัน แต่ดูเถิด มีบุรุษกี่ผู้กี่คนกันที่อยู่กับบ้าน พวกเขาหาเลี้ยงครอบครัวอย่างไรกันนะ’

เหงื่อกาฬเย็นเยียบไหลชุ่มโชกตัวบัค เขามิได้มีประสบการณ์ภาคพื้นสนามโดยตรง หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไปภายใต้การบังคับบัญชาของเขา พวกเขาคงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้นานแล้ว เขาจึงพูดตอบกลับไปว่า “จริงด้วย เราต้องกลับไปที่กรมตำรวจกันแล้ว ไว้เราจะมาเยี่ยมเยียนท่านมอนโรใหม่วันพรุ่งนี้”

“เหอะๆ เจ้าอยากจะจากไปทั้งๆ ที่สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ แล้วอย่างนั้นรึ” เสียงแหบแห้งเย็นเยียบดังก้องออกมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวโลหิตรุนแรง

ภายในห้องอันโอ่โถง กองหัวใจ ลำไส้ ตับ และอวัยวะอื่นๆ ถูกวางไว้ตามตำแหน่งที่รูปแบบดูแปลกประหลาด ไม่เพียงพวกมันจะมีสีแดงฉานราวกับยังมีชีวิตเท่านั้น แต่พวกมันยังยุบและพองเป็นจังหวะอีกด้วย

เหล่าบุรุษ สตรี และเด็กๆ พลันผุดลุกขึ้นยืน ปากของพวกเขาแยกออกกว้าง เผยให้เห็นคมเขี้ยวแหลม ดวงตาของพวกเขากลายเป็นสีแดงสดฉายแววเยียบเย็น พร้อมกับแผ่บรรยากาศชั่วร้ายชวนให้ตัวแข็งทื่อออกมา

จู่ๆ หญิงชราข้างกายทั้งสองก็เนื้อตัวซูบผอม ราวกับลูกโป่งมีรูรั่ว แต่แล้วตัวนางก็กลับมาพองขยายขณะเอ่ยด้วยเสียงของบุรุษเพศ “พวกเจ้าจะกลับแล้วหรือ”

นางยกนิ้วหนึ่งขั้นมา บัคพลันรู้สึกว่าเขาไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้อีก

‘ดัชนีแห่งความตายงั้นรึ’ บัคได้ยินเสียงของไฮดี้ดังขึ้นผ่านทางกระแสจิต

ในตอนที่ควันดำพุ่งเสียดแทงเข้าใส่เขาราวกับเข็ม บัคก็คิดอย่างอ่อนแรง ‘ข้ากำลังจะตายเช่นนั้นหรือ’

ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากลายเป็นเพียงภาพมายา ก่อนที่เขาจะกลับมาเป็นร่างเนื้อหนักแน่นอีกครา และปรากฏตัวขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน

“นี่มัน…” ขณะตกตะลึงอยู่นั้น เขาก็ยังรับรู้ได้ว่าไฮดี้ได้พาตัวเขาหลบหนีจากการโจมตีด้วยการก้าวพริบตา

ในขณะเดียวกันนั้น ‘เวทกำแพงดูดซับดักลาส’ ก็ปรากฏขึ้นมาสกัดกั้นลำแสงสีแดงเข้มจากเจ้าสัตว์ประหลาด

“เจ้ามิใช้ผู้มีพลังระดับสูง เหตุใดเจ้าจึงใช้ชนวนเวทได้กัน” เสียงบุรุษนั้นโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับที่จู่ๆ ร่างหญิงชราของมันก็สลายหายไป

ในตอนนั้นเอง อวัยวะมนุษย์ภายในห้องโถงก็เริ่มขยับเขยื้อนมารวมตัวกันเป็นรูปทรงของมนุษย์ผู้หนึ่ง

ไฮดี้หัวเราะขบขัน “ข้ามิใช่ผู้มีพลังระดับสูง แต่ใครบอกกันเล่าว่ามีเพียงผู้มีพลังระดับสูงเท่านั้นที่ใช้ชนวนเวทได้ พอดีว่าเวทมนตร์ที่ร่ายคาถาเก็บไว้ล่วงหน้าและเรียกใช้ได้ด้วยเงื่อนไขแตกต่างกันบังเอิญเป็นความถนัดของข้าน่ะนะ มันคือการประยุกต์ใช้ที่ครอบคลุมทั้งการเก็บ ควบคุม คำนวณ ใส่ข้อมูลและดึงข้อมูล ข้าไม่สามารถทำให้ทั้งหมดนั้นมีความซับซ้อนน้อยลงได้ แต่ข้าพอจะลดเกณฑ์การวัดบางส่วนลงได้…บางที หลังจากนี้ เวทมนตร์ระดับห้าอาจเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับนักเวทระดับสูงก็ได้!”

นางดูมิมีท่าทีเร่งร้อนแต่อย่างได้ แต่นางกลับยกมือซ้ายขึ้นกดเหรียญตราเงินไม่หยุด ราวกับว่านางกำลังร่ายเวทมนตร์ที่มีความซับซ้อนยิ่ง

เจ้าสัตว์ประหลาดที่รวมร่างจากชิ้นส่วนอวัยวะคำรามด้วยความโกรธา “ข้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าจักต้องตาย! เจ้าใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้สักบทไหมเล่า”

ร่างของมันกำลังจะประกอบเสร็จสมบูรณ์ ส่วนสัตว์ประหลาดปากอ้าเหล่านั้นก็คอยขวางทางบนถนนและปิดกั้นทางหนี

ขณะจ้องมองดวงตาสีแดงฉาน บัคก็ให้รู้สึกแข้งขาสั่นเทา เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับไฮดี้

หลังจากที่มือซ้ายทำหน้าท่เสร็จ จู่ๆ ไฮดี้ก็ยืนเหรียญตราเงินออกไป ก่อนที่นางจะร่ายคาถาแปลกๆ “เสียงคำรามจากอวกาศอัญเชิญจักรวาลอะตอม…”

เจ้าสัตว์ประหลาดพุ่งตัวทันทีที่ได้ยินคาถาบทนั้น ร่างของมันยืดขยายกลายเป็นม่านโลหิตเหยียดยาว ทำให้ทุกสิ่งรอบๆ นั้นปั่นป่วน

มันรู้ดีว่าผู้มีพลังชั้นตำนานส่วนใหญ่จะแข็งแกร่งเทียบเท่าพระเจ้า พิธีกรรมเวทมนตร์มากมายจึงจำต้องใช้วิธีการอัญเชิญและสื่อสารกับมิติพิเศษของแต่ละชั้นตำนาน เช่น พิธีกรรมทั้งหลายของหัตถ์ไร้ชีวาที่ต้องได้รับพลังเสริมจาก ‘นรกเงียบงัน’ ‘ดินแดนโครงกระดูก’ และ ‘หลุมฝังศพ’ สรุปง่ายๆ ก็คือ คนผู้หนึ่งจะหยิบยืมพลังของผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งหลายได้ก็ต่อเมื่อทำตามกฎเกณฑ์ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะจงใจปิดกั้นไม่ให้ยืมพลังจากมิติพิเศษของพวกเขา

แต่สิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับมันก็คือ พิธีกรรมเวทมนตร์นี้ช่างสั้นนัก

พิธีกรรมนี้ก็ร่ายคาถาเก็บไว้ล่วงหน้าอย่างนั้นหรือ

คาถาจบลงแล้ว ทั่วทั้งบริเวณพลันตกอยู่ในความเงียบงันอย่างที่สุด ท้องนภาสีดำมาเยือนพร้อมกับภาพมายาของดาวเคราะห์แห่งธาตุทั้งหลาย

‘แสงแห่งอาร์คานา’ ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของไฮดี้ และภาพมายาสะท้อนภายในจักรวาลอะตอมก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ดาวเคราะห์ที่หลอมรวมกันปรากฏกายออกมาราวกับดวงอาทิตย์

ด้วยความช่วยเหลือจากพวกมัน แสงสว่างร้อนแรงท่วมท้นพลันกวาดล้างไปทั่วทั้งสลัม หลอมละลายเหล่าสัตว์ประหลาดดวงตาสีแดงปากอ้าค้างไปเสียสิ้น

“ไม่!!!” สัตว์ประหลาดเครื่องในกรีดร้องโหยหวน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท