Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 682 ความล้มเหลวที่ปรารถนา

บทที่ 682 ความล้มเหลวที่ปรารถนา

“ด้านนั้น?” แลงค์เชียร์ทวนคำถามของเฟอร์รากอนด์ และยืนอยู่ที่ปากถ้ำ ปิดกั้นแสงทำให้ภายในถ้ำดูสลัว แล้วเขาก็ยิ้มออกมา “แน่นอน นั่นเป็นด้านเนินสูงสการ์เล็ต”

เฟอร์รากอนด์ตะลึงและตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าวางแผนกับราชันย์โลหิต และทำให้ต้นไม้เอลฟ์เป็นพิษ? ทำไมเจ้าทำอย่างนั้น?”

เขารู้สึกได้ว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญเลวร้ายยิ่งขึ้นและคว้าทุกโอกาสที่จะเลื่อน หวังจะกำจัดอิทธิพลจากภาพสะท้อนปีศาจ อย่างไรก็ตาม ความเคียดแค้นของเขาสะสมมาเป็นร้อยปี และเขาไม่ได้เพิ่งศึกษา ‘ระบำล้างแค้น’ แต่ ‘เมล็ดพันธุ์’ ฝังรากลึกจนพร้อมจะละลายได้ทุกเมื่อ

ราวกับว่าเขาไม่รับรู้เจตนาของเฟอร์รากอนด์ แลงค์เชียร์พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่พร้อมให้ความร่วมมือ “ราชันย์โลหิต? คนป่วยจิตเสื่อมแบบนั้นจะมาร่วมมืออะไรกับข้าได้? ด้วยมลพิษของต้นไม้เอลฟ์ ข้าคงทำไม่ได้ ถ้าไม่มีเจ้ากับธรรมชาติเคียดแค้น”

‘โรคจิตเสื่อม’ เป็นคำที่ลูเซียนสร้างขึ้นอธิบายอาการป่วยทางจิต เนื่องจากใกล้เคียงกับปีศาจสองหัว สามหัว และสี่หัวมาก คำนี้จึงถูกนักผจญภัยใกล้กับรอยแยกอเวจีใช้กันบ่อยๆ เอฟล์ก็คุ้นเคยกับคำนี้ดี

“ทำไม?” เฟอร์รากอนด์ถามอย่างให้ความร่วมมือ อย่างไรก็ตาม มันเกินกว่าความคาดหมายที่มลพิษจากต้นไม้เอลฟ์จะเกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ

แลงค์เชียร์ทำตัวเหมือนเป็นตัวร้ายที่มีพลังวิเศษในนิทานของกวี ซึ่งมักโอ้อวดแผนการอย่างจองหอง เมื่อพวกกวีเกือบทำสำเร็จ เพียงเพื่อให้ศัตรูมีโอกาสกลับมาเพียงเพราะความพูดมาก “ดวงใจธรรมชาติเป็นของที่ใกล้เคียงกับระดับมนุษย์ครึ่งเทพ แม้ถ้าข้าแยกมันออกมาจากนรกได้ ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มันเป็นพิษ ถ้าเจตจำนงแห่งอเวจีปกคลุมแผลฉกรรจ์ของเขาได้ อย่างไรก็ตาม เอลฟ์ต้นกำเนิดเกิดมาจากดวงใจธรรมชาติ โลหิตธรรมชาติไหลเวียนในเส้นเลือดของเอลฟ์ทุกตน สัมพันธ์กับต้นไม้เอลฟ์อย่างลึกซึ้ง”

“ภายใต้สถานการณ์เช่นว่า พอเอลฟ์ถูกสิงและถูกหลอกจากเอลฟ์ต้นกำเนิดมากพอ และพร้อมกับวงเวทสมมาตรที่เราใช้ในเนินสูงสการ์เล็ต ต้นไม้เอลฟ์ก็ถูกมลพิษทำลายโดยธรรมชาติ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แลงค์เชียร์ก็หัวเราะเยอะ “อาจเป็นประเด็นที่ซับซ้อนที่จะปล่อยให้เอลฟ์ที่เทิดทูนธรรมชาติถูกหลอกหลอนจากความรู้สึกร้ายๆ เป็นเวลานาน โดยไม่มีธรรมชาติเคียดแค้น พวกเจ้าหลายตนก็โกรธแค้นมนุษย์เอาเป็นเอาตาย จงเกลียดจงชังพฤติกรรมทุกอย่างของพวกมนุษย์ สติสัมปชัญญะของเจ้าถูกครอบงำด้วยอารมณ์ขุ่นหมอง ซึ่งเหมาะเจาะลงตัวในการอัญเชิญภาพสะท้อนปีศาจ ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก เฟอร์รากอนด์!”

ภายในหัวใจธรรมชาติภาพนิมิตของเฟอร์รากอนด์ปรากฏเป็นใบหน้าที่ดูเหมือนเขาอยู่ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความขุ่นข้องหมองใจ และความเกรี้ยวกราด ซึ่งทำให้ใบหน้าดูบิดเบี้ยวและน่าเกลียดน่ากลัว

“นี่ข้ารึ?” เฟอร์รากอนด์เห็นใบหน้านั้นเมื่อเขากำจัดพลังของปีศาจต้นกำเนิดได้ แม้เขาจะรู้ว่านั่นเป็นภาพสะท้อนความรู้สึกเชิงลบที่ถูกปีศาจสิงสู่ของเขา เขาก็ยังตกตะลึงอยู่ดี เขาจะตกอยู่ในสภาพนี้เมื่อเอ่ยถึงนิกายธรรมชาติเคียดแค้นอย่างนั้นหรือ?

เขาสงบสติอารมณ์ลงและระงับความเกรี้ยวกราดที่เกิดจากคมดาบของแลงค์เชียร์ เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสับสน “แต่ทำไมจะมีสาวกของนิกายธรรมชาติเคียดแค้นกลายเป็นเอลฟ์ถูกครอบงำด้วยล่ะ?”

“เอลฟ์ที่ถูกปีศาจแห่งความเคียดแค้นสิงสู่ ถ้าไม่มีความมุ่งหมายหรือไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ก็จะไม่แสดงสัญญาณว่าถูกครอบงำให้เห็น จะมีเฉพาะเอลฟ์ติดต่อต้านความเคียดแค้นเท่านั้นจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง ความแตกต่างนี้เห็นได้จากความแตกต่างระหว่างมาร์ธากับเจ้า” แลงค์เชียร์อธิบายเหตุผลให้เฟอร์รากอนด์ฟัง ‘ตามหน้าที่’

เมื่อได้ยินเหตุผลนี้ เฟอร์รากอนด์ก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้างั้น มาร์ธาก็ถูกปีศาจสิงสู่มานานและกลายเป็น ‘ลูกสมุน’ ของเจ้า มิน่าล่ะนางถึงใส่ร้ายข้า แต่ทำไมเจ้าถึงตั้งใจเล่นงานข้า? เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

“ทำไมถึงเล่นงานเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าเป็นเป้าหมายของข้ามาตลอด! ข้าจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไรถ้าไม่จัดการเจ้าและพาเจ้าเข้าไปในร่างชั้นตำนานที่มีปีศาจแห่งความเคียดแค้น?”

“อะไรนะ? ข้าเป็นเป้าหมายมาตลอด?” เฟอร์รากอนด์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แม้ว่าแลงค์เชียร์กับเขาไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ศัตรูกัน แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าเป็นคนขอความช่วยเหลือจากสภาเวทมนตร์สินะ? สภาจะได้มาสืบเรื่องข้า? แล้วใช้ประโยชน์จากความชิงชังพวกมนุษย์และความโกรธของข้ามาใส่ร้าย เจ้าทำให้ข้าเกิดอคติในใจ แล้วก็ใช้พลังจาก ‘ระบำล้างแค้น’ มาตลอด ปีศาจจึงครอบงำจิตใจข้าได้…”

“เจ้าคิดได้ช้าไปเสียแล้ว และมันไม่ได้เป็นเพราะการครอบงำของปีศาจ แต่เป็นเพราะความรู้สึกชั่วร้ายที่สะสมอยู่ในใจเจ้า” แลงค์เชียร์อธิบายพร้อมกับรอยยิ้ม “การเปลี่ยนตัวเองให้คล้ายคลึงกับปีศาจต้นกำเนิดมีความเสี่ยงสูงมากและอาจเสียการควบคุม ข้าเลยเลือกเจ้า เจ้าเป็น ‘ร่างกักขัง’ ที่สมบูรณ์แบบด้วยความเกลียดชังนับพันปีของเจ้า”

“เจ้า!” เมื่อได้ยินดังนั้น เฟอร์รากอนด์ก็ถูกความโกรธเข้าครอบงำจนเกือบจะโจมตีทั้งๆ ที่มีเพียงมือเปล่า “เจ้าไม่กลัวพวกนักเวทจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเลยหรือไง?”

“ฮ่าๆ วงเวทที่วางไว้บนเนินสูงสการ์เล็ตไม่เพียงใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างอเวจีกับโลกมนุษย์เท่านั้น แต่จะล่อให้ลูเซียน อีวานส์ กับพวกของมันเข้ามาสืบด้วย พอพวกมันมาถึงนรก มัลฟิวเรียนติดตามพวกมันมา แม้ว่าสภาเวทมนตร์จะไม่พอใจ ข้าจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการโดยไม่ต้องกังวล เพราะพวกมันกลับมาจากเนินสูงสการ์เล็ตพร้อมกับ ‘หลักฐาน’ พยานและคนบงการถ้าไม่ตายก็หนีไปแล้ว แล้วเขาจะใช้พลังโหราศาสตร์ทำนายอะไรได้!” แลงค์เชียร์พูดแล้วเงยหน้าขึ้น

“เจ้าไม่กลัวหรือว่าลูเซียน อีวานส์ จะไม่ได้ลงไปนรก? และยังมีแอตแลนต์อยู่อีก!” เฟอร์รากอนด์รู้สึกดีขึ้นหลังจากพลังปีศาจค่อยๆ สลายไป

แลงค์เชียร์ยกธนูขึ้นเล็งไปที่เฟอร์รากอนด์ และยิ้มเยาะออกมา “เขาไปแน่ พวกเขาคือลูเซียน อีวานส์ ผู้ศึกษาการซ้อนทับของควอนตัม และเสนอผลกระทบจากผู้สังเกต”

อันที่จริง เนื่องจากขาดความแข็งแกร่ง ลูเซียนมักจะวางแผนตามบุคลิกและรูปแบบของศัตรู แต่ตอนนี้เขากลับถูกวิเคราะห์เสียเอง!

“สำหรับแอตแลนต์ เขาคงยินดีที่เห็นแผนข้า เขาคงไม่กล้ายุ่งและรอจนกว่าจะมีวิธีที่ปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อยากเก็บข้อมูลจากเหตุการณ์นี้ ข้าแอบดูท่าทีของเขาและส่งข้อความลับขอให้เขาเข้ามาร่วมด้วย” แลงค์เชียน์เยาะเย้ยเฟอร์รากอนด์ “นักเวทที่ศึกษาเรื่องจิตอย่างเขามองข้ามความผิดปกติไปได้อย่างไร?”

เฟอร์รากอนด์ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “นี่สินะที่เขาต้องการ?”

“เอลฟ์อย่างพวกเราตกต่ำมานานจนเราลืมความรุ่งเรืองในอดีต ข้าไม่อยากจมปลักอยู่ในป่าเล็กๆ แบบนี้ไปตลอดกาล ข้าอยากจะพิชิตทวีป มหาสมุทร และโลกทั้งใบเหมือนบรรพบุรุษของเรา!” สีหน้าอันภาคภูมิของแลงค์เชียร์ดูฮึกเหิมยิ่งขึ้น “นั่นคงสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีพลังระดับมนุษย์ครึ่งเทพ! แล้วตอนนี้ข้าก็มีโอกาสพัฒนา ข้าต้องคว้ามันไว้ เฟอร์รากอนด์ ข้าจะไม่มีวันลืม ‘ความเสียสละ’ แด่เอลฟ์ของเจ้า!”

เฟอร์รากอนด์ถลึงตามองแลงค์เชียร์ “เจ้า…!”

ช่างน่าละอายและขยะแขยง!

แลงค์เชียร์มองดวงอาทิตย์ภายนอกและหัวเราะออกมาดังลั่น “เฟอร์รากอนด์ อย่าหัวเสียไปเลย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าเล่าอะไรให้เจ้าฟังมากมาย?”

เขาก้าวเท้ามาข้างหน้าและพูดติดตลกโดยไม่รอคำตอบของเฟอร์รากอนด์ “เพื่อรักษาความเกลียดชัง ความเกรี้ยวกราด และความเจ็บปวดของเจ้าจนถึงเวลาที่เหมาะสม!”

“ลูเซียน อีวานส์ และพรรคพวกคงมาถึงแท่นบูชากันแล้ว มันเป็นต้นกำเนิดมลพิษของหัวใจธรรมชาติ แต่ราชันย์โลหิตจะตกใจเปิดวงเวท ถ้าเขาหนีไม่สำเร็จ ทำให้มัลฟิวเรียนต้องซ่อมแซมวงเวทด้วยพลังธรรมชาติ ช่างน่าสงสารที่เขาไม่รู้ว่ายิ่งทำงานหนัก ข้ายิ่งได้ประโยชน์จากเขา ธรรมชาติในนรกและความรู้สึกชั่วร้าย และตำนานผู้ล้มสลายในธรรมชาติและป่า สองปัจจัยนี้จะเชื่อมโยงกันเป็นพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้ข้าพัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์!”

ความเสี่ยงจากความรู้สึกชั่วร้ายจะตกอยู่ที่เฟอร์รากอนด์ ‘ร่างกักขัง’ แต่เพียงผู้เดียว!

“นอกจากนี้ ราชันย์โลหิตจะทิ้งร่องรอยไว้เพื่อให้มัลฟิวเรียนกับลูเซียน อีวานส์ คิดว่าเจ้าอยู่เบื้องหลัง!” เมื่อเห็นว่าเวลามาถึงแล้ว แลงค์เชียร์ก็พูดขึ้นด้วยความดีใจและเคร่งขรึม “เฟอร์รากอนด์ อย่าฝืนไปเลย หมดโอกาสแล้ว!”

เฟอร์รากอนด์กัดฟันกรอดจนริมฝีปากปริแตกและเลือดทะลักออกมา เขาถลึงตามองแลงค์เชียร์ ดวงตาของเขาปูดโปนและแดงก่ำ

เปรี๊ยะ

หัวสุนัขและหัวแพะของราชันย์โลหิตรู้สึกได้ว่าทุกสิ่งรอบตัวกำลังกลายเป็นสีขาวดำ สีของเลือดจางลง เม็ดฝนกลายเป็นน้ำแข็ง และพื้นดินหนักแน่นราวกับรูปปั้นที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เสียงและเสียงหัวเราะอยู่ไกลออกไป เลือดและกลิ่นคาวเลือดไม่เหลืออยู่ โลกกลับมาเงียบและสดใสอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ดูซับซ้อน ลูเซียนก็ใช้เวท ‘หยุดเวลาขั้นสูง’ กับจันทรากาลโดยไม่เปิดโอกาสให้นาตาชาได้ทำอะไร!

แล้วเขาก็ตะโกนอยู่ในกาลและอวกาศสีขาวดำอันเยือกเย็น

“เวทพังทลายขั้นสุดยอด!”

แล้วตาซ้ายของลูเซียนก็กลายเป็นสีแดงและกระจ่างใส ราวกับอัญมณีเม็ดงามที่สุด ก่อนที่จะยิงลำแสงออกมาพร้อมเสียงของ ‘เวทเพ่งพยาบาท’ ไม่จำเป็นต้องใช้ ‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ จัดการกับราชันโลหิต และ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ก็ไม่เหมาะในตอนนี้ เพราะจะทำลายแท่นบูชาและเบาะแสทั้งหมดไปด้วย

ลำแสงถูกยิงออกมาอีกครั้ง เพระเวทมนต์ชั้นตำนานทั้งสามยึดโยงกับ ‘หัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ และ ‘เวทเพ่งพยาบาท’ และ ‘เวทหน่วงเวลา’ และ ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ ก็หยุดลง และเลือดก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน

ตอนนั้นเอง ดาบเงินก็ส่องแสงเป็นประกาย ทะลุทะลวงผ่านเม็ดฝน เลือด และทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่อาจแตกสลายได้

สีต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่วราชันย์โลหิตเมื่อชั้นป้องกันบนร่างของเขาเปิดออก แม้แต่เกล็ดสีแดงสดก็มีรอยแตกเห็นได้ชัด

‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ เป็นเวทมนตร์ที่มีเพียงนักเวทชั้นตำนานที่เชี่ยวชาญด้านธาตุและสนามพลังจะสามารถใช้ได้ ในสภาเวทมนตร์ มีเพียงแฮททาเวย์คนเดียวเท่านั้นที่สามารถร่ายเวทมนต์นี้ได้ก่อนลูเซียน แม้แต่ดักลาสก็ต้องร่ายเวทยาวเหยียดและท่าทางที่ซับซ้อนเพื่อใช้เวทนี้

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ องค์ประกอบต่างๆ บนผิวหน้าราชันย์โลหิตระเบิดออก เพียงอึดใจ ลูเซียนก็ปลดพันธนาการชั้นป้องกันต่างๆ ของเขา จนไม่อาจแข็งขืนได้อีกต่อไป!

แล้วลำแสงสีเลือดสองทิศทางก็พุ่งปะทะร่างของเขา ทิศทางหนึ่งจากด้านหน้า และอีกทิศทางหนึ่งจากด้านหลัง

ในฐานะผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสอง ราชันย์โลหิตรับรู้ถึงความน่าจะเป็นได้ในทันที ลำแสงพุ่งทะลุหน้าอกของเขา และเขาก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ในทันที

มัลฟิวเรียนไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ เขาขว้างไม้เท้าออกไป

“กรงธรรมชาติ!”

แพะหน้าคนและหัวสุนัขจ้องมอง ‘พืชพันธุ์’ สีเขียวแผ่กิ่งก้านและขยายใหญ่โดยไม่อาจจะกระดิกตัว ขณะที่พวกมันคิดอย่างเชื่องช้า

“เราแพ้แล้ว?”

“เราถูกจับได้อย่างไร?”

“เฟอร์รากอนด์ ความโกรธเกลียดและชิงชัง! ยิ่งสมบูรณ์แบบ!” แลงค์เชียร์หัวเราะเสียงดัง เดินเข้ามาใกล้เฟอร์รากอนด์จ้องมองเขาตาเขม็งเกลียว

ทันใดนั้น เขาเห็นแสงเรื่องรองออกมาจากตัวของเฟอร์รากอนด์ ภาพนิมิตใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวระเหยไป และไม่มีสัญญาณว่าพิธีกรรมที่อยู่ในจิตของเขาจะได้ผล!

“นี่มัน…” รอยยิ้มของเขาหยุดลงในทันใด

…………………………………………….

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท