กระแสเสียงที่ดังปานสายลมเย็นๆ หัวเราะขัน “ล่วงรู้ตัวตนของข้าแล้วจะมีประโยชน์อันใด เพราะท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ต้องตกตายอยู่ที่นี่ ข้ากำลังจะลงมือสังหารเจ้าเพื่อกำจัดทุกเบาะแสชี้นำ แต่เจ้ากลับเดินทางไปยังดินแดนเยือกแข็งเพื่อทำภารกิจและไม่สามารถระบุที่อยู่ของเจ้าได้แน่ชัด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงถูกเลื่อนเวลามาถึงตอนนี้”
ก่อนที่ยาคอฟจะทันได้โต้ตอบ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่า “พวกเจ้าควรจะเกลียดชังหัวหน้ายาคอฟของพวกเจ้าแทนที่จะเกลียดชังข้า หากเขาไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเจ้าย่อมมีชีวิตอย่างเป็นปกติสุขต่อไป แต่ ณ บัดนี้ แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้อะไรเลย ข้าก็จักมิปล่อยพวกเจ้าไป จงร้องไห้ ตัวสั่นสะท้าน และสิ้นหวังขณะที่พวกเจ้าเพลิดเพลินไปกับช่วงสุดท้ายของชีวิตนี้เถิด!”
หลังสิ้นเสียงหัวเราะเยาะหยัน ทั้งห้องขังก็ตกอยู่ในความเงียบงันอยู่ครา คำสบถ ดูถูกเหยียดหยัน และคำอ้อนวอนของยาคอฟหาได้รับการตอบรับไม่
“…ข้าจะหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ แล้วข้าจะกระชากหัวเจ้าไปให้หมีกิน!” ยาคอฟไม่ชะงักแม้เพียงนิดในเวลานี้ แต่ไม่นาน ทั้งห้องขังก็เหลือเพียงเสียงของเขาคนเดียว ทหารรับจ้างคนอื่นๆ ที่ร่วมสบถก่นด่ากับเขาเมื่อครู่กลับปิดปากเงียบ
ด้วยสายตาแปลกๆ ที่มองมา ยาคอฟหยุด ‘ยั่วยุ’ แล้วมองไปรอบๆ จึงได้เห็นสีหน้าที่ถ้าหากมิใช่เฉยชาก็เป็นสีหน้าของความเกลียดชัง
เขาพลันรู้สึกเย็นวาบ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วลง “พวกเจ้าโกรธที่ข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของดยุกดูดาเช่นนั้นหรือ”
“เราหาได้ทำสิ่งใดไม่ แต่เรากลับถูกจับและอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ หัวหน้ายาคอฟ ท่านไม่คิดว่าเราควรจะโกรธหรอกหรือ อย่างน้อยท่านก็ควรจะบอกให้เรารู้ถึงเรื่องนี้หรือเปล่า” แฮ็ค มือขวาของยาคอฟ ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เหตุใดท่านจึงไม่เคยบอกว่าท่านเคยไปทำให้ดยุกดูดาโกรธกันเล่า ข้าคงจะไม่อยู่ที่นี่หากท่านบอกมาแต่แรก!”
“ไอ้ตัวบัดซบ เจ้าควรจะเป็นคนโดนเรื่องนี้คนเดียว!”
“พอ! พอได้แล้ว!” แอนนาตะโกนก้องด้วยความเดือดดาล “พวกเจ้าเคยพูดว่าอย่างไรในตอนที่หัวหน้ายาคอฟได้เป็นอัศวิน หัวหน้ายาคอฟไม่เคยต้องการให้พวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย นี่เป็นเพราะดูดาชั่วช้าสามาญเกินไปต่างหาก!”
นางน้ำตาไหลอาบด้วยความกรุ่นโกรธ ไม่อาจยอมรับได้ว่ากลุ่มที่เคยสงบสุขรักใคร่กันกลมเกลียวจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้!
‘พี่คาทรินาพูดถูกหรอกหรือที่ว่าตัวตนที่แท้จริงของคนจะไม่เปิดเผยออกมาจนกว่าจะถึงช่วงเวลาเสี่ยงภัยอันตรายและสิ้นหวังที่สุด’ นางพลันนึกถึงสิ่งที่คาทรินาเคยพูดไว้กับนางเมื่อก่อนหน้านี้
เสียงกรีดร้องตะโกนและคำกล่าวหาของแอนนาทำให้ทั้งห้องขังเงียบลง ก่อนที่เสียงอันซึมกระทือของยาคอฟจะดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกที่พวกเจ้าจะโกรธเกลียดข้า แต่พวกเจ้าจะละทิ้งความหวังในการมีชีวิตรอดด้วยการต่อสู้กันเองเช่นนั้นหรือ”
“แต่ว่าทางนั้นมีมหาอัศวิน…”
“ดยุกดูดายังไม่ลงมือทำการใดเลยนะ เขาจะต้องเก่งกาจจนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอีก!”
“หมดหวังแล้ว!”
ยาคอฟกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าหนักแน่น “มีเพียงหลังจากที่เจ้าพยายาม เจ้าจึงจะรู้ว่ามีโอกาสหลบหนีไปได้หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าดยุกดูดาพูดเช่นนั้นก็เพื่อสร้างความร้าวฉาน เท่าที่ข้ารู้ เขาชมชอบความเจ็บปวดและความสิ้นหวังของคนอื่นมากๆ ดังนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาได้รับในสิ่งที่ต้องการแม้ตัวตาย แล้วพวกเจ้าล่ะ เจ้าจะยอมให้โดนดูถูกจนตายเช่นนั้นหรือ”
“พูดได้ดี!” ใครบางคนปรบมืออยู่ทางด้านนอก ดยุกดูดาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยาคอฟ ข้าจำได้ว่ามีสตรีผู้งดงามยิ่งอยู่ในกลุ่มของเจ้าด้วยนี่ นางงดงามหยาดเยิ้มเสียยิ่งกว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ส่วนใหญ่เสียอีก และก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะชอบนางมากๆ เสียด้วย ใช่ไหมเล่า”
“เจ้าต้องการอะไร” ยาคอฟจับลูกกรงแน่น
แอนนาตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวและหวาดกลัว “พี่คาทรินาไม่เกี่ยวอะไรด้วย! นางมาเข้าร่วมกลุ่มกลางทางและไม่รู้อะไรด้วยเลยสักนิด!”
“ข้ารักการทำลายสิ่งที่ผู้อื่นชื่นชอบทีละนิดๆ ต่อหน้าพวกเขา ในขณะที่ข้าเพลิดเพลินไปกับปฏิกิริยาและสีหน้าของพวกเขา แค่เหตุผลนั้นก็เพียงพอแล้ว” เสียงหัวเราะของดูดาฟังดูคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม “มนุษย์หมาป่าโตเต็มวัยสองตนถูกส่งออกไปจับตัวนางแล้ว มันทั้งสองแข็งแกร่งยิ่ง บางที นางอาจทานทนพวกมันไม่ไหวก็ได้ ฮ่าๆๆ”
“ไอ้ตัวบัดซบ!” ยาคอฟเขย่าลูกกรงเหล็กอย่างแรง ดวงตาของเขาแดงก่ำดุจโลหิต
แอนนาส่ายหน้าด้วยความหวาดผวา “เจ้ามันปีศาจ! ปีศาจเลวระยำ!”
ในนิทานเรื่องเล่า พวกปีศาจชื่นชอบการสังหารและการทำลายมากที่สุด
“นั่นถือเป็นคำชมที่ดีที่สุดสำหรับข้าเลยล่ะ” ดูดาหาได้กรุ่นโกรธแม้แต่นิด กลับหัวเราะอย่างพึงพอใจ “ใช่ ข้ากำลังอารมณ์ดี แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเลื่อนเวลาตายของพวกเจ้าเป็นตอนนี้แทน แบบนั้น เจ้าจะได้ไม่มีโอกาสหลบหนีไปอย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าทหารรับจ้างทุกคนต่างก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง กำลังใจที่ยาคอฟเพิ่งปลุกระดมเมื่อครู่นี้กลับกลายเป็นความสิ้นหวัง
…
ต้องขอบคุณจำนวนประชากรที่มีอยู่น้อยนิดของจักรวรรดิชาชราน ที่ดินและคฤหาสน์ของที่นี่จึงมีขนาดใหญ่โตกว่านครเรนทาโตมากนัก และคฤหาสน์อันเงียบสงัดเบื้องหน้าทั้งสองก็ยิ่งใหญ่โตโอฬารกว่าทั่วๆ ไป
“นี่คือคฤหาสน์ของดยุกดูดา” บนต้นไม้เขียวชอุ่ม ไวเคานต์คาเรนเดียยืนอยู่บนปลายกิ่งไม้กิ่งหนึ่งราวกับว่าตัวเขาไร้น้ำหนัก เสื้อคลุมสีดำของเขาโบกสะบัดไปกับกิ่งก้านสาขาเล็กๆ
คาทรินาลอยตัวอยู่ข้างๆ เขาโดยไม่พูดอะไร นางเรียกใช้พลังจิต ก่อนที่ดวงตาสีขาวดำจะปรากฏขึ้นตรงหน้า มันดูทั้งลึกลับและน่าขนลุก
นางทำตามระเบียบวินัยของนักเวทและพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยที่มิได้เตรียมความพร้อม
“เนตรสอดแนมงั้นรึ” ไวเคานต์เงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงตาดวงนั้น จากนั้นค้างคาวมายาสองสามตัวก็บินออกมาจากร่างของเขาและลอบเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับเวทเนตรสอดแนม
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ภาพภายในคฤหาสน์เกือบทั้งหลังก็เผยสู่ ‘สายตา’ ของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเวรยามทั้งในที่ลับและที่แจ้ง กับดัก จำนวนของศัตรู การจัดสรร และความสามารถทั่วไปของอีกฝ่ายต่างแสดงให้เห็น
“มีหลายจุดที่มีพลังลึกลับคุ้มกันอยู่ เราต้องเข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบ” ขณะอยู่ในสมรภูมิรบ คาทรินาจะพูดรวบรัดอยู่เสมอ จากนั้น ร่างของนางก็พลันโปร่งแสง ก่อนจะหายลับไปกับท้องนภายามค่ำคืน
“ทหารรักษาการณ์และลาดตระเวนด้านนอกไม่สามารถรับรู้ถึงเราเลยสักนิด…” ไวเคานต์คาเรนเดียกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านไร้ความเคร่งเครียด ก่อนที่ร่างของเขาจะกลืนหายไปกับความมืด “อ้อ ต้องระวังประสาทรับกลิ่นของพวกมนุษย์หมาป่าไร้อารยธรรม”
การคุ้มกันและกับดักภายในคฤหาสน์มีระดับสูงเพียงอัศวินและบาทหลวงชั้นล่าง จึงมิใช่ปัญหาอะไรสำหรับผู้มีพลังระดับสูงทั้งสอง เป็นมนุษย์หมาป่าสองสามตัวที่เดินเตร่ไปทั่วต่างหากที่พวกเขาต้องระวัง
ไม่นานทั้งคู่ก็เข้าไปในตัวคฤหาสน์ได้ และเดินผ่านผู้คนเข้าไปถึงห้องโถงหลักได้ราวกับเดินผ่านหุ่นกระบอกฝูงหนึ่ง!
คลื่นพลังอ่อนๆ วูบผ่านยามที่คาทรินาใช้เวทเนตรสอดแนมอีกครั้ง ปล่อยให้มันเข้าไปในอาคารหลักผ่านทางช่องว่าง
…
แท่นบูชาที่สร้างจากวัตถุไม่ทราบชื่อปรากฏขึ้นตรงหน้าเหล่าทหารรับจ้าง ในขณะที่ดาบ กริช และอาวุธอื่นๆ กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น
แท่นบูชานั้นเป็นสีดำสนิท สลักลวดลายใบหน้าดูน่าหวาดกลัวรอบแท่น พวกมันต่างมีเขาอยู่บนศีรษะและใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก และจากฟันที่ยื่นออกมานั้น มีหยาดโลหิตสีแดงสดไหลออกมามิหยุด
หลังจากที่เลือดไหลไปถึงอักษรรูนแสนซับซ้อนทางด้านล่างสุดของแท่น หมอกโลหิตแสนประหลาดก็ลอยขึ้นมา พร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นโฉทว่าหอมหวานนัก
ณ ใจกลางแท่นบูชา มีหุ่นจำลองรูปร่างคล้ายมนุษย์วางตั้งอยู่ แต่มันกลับมีเขาปีศาจแหลมๆ สองอันบนหน้าผาก
ดวงตาสีแดงฉานของมันดูน่าขนลุกขนพองอย่างยิ่งท่ามกลางความมืดมิด เพียงเหลือบมองก็ทำให้คนคนหนึ่งกระหายอยากในการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความขยะแขยงแล้ว
ยาคอฟ แอนนา และทหารรับจ้างคนอื่นๆ ถูกผลักออกมายังพื้นที่ว่างโล่งตรงหน้าแท่นบูชา ทุกคนต่างรู้สึกปั่นป่วนไม่น้อยหลังจากได้เห็นหุ่นจำลองและได้กลิ่นของหมอกโลหิต
ใบหน้าดูดาที่ดูบูดบึ้งและหยิ่งผยองแม้จะมีหนวดเคราปกคลุม เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “ทั้งหมดนั้นคืออาวุธของพวกเจ้า และสหายของพวกเจ้าก็คือศัตรู ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตรอดได้จนถึงช่วงสุดท้ายจักเป็นอิสระ”
“ใครจะไปเชื่อเจ้ากัน เจ้ามันคนวิปลาสบูชาปีศาจ!” แอนนาเอ่ยเยาะ แต่นางก็ก้าวขึ้นไปหยิบดาบสั้นมาไว้กับตัว อย่างไรเสีย พวกตนก็จำเป็นต้องใช้อาวุธในการหลบฟนี
ดูดาปรบมือเบาๆ แล้วมนุษย์หมาป่ากับอัศวินกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากมุมห้อง
เขาหัวเราะขบขัน “เจ้ามีสิทธิที่จะไม่เชื่อข้า แต่ผลที่ได้ก็คือ คู่ต่อสู่ของพวกเจ้าจักเป็นอัศวินขั้นสูงสิบสองคน อ้อ หนึ่งในนั้นคือมหาอัศวินเสียด้วย เจ้าคิดว่ามันดูมีหวังที่จะเอาชนะพวกเขามากกว่าหรือไม่”
เมื่อมองไปทางบุรุษที่ดูแข็งแรงซึ่งถือดาบยักษ์อยู่ในมือทั้งสองข้าง ยาคอฟก็รู้สึกหัวใจหนักอึ้ง นั่นคือมหาอัศวินที่จับตัวเขามาทั้งเป็น เขาและอีกฝ่ายต่างมีพลังโลหิตยักษ์ย้ำแข็ง แต่เขากลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง
เป็นไปได้หรือที่พวกตนจะเอาชนะพวกนั้นได้ ตอนนี้ แม้ว่ายาคอฟกับแอนนาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาแล้ว ส่วนทหารรับจ้างคนอื่นๆ นั้นยิ่งแย่ไปใหญ่ ใครบางคนตะโกนขึ้นมาว่า “ดยุกดูดา ยาคอฟคืออัศวินผู้หนึ่ง เราไม่มีทางเอาชนะเขาได้แม้ว่าเราจะร่วมมือกันก็ตาม!”
“แฮงก์!” แอนนาถลึงตาใส่รองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างด้วยความกรุ่นโกรธ
ยาคอฟพลันหน้าซีดเผือด นี่พี่น้องของเขากำลังจะสังหารเขาเพื่อแลกกับโอกาสในการรอดพ้นเช่นนั้นหรือ
“วางใจเถิด พลังโลหิตของยาคอฟถูกจำกัดไว้แล้ว” ดูดาแย้มยิ้ม
หมอกแสนพิสดารหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้ดวงตาของทหารรับจ้างหลายคนแดงก่ำ ใช่แล้ว ยาคอฟคือผู้ที่ทำให้พวกตนตกอยู่ในสถานภาพนี้ พวกเขาจะเป็นอิสระทันทีที่ยาคอฟตาย!
“ยาคอฟ นี่คือความผิดของเจ้า หากว่าเจ้ารู้สึกผิด ก็จงอย่าต่อต้าน และมอบความหวังในการมีชีวิตรอดให้กับเราเถิด” แฮงก์หายใจหอบหนักขณะหยิบดาบยาวขึ้นมา
เกิดเสียงดังเคร้งคร้างเมื่อทหารรับจ้างคนอื่นๆ ก้มลงไปหยิบอาวุธขึ้นมา
“ไม่!” แอนนากรีดร้องอย่างสิ้นหวังกับความน่าสะอิดสะเอียนของพวกเขา
ยาคอฟเงียบอย่างกระอักกระอ่วนขณะมองเหล่าทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตน
“ยาคอฟ อย่าพยายามทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย หากเจ้าถูกฆ่าตาย ข้าจะมอบคาทรินาให้กับสหายมนุษย์หมาป่าของข้า พวกนั้นยิ่งชมชอบเด็กสาวหน้าตาดีเสียด้วย” ดูดากล่าว
ยาคอฟส่งเสียงที่ฟังดูคลุมเครือ ละล้าละลังอยู่ไม่นานก็หยิบดาบยาวขึ้นมา
ดูดายิ้มด้วยความพอใจ และหุ่นจำลองบนแท่นบูชาก็ดูจะชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
…
“จริงๆ แล้ว ข้าไม่คิดว่าพวกมนุษย์หมาป่าไร้สมองจะชื่นชมความงามหรอก สำหรับพวกมันแล้ว ตัวเมียก็เหมือนๆ กันหมด” ไวเคานต์คาเรนเดียเอ่ยแย้งคำพูดของดูดาด้วยท่าทางสบายๆ
คาทรินาร่ายเวทจิตกลใส่ตัวเองเพื่อสะกดข่มโทสะของตน ก่อนที่นางจะตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย “ดูเหมือนว่าดูดาจะเป็นคนจัดทำพิธีบูชาปีศาจ เราจะได้เบาะแสต่อไปหลังจากที่เราจับตัวเขาได้”
“ใช่ รอบๆ นี้ไม่มีผู้มีพลังชั้นสูงอีกแล้วนอกจากมหาอัศวินสองคน” ไวเคานต์คาเรนเดียจัดหูกระต่ายของตัวเองราวกับกำลังจะไปร่วมรับประทานมื้อค่ำ
…
แอนนายกดาบสั้นขึ้นทั้งน้ำตา ทั้งเจ็บปวดและสิ้นหวัง แต่นางตั้งใจจะสู้จนตัวตาย
นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะเพราะกลิ่นคาวเลือด และคล้ายกับจะไม่สามารถควบคุมความเกลียดชังในใจได้ นางอยากจะสังหารสหายร่วมงานที่น่ารังเกียจเสียให้สิ้น
ดูดาก้าวถอยหลังและหยุดลงตรงหน้าประตูที่มีลวดลายแปลกประหลาด จากนั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นและประกาศกร้าว “มาเริ่มเทศกาลแห่งการฆ่าฟันและหักหลังกันเถิด!”
แสงสีแดงโลหิตสว่างวาบขึ้น แล้วพละกำลังของเหล่าทหารรับจ้างก็คืนกลับมา
แอนนาเงื้อดาบสั้นขึ้น แล้วฟาดฟันใส่แฮงก์ด้วยใจที่เจ็บปวดยิ่ง
‘ไม่นะ เราจะฆ่ากันเองไม่ได้!’
‘ฆ่ามัน! เขามันคนทรยศเลวระยำ’
‘ไม่นะ ไม่!’
ในขณะที่นางทุกข์ทรมานกับความสิ้นหวังอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องอึงอล และสัมผัสได้ถึงความร้อนจนแสบผิว ประตูห้องโถงพังลงเพราะลูกไฟขนาดมหึมา!
“ลูกไฟของลูเซียนงั้นรึ” ดวงตาของทุกคนนิ่งค้าง
เพราะการระเบิดนั้น เหล่าทหารรับจ้างจึงหยุดการปะทะที่ยังไม่เริ่มขึ้น พวกเขามองเห็นบุรุษผู้หล่อเหลาเดินเข้ามาในห้องโถงจากราตรีกาลอันมืดมิดด้านนอก ตามมาด้วยสตรีผู้งดงามโดดเด่น มีผมสีบลอนด์สลวยและดวงตาสีเขียว ทั้งสองเดินทอดน่องเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ ประดุจว่ากำลังเดินเข้ามาในงานเลี้ยง
‘พี่คาทรินา?’ แอนนาคิดขณะยังรู้สึกวิงเวียน
ยาคอฟและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่เชื่อสายตาตนเองเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง ร่างเงาของหมาป่าก็พุ่งเข้าใส่ผู้บุกรุกทั้งสอง มนุษย์หมาป่าคือกลุ่มแรกที่ได้สติและใช้ ‘พลังทำลายล้าง’เพราะพวกมันได้กลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนของแวมไพร์!
‘พลังทำลายล้าง’ กระแทกใส่ร่างของไวเคานต์คาเรนเดียและคาทรินา แต่มันกลับแตกกระจายดั่งเศษแก้ว
“ฮะๆๆ” เสียงหัวเราะขบขำดังก้องสะท้อนทั่วห้อง แล้วเศษซากเงาทั้งหลายก็กลายเป็นค้างคาวดำมายาที่อัดแน่นด้วยบรรยากาศชวนง่วงงุน!
“เวรตะไล!”
“มันคือกับดัก!”
เปลือกตาของพวกมันพลันหนักอึ้ง เหล่ามนุษย์หมาป่าค่อยๆ ล้มลงไปทีละตัวๆ
………………………………….