ภายในจัตุรัสบารอนเบชิก เมืองซามาร่า เขตแพฟอส…
ผู้คนยังคงหลงใหลในบทเพลงที่ดูเหมือนพรั่งพรูออกมาจากจิตวิญญาณของพวกเขา ทั้งจัตุรัสเงียบสนิท แม้แต่เด็กที่ไร้เดียงสาก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นกับบรรยากาศโดยรอบและไม่กล้าแม้แต่จะทำให้เกิดเสียงใดๆ เหมือนกับสถานที่แห่งนี้ถูกกักขังไว้ในตอนนั้น
พวกเขาไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกที่เกาะกุมจิตวิญญาณขนาดนี้มาก่อน สำหรับละครโอเปร่าในอดีต ดนตรีและโครงเรื่องเป็นอิสระออกจากกัน และไม่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้น แม้จะมีบทร้องเดี่ยวสุดคลาสสิคมากมายในประวัติศาสตร์โอเปร่า แต่ผู้ฟังส่วนใหญ่กลับไม่รู้สึกเข้าถึงดนตรีเพราะไม่ได้มีอารมณ์คล้อยตาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมีความรู้สึกสุดพิเศษว่าดนตรีเข้าถึงจิตวิญญาณ
แต่ครั้งนี้ “วัลคีรีส์” คือข้อยกเว้น โครงเรื่องถูกสร้างขึ้นทีละขั้นทีละตอน และท่วงทำนองที่ฟังดูเหมือนบรรเลงโดยออร์เคสตราทั้งวงก็ถ่ายทอดอารมณ์อย่างเต็มที่ ผลที่เกิดจากการผสมผสานกันสร้างผลงานชั้นยอดเสียยิ่งกว่าการแยกตัวเป็นอิสระจากกัน ฉะนั้น ผู้ฟังจึงหลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องราวและดนตรีทั้งตัวและหัวใจ และรู้สึกเหมือนกับที่ตัวละครรู้สึก
นั่นเป็นสาเหตุที่เมื่อบรรเลงเพลง “ประจัญบาน” พวกเขาจึงรู้สึกว่ากำลังติดตามเจ้าหญิงขณะประจัญบานเข้าสู่สนามรบ นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเศร้า ความเสียใจ และความมุ่งมั่น เมื่อเจ้าหญิงร้องเพลง “อนุสรณ์ผู้กล้า” จนถึงจุดที่เลือดในกายของพวกเขาเย็นเฉียบ
ลูเซียนไม่อยากจะบอกว่าโครงเรื่องนี่สมบูรณ์แบบและเหนือกว่าบทละครของนักเขียนคนไหน แต่เขาก็ประกาศได้อย่างภาคภูมิใจว่ามันกระแทกใจผู้ชมได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความเงียบงันดำเนินต่อไปจนกระทั่งมีเสียงแผ่วเบาดังสะท้อนก้องในจัตุรัส
“ผู้กล้าไม่เคยตาย”
“พวกเขาเพียงแค่จางหายไปจากความทรงจำของผู้คน”
เด็กสาวคนหนึ่งถึงกับร้องตามในบทร้องเดี่ยวตอนจบ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้มีเสียงไพเราะเหมือนนักร้องที่สวมบทเจ้าหญิง และการเลียนเสียงของนางก็ผิดเพี้ยนเพราะความยากของเทคนิคการร้อง แต่นางก็ร้องออกมาจากหัวใจและความรัก ราวกับว่านางได้เห็นสหายและเพื่อนฝูงล้มตายไปต่อหน้า
เสียงเพลงที่ฟังไม่ชัดเจนนั้นทำลายความเงียบในจัตุรัสและส่งปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อๆ กันไป บานัส, อาลี และผู้ชมคนอื่นต่างหน้าปากค้างและส่งเสียงผิวปาก
“ฝังกระดูกของข้า แต่อย่าตั้งอนุสรณ์ใด…
“… เพราะเมืองที่รุ่งเรืองแห่งนี้คืออนุสรณ์ที่ดีที่สุดของเรา!”
เสียงเพลงดังกึกก้องในจัตุรัสบารอนเบชิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าจิตวิญญาณของผู้กล้ากำลังจ้องมองมาตุภูมิของตน และไม่อยากจากไป!
เวลาผ่านไปนานกว่าพลเมืองจะหลุดออกจากบรรยากาศนี้ และเริ่มพูดคุยกันอย่างสนอกสนใจถึงเรื่อง “วัลคีรีส์” การเปลี่ยนแปลงละครโอเปร่าของท่านอีวานส์ บทเพลงคลาสสิค เช่น “ย่ำรุ่ง” และ “ประจัญบาน” บทร้องเดี่ยวสุดวิเศษ เช่น “อนุสรณ์ผู้กล้า” นักแสดงชายหญิงมากฝีมือ และมังกรที่น่ากลัว และรวมไปถึง “การถ่ายทอดสด” ที่มีทั้งภาพและเสียงให้รับชมรับฟัง
ในระหว่างการพูดคุยนั้น จู่ๆ อาลีก็เปลี่ยนท่าทีและหันหลังกลับ
“อาลี เจ้าจะไปไหน?” บานัสกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกในคืนนี้กับคนแปลกหน้าใกล้ๆ ด้วยความตื่นเต้น ตอนที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาของอาลี เขาแปลกใจขึ้นมา ปกติเพื่อนของเขาจะร่าเริงที่สุดไม่ใช่หรือ? หรือยังมีที่อื่นที่มีชีวิตชีวาไปกว่าจัตุรัสแห่งนี้อีกหรือไง? เขาไม่อยากแลกเปลี่ยนความรู้สึกหลังจากได้ฟังละครโอเปร่าเรื่องนี้เลยหรือ?
อาลีตอบด้วยความจริงจังและตื่นเต้นกับอะไรบางอย่าง “ข้าจะกลับบ้าน!”
“กลับบ้านทำไม?” บานัสหยุดสนทนากับคนแปลกหน้าและตั้งใจฟังอาลี ก่อนที่จะถามด้วยความสับสน อาลีกำหมัดขวาแน่นโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะเก็บของเดินทางไปเรนทาโต!”
“อะไรนะ? เรนทาโต? เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?” บานัสคิดว่าเพื่อนของเขาคงประสาทหลอน จู่ๆ เขาจะไปเรนทาโตทำไม? ที่นั่นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร ไม่ใช่เมืองชนบทเล็กๆ!
อาลีส่ายหน้า “ข้าไม่ได้บ้า ข้าคิดว่ามาดีแล้ว ข้าจะไปเรนทาโตดีกว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างซามาร่า”
“แต่… แต่เมืองเล็กๆ ไม่ดีตรงไหน?” บานัสถามขึ้นด้วยความตกใจ
อาลีสูดหายใจเข้าเต็มปอด ชี้ไปที่ “ผ้าม่าน” ตรงฉากสามเหลี่ยมด้านหลังพวกเขา “บานัส เจ้าเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้เราเห็นและได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ นั้นไหม? มันช่วยให้เราได้ชื่นชมโอเปร่าที่แสดงในเรนทาโต”
“เห็นสิ แล้วทำไมเจ้าถึงอยากไปเรนทาโตในเมื่อเราดูจากเมืองของเราได้?” บานัสยิ่งสับสนไปใหญ่
อาลีถอนหายใจเบาๆ “บานัส สิ่งประดิษฐ์พวกนี้หมายถึงอะไร? การที่เมืองเล็กๆ มีสิ่งประดิษฐ์แบบนี้หมายความว่าอะไร?”
แล้วเขาก็ตอบคำถามของตัวเอง “มันบอกว่าการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายร้อยปี กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศและยุคของเรา สิ่งใหม่ๆ กำลังเกิดขึ้นและเติบโตในทุกๆ วัน”
บานัสพยักหน้า เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงรอบตัวแม้จะอยู่ในเมืองเล็กๆ ก็ตาม
“การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่มีวันหยุด ไม่ต่างจากน้ำหลาก สิ่งเดียวที่เราทำได้คือต้องยอมรับมัน แต่ว่าข้าจะไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ในยุคที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ บานัส ลองคิดดูสิ การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยโอกาสไม่ใช่เหรอ? ตราบใดที่เราคว้าโอกาสได้ ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
“ข้าไม่อยากอยู่อย่างซังกะตายในเมืองเล็กๆ ที่ข้าต้องรับตำแหน่งข้ารับใช้ของเลขาต่อจากพ่อ แต่งงานกับหญิงสาวที่มีสถานะเดียวกับข้า มีลูก ชีวิตวุ่นวาย และแก่ ข้ากลัวชีวิตที่มองเห็นภาพล่วงหน้าชัดขนาดนี้ ชีวิตถูกกำหนดมาแล้วหรือ? ข้าจะไปเรนทาโตเพื่อตามหาความฝัน และหาที่ของข้าในการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ข้าจะเดินหน้าต่อไปสุดความสามารถ”
ความเศร้าโศกของอาลีเห็นได้ชัดเจน
“แต่ซามาร่าก็กำลังเปลี่ยนแปลง แล้วการแต่งงาน มีลูก ชีวิตวุ่นวาย และแก่ตาย… ทุกคนก็ต้องเจอ เจ้าก็ต้องเจอแม้จะไปตามหาความฝัน” บานัสพยายามปลอบเขาให้เย็นลง
“นั่นเป็นทางที่ทุกคนต้องเจอจริงๆ แต่ระหว่างทางก็มีเรื่องอัศจรรย์ได้เหมือนกัน บานัส จริงอยู่ที่ซามาร่ากำลังเปลี่ยนแปลง แต่มันช้าไป เฉพาะในเรนทาโตเท่านั้นที่เจ้าจะรู้สึกถึงพลังของยุคเราและมีโอกาสเปลี่ยนชีวิต”
“เพราะอย่างนี้ ข้าต้องไปเรนทาโต ไม่ว่าจะได้เรียนในโรงเรียนสามัย หรือหลานเซียง หรือหางานในอุตสาหกรรมใหม่ ข้าคิดจะเลือกสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต”
น้ำเสียงของอาลีสงบและมุ่งมั่น เขาใช้คำว่า “พลังแห่งยุค” ที่เขาได้ยินมาจาก “เสียงแห่งอาร์คานา” อธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องไปเรนทาโต
เมื่อมองเข้าไปในตาของอาลีและสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่น บานัสก็เงียบลง เขาพยายามเปลี่ยนใจเพื่อนครั้งสุดท้าย “ลุงบัลซ่าไม่เห็นด้วยแน่ แม้ที่เรนทาโตจะมีโอกาสมากมาย แต่ก็มีสิ่งยั่วยวนใจมากเกินไปสำหรับคนธรรมดาอย่างเรา เจ้าอาจจะตายอยู่ในสลัม ยากจนและเหน็บหนาวโดยไม่มีใครรู้”
“ข้ารู้ว่าข้าอาจล้มเหลวและต้องกลับมาซามาร่ามือเปล่า แต่มันจะตลกและไร้สาระที่สุดที่ต้องยอมรับความล้มเหลวโดยไม่พยายาม ลองเทียบอดีตกับอนาคตเมื่อไม่มีการพัฒนา ตอนนี้ถึงเวลาที่โอกาสใกล้ตัวคนธรรมดาอย่างเรามากที่สุด ถ้าเราไม่สู้ตอนนี้ เราจะรอให้อนาคตลำบากมากกว่านี้หรือไง?”
การติดต่อกับ “เพื่อนทางจดหมาย” ช่วยให้อาลีได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายและเข้าใจโลกเสียใหม่ “สำหรับพ่อข้า ข้าจะอธิบายกับเขาเอง ถึงเขาจะไม่เห็นด้วย ข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่มันความรับผิดชอบที่ต้องเลี้ยงดูปากท้องตัวเอง ไม่ว่าชีวิตจะลงเอยอย่างไร มันคือสิ่งที่ข้าเลือก บานัส มากับข้าเถอะ เราจะสร้างอนาคตที่สดใสด้วยกันที่เรนทาโต!”
บานัสรู้สึกว่าหัวใจของเขาร้อนเป็นไฟไม่ได้ยินคำพูดของอาลี มหานคร เมืองหลวง โลกช่างงดงาม มีถนนที่รุ่งเรืองที่สุด การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ โอกาสมากมาย และอนาคตที่สดใสที่สุด เขาอาจได้เจอกับนักเวทตามท้องถนนและได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเขา ซึ่งไม่ใช่ความฝันที่เป็นไปไม่ได้ และ “เสียงแห่งอาร์คานา” เคยรายงานเรื่องนี้มาก่อน
แต่แล้ว เขาคิดถึงตัวเองที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากแรงกาย เขาคิดถึงเมืองที่แปลกตา ถนนที่แปลกไป ผู้คนที่ไม่คุ้นหน้า และความอาฆาตมาดร้ายจากคนแปลกหน้า หัวใจของเขาก็เฉียบเย็น เขามองไปทุกอย่างรอบตัวที่คุ้นเคย แล้วก็ส่ายหน้าบอกว่า “อาลี ข้าอยากอยู่ที่ซามาร่า ข้าคิดว่าข้าคงเหมาะกับเมืองเล็กๆ มากกว่า…”
อาลีพยายามจูงใจเขา แต่บานัสก็ยังกลัวอันตรายที่ยังมาไม่ถึงและไม่กล้าออกจากซามาร่า
สองสามวันต่อมา
ณ ชานชาลาซามร่า อาลีสวมเสื้อคลุมสีดำและหมวกทรงสูงที่บัลซ่า พ่อของเขา เตรียมไว้ให้ จากเด็กหนุ่มเต็มตัว เขากลายเป็นสุภาพบุรุษหนุ่มที่คล่องแคล่ว
เขาถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ บอกลาพ่อแม่และสืบเท้าตรงไปที่ประตูรถไฟไอน้ำเวทมนตร์ แล้วเขาก็มองกลับมาที่ชานชาลาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ด้านหนึ่งเขาไม่อยากจากบ้านเกิดของตัวเอง ส่วนอีกด้านหนึ่ง เขาก็สงสัยว่าทำไมบานัสไม่มาส่งเขา
“วันนั้นข้าทำร้ายความรู้สึกเขาหรือเปล่า?”
“หรือ เขาคิดว่าข้าหักหลังมิตรภาพของเราที่ไม่ยอมอยู่ในเมืองนี้?”
อาลีรู้สึกสับสน กังวลว่าได้เสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปแล้ว
เขาหันกลับไปมองทุกๆ ก้าว แต่ก็ไม่เห็นบานัสโผล่มา เขาจึงรู้สึกผิดหวังมากยิ่งขึ้น
หลังจากเข้าไปในตู้โดยสารและหาที่นั่งของตัวเอง อาลีชะเง้อออกไปนอกหน้าต่างและโบกมือร่ำลาพ่อแม่อีกครั้ง น้ำตาเอ่อขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องจากพ่อและแม่
“อาลี!” เสียงของบานัสดังมาแต่ไกล เขาโบกมือรัวๆ และรีบวิ่งเข้ามา ในมือซ้ายถือผลไม้สีม่วงและน้ำเงิน
บานัสแทรกตัวเบียดทุกคนไปที่หน้าต่างรถไฟแล้วพูดขึ้นเสียงดัง “ให้ตายเถอะ ข้าจำเวลาผิด! เอานี่ไป ลูกซามาร่าของโปรดของเจ้า ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้กินมันอีกแล้วหลังไปถึงเรนทาโต”
ลูกซามาร่าเป็นผลไม้ท้องถิ่นของเมือง ซึ่งจะสุกช่วงสิ้นเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
น้ำตารื้นเต็มตาอาลี บานัสก็ยังสะเพร่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน!
ปู๊น!
เขารับผลไม้มา ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เสียงสัญญาณรถไฟก็ดังสนั่นไปทั่ว
อาลียกมือขึ้นบังตาตัวเองแล้วตะโกนว่า “บานัส ข้าจะมาพาเจ้าไปเรนทาโต ถ้าถึงเป้าหมายแล้ว!”
บานัสโบกมือลา “ได้เลย! ห้ามลืมซามาร่า!”
ปู๊น! ฉึกฉัก! ฉึกฉัก!
“ข้าจะกลับมา เมื่อฝันเป็นจริง!” อาลีกำหมัดไม่ให้ใครเห็น รถไฟไอน้ำเวทมนตร์เดินเครื่องและวิ่งเร็วขึ้นเร็ว ไกลห่างออกไปจากชานชาลาเรื่อยๆ
ตาของอาลีฝ้าฟาง เขาแทบมองเห็นอะไรไม่ชัด เขายังโบกมืออยู่แต่บานัสกับพ่อแม่ก็อยู่ไกลออกไปทุกทีๆ….
……………………………………………………