Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 736 ฝนดาวตก

บทที่ 736 ฝนดาวตก

ณ เมืองลอยฟ้า หอคอยเวทมนตร์อัลลิน ชั้นที่สามสิบสาม…

หลังจากได้รับรายงานจากราชาแห่งชะตากรรม ฮัล-ชูเลียแล้ว เฮลเลนก็เปิดวงเวทสีแดงเข้มตรงมุมโต๊ะของนางในทันที เส้นพลังของวงเวทคดเคี้ยวราวกับไส้เดือน

สีแดงเข้มเปล่งแสงสว่าง เสียงอันเปี่ยมสุขและสุกสดใสของพรอสเปลล์ องครักษ์ของหอคอยเวทมนตร์อัลลินก็พลันเงียบลงและเคร่งขรึม “แผนฉุกเฉินสามทำงาน ติดต่อมิติพิเศษทุกมิติ…”

สองวินาทีต่อมา ม่านแสงสีแดงสดก็แผ่ออกรอบตัวเฮลเลน แบ่งออกเป็นสิบห้าภาพ มีแผ่นดินที่ต่างจากโลกจริง อาณาจักรที่มีกระแสไฟฟ้าและแม่เหล็กเดือดดาล สวนที่สว่างและสลัวเหมือนกับหัวใจมนุษย์ และจักรวาลอันกว้างใหญ่และสว่างไสว

“ถ้าไม่นับเหล่ามหาจอมเวทที่ออกไปทำภารกิจ มิติพิเศษทั้งสิบห้ามิติเปิดออกและตอบรับแล้ว” พรอสเปลล์ตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน

เฮลเลนมีสีหน้าสงบนิ่งและพูดสั้นๆ “เจตจำนงแห่งอเวจีพยายามมายังที่ดินแดนตอนเหนือ ยังพอมีเวลาหยุดพวกมัน ข้าขอให้มหาจอมเวทสามคนไปพร้อมกับข้า”

ข้อเสนอแนะนั้นก็คือป้องกันการเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย แม้ถ้าตกหลุมพรางหรือไม่อาจหยุดเจตจำนงแห่งอเวจีได้ ทั้งสามก็ยังทรงพลังพอที่จะหลบหนีออก แต่เจตจำนงแห่งอเวจีก็ยังเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ แม้จะบาดเจ็บขนาดไหน เขาก็ยังสามารถสังหารใครก็ตามที่มีพลังต่ำกว่าผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามได้ในพริบตา

ถ้าเขามีร่างกายสมบูรณ์ เฮลเลนคงไม่ขอให้มหาจอมเวทเข้าไปเผชิญหน้า แต่ต้องขอกำลังเสริมจากนักเวทชั้นตำนานระดับสูงสุดเท่านั้น ด้วยเวทมนตร์และอุปกรณ์ที่ไม่ธรรมดา ยังพอมีหวังให้ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามหนีรอดจากมนุษย์ครึ่งเทพได้ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงสูงอยู่ดี แต่ใครจะกล้าเสี่ยงตาย ถ้าไม่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ?”

นอกจากนี้ ในฐานะผู้มีพลังชั้นตำนานที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มกระท่อมแห่งพาล์เมราแล้ว เฮลเลน ไพรซ์ ไม่คิดถอยหนี แต่ประกาศลั่นว่านางจะรับมือด้วยตัวเอง ถ้าผู้ปกครองดินแดนตอนเหนือที่แท้จริงอย่างนางไม่พร้อมรับความเสี่ยงนี้ มหาจอมเวทคนอื่นๆ ก็คงคิดหนักว่าควรหนีไปหรือไม่

ความเด็ดขาดของเฮลเลนก็ช่วยให้ไม่เกิดการโต้เถียงถึงความรับผิดชอบในการประชุมฉุกเฉินของสภาสูงสุด ดักลาสพูดขึ้นด้วยอาการสงบนิ่ง “เนื่องจากศัตรูของเราคือเจตจำนงแห่งอเวจี เราต้องใช้จอมเวทชั้นตำนานอย่างน้อยสองคน อีกอย่าง ข้าเกรงว่าจะมีแผนร้ายอยู่เบื้องหลังเหตุกะทันหันครั้งนี้ เฟอร์นันโด แฮททาเวย์ เฮลเลน และข้าจะขึ้นเหนือไปหยุดเขาเอง บรูคกับแฮททาเวย์จะรับไม้ต่อจากเฮลเลนดูแลอัลลิน คนที่เหลือคอยระวังที่ตั้งของตัว ติดต่อกันไว้ตลอด”

“รับทราบ” ลูเซียนไม่ลังเล เฟอร์นันโดก็มาถึงห้องสมุดของเฮลเลนแล้ว เขาใจร้อนแบบนี้เสมอ

เนื่องจากแนวชายฝั่งตอนเหนือไกลจากอัลลินมาก วงเวทขนส่งทำงานเร็วกว่าการกระโดดข้ามมิติ ดังนั้น ดักลาส ลูเซียน และกำลังเสริมคนอื่นๆ เทเลพอร์ตไปยังสำนักสาขาของสภาเวทมนตร์ในเมืองแคสวิก

ณ ชั้นบนสุดของคอหอย…

เบิร์กเนอร์เหม่อมองท้องฟ้าที่มืดมิดและคิดกับตัวเองอยู่ในใจ ฝนดาวตกคืนนี้เป็นสัญญาณถึงอะไรกัน?

ฝนดาวตกตกลงสู่ห้วงลึกของมหาสมุทรไร้พรมแดน เบิร์กเนอร์ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องการพยากรณ์มาตั้งแต่แรก เขาไม่ใส่ใจมัน หลังจากตีความความหมายสัญลักษณ์อยู่พักใหญ่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขานึกขึ้นมาได้อีก เขารู้สึกเหมือนกระสับกระส่ายไม่สบายใจ

ท่านหญิงเพลิงผลาญมีชื่อที่ดูเป็นหญิงมากๆ ว่า “เอเลน” นางดูสง่างามเหมือนกับดอกกุหลาบ แต่หลังจากนางใส่เกราะที่ดูเหมือนสร้างจากกลีบกุหลาบและหยิบดาบสั้นที่เพลิงลุกไหม้ขึ้นมา ความเปราะบางและความเป็นหญิงทั้งหมดที่สลายไป นางดูเหมือนกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนที่พร้อมจะเผาไหม้จนใครๆ ต่างต้องถอยห่าง ไม่มีใครสามารถมองเข้าไปในตาของนางได้

“บรรยากาศของความโกลาหลกำลังทวีคูณ หมายความว่าเจตจำนงแห่งอเวจียังมาไม่ถึง ก็พอมีเวลาให้เราหยุดเขา เราไม่อาจรอกำลังเสริมจากอัลลินได้ เราอาจเสียโอกาสถ้ามัวแต่รอ ข้าไม่อยากเห็นบ้านเกิดกลายเป็นอเวจีแห่งความโกลาหลและเลือด” นางและฮัล-ชูเลียเดินทางมาถึงป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์

เนื่องจากระยะทางไม่ไกลนัก การขนส่งข้ามอวกาศและการเดินทางเร็วที่พลังของอัศวินชั้นตำนานนำมาใช้สามารถเดินทางได้เร็วเท่ากับการกระโดดข้ามมิติพิเศษของนักเวทชั้นตำนานได้

นางประกาศขึ้นก็เพื่อจะแสดงความมุ่งมั่นให้เห็น ในแง่ของการปกป้องมาตุภูมิบ้านเกิด อัศวินชั้นตำนานมีความมุ่งมั่นยิ่งกว่านักเวทชั้นตำนานด้วยหลักปฏิบัติของอัศวิน

ราชาแห่งชะตากรรมมีทรงผมที่ดูเหมือนเมฆม้วนบนท้องฟ้า เขาค่อนข้างอ้วนและดูเป็นมิตร เขายิ้มและพูดก่อนมา “นานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มา ดูเหมือนเจตจำนงแห่งอเวจีเลือกทางที่ไม่ฉลาดนัก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการมาถึงเรนทาโต”

ในศึกเรนทาโต ด้วยการบวงสรวงโลหิต หลังจากวิมานบนดินถูกทำลาย เจตจำนงแห่งอเวจีก็มาถึงด้วยเวลาที่สั้นมาก ไม่เปิดโอกาสให้เบเนดิกต์ที่สองได้ตอบโต้ ในทางกลับกัน การมาของเขาครั้งนี้ ใช้เวลานานกว่าครั้งก่อนเกือบสามเท่า ดูเหมือนเขายังมาไม่ถึงครั้งทางเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาเลือกวิธีที่ยังไม่พัฒนาและไม่ต้องใช้พลังมากนัก

ฮัล-ชูเลียไม่ได้สงสัยเรื่องนี้มากนัก ถ้าเจตจำนงแห่งอเวจีพิจารณาข้อดีข้อเสีย เลือกช่วงเวลาอย่างรอบคอบ และลงมือหลังจากฟื้นคืนพลังแล้ว เขาจะไม่ใช่ “เจตจำนงแห่งอเวจี” แต่จะกลายเป็น “เจ้าแห่งนรก”! เลยทีเดียว

ฮัล-ชูเลียไม่เสียเวลาคิดว่าทำไมเขาถึงเลือกวิธีนี้ ถ้าเขาเดาได้ เขาชักสงสัยว่าเขาถูกไอแห่งอเวจีเข้ามาแปดเปื้อน และสูญเสียสติปัญญาและความมีเหตุผลที่เขาภูมิใจนักหนามาตลอด เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเข้าใจอเวจี

ณ กลางป่า มวลความมืดที่ดำสนิทราวกับหมึกดำปกคลุมผืนดิน ต้นไม้ทุกต้นในเขตแนวต่างถูกความมืดดำอันน่าสะอิดสะเอียนอย่างไม่น่าเชื่อเข้าครอบงำ ดวงตาสีแดงลืมขึ้นกลางลำต้น และกิ่งก้านก็ขยับยุบยับเหมือนกับหนวดปลาหมึก

“ป่าแห่งสัตว์ประหลาด…” ท่านหญิงเพลิงผลาญออกความเห็นด้วยความประทับใจ แล้วนางก็เห็นประตูเลือดในสถานที่อันมืดมิดที่สุดแห่งนี้ บนประตูมีรูปแบบที่ดูทำให้งงงวย แม้กระทั่งผู้มีพลังชั้นตำนาน

รอบประตูเลือด เปลวเพลิงสีแดงเข้มและซีดขาวลุกโชนขึ้นอย่างคาดเดาไม่ได้ และดูไม่เป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์

“ไม่เลว เราป้องกันภัยครั้งนี้ได้ ถ้าเราทำลายประตูมิติดินแดนใหม่ที่มนุษย์ครึ่งเทพตนนั้นจะใช้เดินทางมา ก่อนที่มันจะสร้างขึ้น” ราชาแห่งชะตากรรมยังไม่สิ้นเสียง เมื่อเสียงคำถามชั่วร้ายดูโกลาหลดังออกมาจากหลังประตู

บรู๊วววว!

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

วงเวทของฮัล-ชูเลียทำงานอัตโนมัติ เมฆที่มีสายฟ้าคำรามปกคลุมรอบตัว และช่วยพยุงเขาที่เกือบตกลงจากท้องฟ้า

ท่านหญิงเพลิงผลาญร่วงลงมาเกือบสิบเมตร ก่อนที่จะตั้งหลักได้ เพลิงผลาญลุกโชนพวยพุ่งจากร่างของนาง ซึ่งดูเหมือนนางจะกลายเป็นเปลวเพลิงไปเสียจริงๆ

ลูกไฟร่วงลงจากร่างของนางตกลงพื้น จุดไฟท่ามกลางความมืดและต้นไม้ นางออกอาการบาดเจ็บให้เห็น

ฮัล-ชูเลียกับนางมองหน้ากันด้วยอาการตกตะลึง นี่คือพลังของมนุษย์ครึ่งเทพรึ? ทั้งสองบาดเจ็บจากเพียงแค่เสียงคำรามอันสับสนอลม่าน แม้ตัวศัตรูยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ? ถ้าเขามาถึงจริงๆ ทั้งสองจะไม่เสียสติและกลายเป็นเจ้าปีศาจไปเลยหรือ?

ด้วยประสบการณ์สนามรบนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งสองระงับความกลัวไว้ได้ คนหนึ่งเริ่มร่ายเวทชั้นตำนาน และอีกคนกลายร่างเป็นเพลิงที่เผาทุกอย่างรอบตัวของทั้งสอง เพลิงผลาญเกาะกุมประตูโลหิต และเผาไหม้พร้อมกับเสียงประตูแตกหัก

หนวดปลาหมึกสีดำทะลุขึ้นมาจากโลกใต้พิภพและหวดเข้าใส่เปลวเพลิง ทั้งสองถูกรายล้อมด้วยไอความมืดที่ชั่วร้ายและอลหม่าน

อย่างไรก็ตาม เวทลับของฮัล-ชูเลียดังสะท้อนได้ถูกจังหวะ สายลมพัดกระโชกในป่า มวลอากาศทั้งแรงดันสูงและแรงดันต่ำก่อพายุพิโรธ และสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

เปรี๊ยะ

หนวดปลาหมึกถูกทำลาย ดินถูกทะลวง จนเผยให้เห็นสัตว์ประหลาดภายในถ้ำ เขาไม่มีสัญญาณของความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย เห็นเพียงก้อนเนื้อที่ยื่นออกมา หนวดปลาหมึกดิ้นแด่วๆ และดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนบนตัวของมัน

ตู้ม!

เมฆควบแน่น และเจ้าสัตว์ประหลาดที่วิญญาณและชีวิตของมัน “ระเหิด” ถูกสายฟ้าทำลายจนไม่เหลือซาก

บรู๊วววว!

เสียงคำรามอลม่านและชั่วร้ายดังสะท้อนเหมือนกับเวทด้านหลังประตูโลหิต ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็พวยพุ่งขึ้นมา พัดท่านหญิงเพลิงผลาญกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศ จนนางกลับสู่ร่างปกติ นางดูตัวซีดขาว

เมื่อนางกัดฟันกรอด และพร้อมเข้าประจัญบานอีกครั้ง นางก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวล

“สวรรค์แห่งหมู่ดาว!”

ลูกโลกสวรรค์รูปร่างแปลกประหลาดลอยขึ้นไปยังยอดบนสุดของประตูโลหิต แสงอันงดงามและบริสุทธิ์พัดกระจายไปเหมือนละอองดาว และจักรวาลอันลึกลับและดำมืดก็ปรากฏขึ้น ปกคลุมทั่วบริเวณ

ท่ามกลางความหนาวเหน็บอันเป็นอนันต์ ดวงดาวสุกสกาวเชื่อมต่อกันเป็นวงเวทต่างๆ ตามหลักโหราศาสตร์ ความมืดที่กำลังพลิ้วไหวไปมาก็หยุดลง และต้นไม้ที่เต็มไปด้วยดวงตาและก้อนเนื้อก็เหี่ยวแห้ลง เสียงคำรามจากด้านหลังประตูโลหิตก็ถูกจำกัดลง

“จักรพรรดิแห่งอาร์คานามาถึงแล้ว…” ท่านหญิงเพลิงผลาญเบาใจขึ้น นางรู้ว่าดักลาสและกำลังเสริมของสภาเวทมนตร์มาช่วย ไม่มีทางที่เจตจำนงแห่งอเวจี ซึ่งยังปรากฏตัวไม่สมบูรณ์ จะสู้กับนักเวทชั้นตำนานสูงสุดที่มีพลังใกล้เคียงกับมนุษย์ครึ่งเทพจากมิติอื่น ด้วยจุดประสงค์ของมันคืออะไรกันแน่ มันถูกกำหนดไว้แล้วให้พ่ายแพ้

เมื่อนางสิ้นความกังวล นางก็ได้ยินเสียงอันนุ่มนวลอีกเสียงหนึ่ง

“เวทเทพธิดาหิมะอโหสิ!”

เสาโปร่งแสงแท่นบูชาพุ่งผ่านตาของนาง ด้วยพลังจาก “สวรรค์แห่งหมู่ดาว” มันปะทะเข้ากับประตูโลหิตที่ถูกเพลิงมีแดงสดและขาวซีดเผาผลาญ

กระแสไฟฟ้าและเลเซอร์ที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ปรากฏขึ้น กลายเป็นตาข่ายหิมะและน้ำแข็งซึ่งตะแกรงหนาแน่นเกินกว่าจะมองเห็น อากาศภายในตาข่ายเย็นเฉียบ ต้นไม้กลายเป็นน้ำแข็ง เพลิงสีแดงสดและซีดขาวก็เป็นน้ำแข็ง ไม่ต่างจากประตูโลหิต ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในสภาพเย็นยะเยือกไร้ชีวิตและมืดมิด

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ท่านหญิงเพลิงผลาญกับราชาแห่งชะตากรรมรู้สึกว่าดวงตาของทั้งสองจะกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย ความหนาวเย็นสุดขั้วเกินกว่าจะหาอะไรมาเทียบนี้ทำให้ทั้งสองหนาวสั่นจากก้นบึ่งของหัวใจ

“ลูเซียน อีวานส์ มีเวทหิมะที่น่ากลัวขนาดนี้เชียวรึ?”

เฮลเลนผ่อนเวทมนตร์ของนางลง นางมองดูทั่วพื้นที่ที่อุณหภูมิเย็นเฉียบจนน่ากลัวด้วยความปรารถนาเดียวที่นางมีก็คือการศึกษาอาร์คานากับเวทมนตร์

ภายนอกวงโคจรของดาวเคราะห์ แสงศักดิ์สิทธิ์สีงาช้างค่อยๆ สว่างขึ้น แล้วเบเนดิกต์ที่สามก็ปรากฏตัวขึ้นจากสุญญากาศอันมืดมิด

เขายกคฑาทองคำขาวขึ้นสูง มองไปยังอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งใส่เขา เขาพูดด้วยเมตตาและเวทนา “เมื่อโลกสกปรกโสโครก เจ้าจะล้างโลกด้วยความพิโรธของเจ้า”

ในอวกาศที่ไม่มีอากาศ เสียงของเขาสะท้อนออกไปอย่างแปลกประหลาด

อุกกาบาตพวกนี้หยุดเคลื่อนไหวอย่างน่าอัศจรรย์ แล้วเปลี่ยนทิศทางโดยทิ้งร่องรอยเพลิงไหม้สว่างไสวในอวกาศ ส่วนที่หลงเหลือตกลงมาสู่อัลลินราวกับพายุฝน!

…………………………………………..

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท