ขณะพลิกเอกสารในมือไปเรื่อยๆ ดักลาสก็ออกความเห็นว่า “จริงอยู่ว่ารูปแบบการรวบรวมเวทมนต์ชนิดต่างๆ นั้นแตกต่างกับที่เราใช้อย่างมาก แต่มันก็ยังเป็นไปได้อีกด้วยว่าเขาจงใจปรับเปลี่ยนมันหลังจากที่ใช้แต้มแลกกับข้อมูลมาแล้ว นักเวทที่มีคุณสมบัติและมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลโครงสร้างดาวเคราะห์เทียมอย่างเต็มรูปแบบไม่มีทางเป็นคนโง่หรอก”
โครงสร้างแบบจำลองของเวทมนตร์และวงแหวนเวทไม่ได้มีความพิเศษซับซ้อนอะไร ตราบใดที่มันเป็นไปตามกลไกและกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนสุดท้ายของแบบจำลองเวทมนต์หรือวงแหวนเวทย่อมบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ เวทมนตร์ต่างๆ ที่เหล่านักเวทสร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานจากหลักการอาร์คานาที่เหมือนกัน ก็จะได้แบบจำลองที่มีแก่นสาระเหมือนกันแต่รายละเอียดแตกต่างกันไปตามรูปแบบของแต่ละคน
บางครั้งหากว่ารายละเอียดในการออกแบบของพวกเขาสมบูรณ์แบบและใกล้เคียงกับกลไกมากพอ แบบจำลองของพวกเขาก็อาจจะแสดงผลได้ดีกว่าแบบจำลองของคนอื่นๆ นี่คืออีกต้นกำเนิดที่สามารถสร้างเวทมนตร์พิเศษขึ้นมา ทว่าผลลัพธ์ที่ดีกว่ามิใช่จะสำคัญกว่าเสมอไป มันก็จะยังคงมีข้อจำกัดจากแก่นสาระของเวทมนตร์และไม่สามารถก้าวล้ำผ่านขีดสุดของมันได้
ด้วยเหตุนี้เวทมนตร์ส่วนใหญ่ที่เปิดกว้างให้สาธารณะชนใช้ จึงถูกรวบรวมเป็นแบบจำลองเวทมนตร์ที่แสดงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมันเป็นที่รู้จักกันดีในจักรวรรดิเวทมนตร์ในชื่อ ‘เวทมนต์มาตรฐาน’ และนั่นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในยุคของสภาเวทมนตร์ ที่ที่ผลงานการวิจัยเปิดกว้างให้ทุกคนเข้าถึง แต่ในหลายหลายกรณีการพัฒนาเวทมนตร์จำต้องพึ่งพาความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไก
แต่ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ จอมเวทหลายคนในสภาเวทมนตร์เกิดความคิดว่าบางที ‘เวทมนตร์มาตรฐาน’ อาจไม่มีอยู่จริงก็เป็นได้ กล่าวคือแบบจำลองเวทมนตร์ที่แสดงผลได้ดีที่สุดนั้นไม่เป็นสากล นักเวทแต่ละคนต่างมีแบบจำลองที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้มันแสดงผลได้ดีที่สุด
ปรากฎการณ์แปลกประหลาดนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนั้น งานศึกษาวิจัยเพิ่มเติมบ่งชี้ว่ามันเป็นเพราะโลกแห่งปัญญาที่แตกต่างของนักเวทแต่ละคน แบบจำลองเวทมนตร์ที่เหมาะสมกับโลกแห่งปัญญาของพวกเขามากที่สุดจะบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักเวททั้งหลายจะวิเคราะห์เวทมนตร์มาตรฐานและปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลังจากที่พวกเขาใช้แต้มแลกข้อมูลมาเพื่อที่เวทมนตร์มาตรฐานจะเหมาะสมกับพวกเขายิ่งขึ้น แต่แน่นอนว่า โลกแห่งปัญญาย่อมจะเสถียรหลังจากที่เลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางแล้วเท่านั้น ผู้ฝึกใช้มนตราและนักเวททั่วไปไม่นำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย
“ฮ่าๆ ดีแล้วที่จำกัดวงกว้างลงได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะอยู่นิ่ง เราจะได้รู้ว่าเขาคือใครหากว่าเขาทำเรื่องคล้ายคลึงกันนี้อีก” เฟอร์นันโดวงกลมรอบรายชื่อ นึกเกลียดชังผู้คิดคดทรยศเสียจนแทบจะอยากคว้าคอคนเหล่านั้นมาลิ้มรสความรู้สึกที่จะได้รับจากพายุ
หลังจากพูดคุยถึงเรื่องนี้กันเสร็จ จู่ๆ ดักลาสก็ถามเฟอร์นันโด บรูก และลูเซียน ถึงความคืบหน้าของงานวิจัยเรื่องทฤษฎีสนามควอนตัม “ยังไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอนันตภาพอีกหรือ ข้านึกว่าแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสนามของเจ้าจะถูกต้องเสียอีก หากเจ้าเดินไปตามเส้นทางนี้ เจ้าจะได้ค้นพบแก่นแท้ของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ช้าก็เร็ว อย่างน้อยที่สุด คำอธิบายในปัจจุบันก็มีความก้าวหน้าเสียยิ่งกว่าในอดีต บางที หลังจากที่ทฤษฎีนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น โลกแห่งปัญญาที่พังทลายและถูกปิดผนึกของบรูกก็อาจจะฟื้นตัว และเขาก็จะได้ค้นพบเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ”
ฟังจากน้ำเสียงและการเลือกใช้คำแล้ว ดักลาสยังค่อนข้างเป็นห่วงบรูก ลูกศิษย์ ‘ไม่รักดี’ ของเขา ทว่า การค้นพบหนทางไม่ได้หมายความว่าจะเลื่อนระดับพลังได้ ยังไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จหรอก เพียงความสมบูรณ์ของรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางนี้ก็คงใช้เวลานานหลายปีแล้ว ดังเช่นที่ดักลาสได้ ‘เห็น’ หนทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพผ่านทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปมาหลายปีแล้ว แต่เขากลับยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘ค้นพบ’ เส้นทางนั้น เขายังต้องรอการตอบสนองของโลกความเป็นจริงที่มีพื้นฐานจากดาวเคราะห์หรือหลุมดำทั้งหลาย
“อนันตภาพ…” เฟอร์นันโดทวนคำเสียงแผ่ว ราวกับว่าเขากำลังพยายามจะกลืนมันลงไป
ลูเซียนตอบกลับยิ้มๆ “เราตัดสินใจส่งรายงานไปเมื่อไม่นานมานี้เองขอรับ เพื่อที่เหล่าจอมเวทจะได้ศึกษามัน เป็นไปได้ว่าแนวคิดของพวกเขาอาจมอบแรงบันดาลใจในการแก้ปัญหานี้ให้กับเราขอรับ”
“ใช่แล้ว อาร์คานาศาสตร์นั้นไม่เหมือนกับเวทมนตร์ ด้วยความรู้และความสามารถที่มากพอ จอมเวทระดับกลางและสูงก็สามารถให้การสนับสนุนได้อย่างใหญ่หลวงเช่นกัน สิบกว่าปีที่ผ่านมา ความสำเร็จมากมายในขอบเขตโลกจุลภาครูปแบบใหม่นี้ก็มาจากเหล่าจอมเวทรุ่นหลังที่ระดับอาร์คานามิได้สูงอะไร นี่คือยุคสมัยของคนหนุ่มสาว เจ้าก็คือตัวแทนของคนเหล่านั้นที่โดดเด่นที่สุด” ดักลาสกล่าวด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
ลูเซียนแย้มยิ้ม “การศึกษาวิจัยโดยหลักแล้วก็เป็นท่านประธานกับอาจารย์ที่ทำมันจนสำเร็จขอรับ ท่านประธานขอรับ การเตรียมการสำหรับการออกสำรวจดาวเคราะห์เป็นอย่างไรแล้วบ้างขอรับ”
“ดีกว่าที่ข้าคาดไว้ บางที ภายในหนึ่งหรือสองเดือนนี้ ข้าก็อาจใช้เวทการกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลโพ้นได้ ข้าหวังว่าข้าจะสามารถค้นพบเจ้าพวกที่ทำให้ข้าปวดเศียรเวียนเกล้ามาหลายร้อยปีเสียที” ดักลาสตอบกลับด้วยการเล่นมุกแปลกๆ
“หนึ่งหรือสองเดือนงั้นหรือขอรับ” ลูเซียนประหลาดใจมากทีเดียว มิใช่ว่าท่านประธานประเมินระยะเวลาไว้ว่ามันอาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีหรอกหรือ
ดักลาสหัวเราะขัน “ข้าเปลี่ยนแผนน่ะ ข้าเลื่อนการออกสำรวจหาดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลโพ้นออกไป เพราะการค้นหาดวงอาทิตย์ที่อยู่ใกล้เรามากกว่าอาจจะง่ายดายกว่า แม้ว่าจะมิมีผู้ใดเคยทำมันสำเร็จก็ตาม”
ในยุคของจักรวรรดิเวทมนตร์ นักเวทชั้นตำนานหลายคนเคยพยายามค้นหาดวงอาทิตย์ผ่านการใช้เวทกระโดดข้ามอวกาศ แต่ก็ไร้ผล ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อว่าดวงอาทิตย์คือ ‘สัญลักษณ์’ ของมนุษย์ครึ่งเทพสักองค์หนึ่งและไม่สามารถระบุตำแหน่งได้หากมิได้รับอนุญาต นอกจากนี้ จากการเปรียบเทียบระหว่างดวงอาทิตย์และจันทราสีเงิน มันก็มีความเป็นไปได้ว่าพระเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะมิใช่เพียงมนุษย์ครึ่งเทพ แต่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้!
อย่างไรเสีย ดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงลงมาบนโลกและแผ่รัศมีสว่างไสวและอบอุ่นก็ได้รับการเคารพบูชาโดยทั่วไป จนกระทั่งดักลาสได้นำเสนอระบบการเคลื่อนไหวของวัตถุในฟากฟ้า เหล่านักเวททั้งหลายได้ตีตรามันถึงความสำคัญใหญ่หลวง ทำให้มันเป็นหนึ่งในวัตถุในฟากฟ้าที่มีความพิเศษและทรงอิทธิพลในสำนักโหราศาสตร์ เหมือนกับจันทราสีเงิน
ด้วยแนวคิดเช่นนั้น จึงมิมีนักเวทชั้นตำนานคนใดพยายามระบุหาตำแหน่งที่ตั้งของดวงอาทิตย์ จนกระทั่งดักลาสกลายเป็นนักเวทชั้นตำนาน แต่เขาเองก็ล้มเหลวในการค้นหาดวงอาทิตย์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยอมรับทฤษฎีที่ว่าดวงอาทิตย์คือมนุษย์ครึ่งเทพและภายหลังก็เบนเป้าหมายไปที่การออกสำรวจดวงดาวในจักรวาลอันไกลโพ้น
“ท่านประธานต้องระมัดระวังให้ดีนะขอรับ การคำนวณของเราอาจไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยอย่างรอบด้าน มันอาจเสี่ยงอันตรายมิน้อยหากท่านไปปรากฏตัวบนพื้นผิวดวงอาทิตย์หลังจากใช้เวทเคลื่อนที่” ลูเซียนเตือนอย่างเป็นกังวล
ลูเซียนไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ของการเทเลพอร์ตไปบนดวงอาทิตย์เลย เพราะความร้อนและแรงโน้มถ่วงรุนแรงที่แสนน่ากลัวอาจหยุดยั้งมิให้ประตูแห่งกาล-อวกาศเปิดออกได้
“นั่นคงจะเป็นเรื่องดีทีเดียว ข้าคงไม่นึกเสียดายอะไรแล้วแม้ว่าจะต้องตายทันทีที่ไปถึงก็ตาม” ดักลาสตอบยิ้ม ๆ ราวกับว่ามันคือเรื่องดีอย่างแท้จริง
เฟอร์นันโดไม่ได้พูดอะไรมาก ด้วยเพราะการสังหารนักเวทชั้นตำนานระดับสูงสุดนั้นมิใช่เรื่องง่าย เขามองไปทางลูเซียนด้วยดวงตาสีแดง “นอกจากทฤษฎีสนามแล้ว หกเดือนที่ผ่านมาเจ้ายุ่งอยู่กับอะไรกันน่ะ”
“วิเคราะห์เวทมนตร์ระดับตำนาน พัฒนาสมรรถภาพทางเวทมนตร์ และพยายามจะเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ระดับสามขั้นสูงสุด เพื่อที่ข้าจะได้ลองเลื่อนขึ้นระดับสี่ขอรับ” ลูเซียนไม่แน่ใจว่าคำถามของอาจารย์ตนแฝงความนัยอะไรหรือไม่ จึงตอบไป ‘ตามจริง’ แต่เขาก็ไม่ได้โกหกในเรื่องความสนใจในชีวิตของเขาช่วงนี้ หลังจาก ‘ความเมตตาของเทพธิดาหิมะ’ และ ‘เวทธาตุอารักขา’ เขาก็ได้สลักเวทมนตร์ระดับตำนานอีกสิบสามบทลงในดวงจิตของเขา และจำนวนคงจะเพิ่มเป็นสิบห้าภายในปีนี้ เขาจะกลายเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะก้าวขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสูงสุด
เฟอร์นันโดกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ที่ข้าถามน่ะคือเรื่องที่เจ้ายื่นเรื่องไปทางคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์ต่างหาก เจ้ากำลังวางแผนจะสร้างสิ่งใดในสถาบันอะตอมกันแน่ วัตถุดิบราคาแพงทั้งหลายที่เจ้าต้องการน่ะเพียงพอที่จะสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับเก้าเชียวนะ”
ใครบางคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ แต่เขาไม่ทราบถึงรายละเอียด
“ข้าใช้วัตถุดิบเสริมไปมากกว่าที่ยื่นเรื่องไปน่ะขอรับ” ลูเซียนส่ายศีรษะด้วยใบหน้ายิ้มๆ “เหตุผลหลักก็คือ พื้นที่หลายแห่งที่มีสภาพแวดล้อมอันตรายร้ายแรง มีเพียงนักเวทระดับสูงเท่านั้นที่เข้าไปได้ บางพื้นที่ยังถึงกับต้องเป็นผู้วิเศษด้วยซ้ำ ฉะนั้น จอมเวททั่วๆ ไปที่มีพรสวรรค์ด้านอาร์คานาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปสำรวจและศึกษาในพื้นที่ประเภทนั้น ซึ่งนั่นคือข้อจำกัดหลักๆ ที่ทำให้ไม่สามารถเกิดการพัฒนาทางอาร์คานาได้ อย่างไรเสีย ความสำเร็จมากมายในทุกวันนี้ก็อาศัยจากการเสียดสีของอนุภาค ร่องรอยแปลกประหลาดในระหว่างการทดลอง และการตรวจดูข้อมูลที่มีอยู่มากมายมโหฬาร มันคงจะใช้เวลานานยิ่งขึ้นหลายร้อยเท่าหากนักเวทชั้นตำนานและผู้วิเศษต้องทำงานเหล่านี้ตามลำพังน่ะขอรับ”
ดักลาสพยักหน้า “นั่นเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก เจ้ามีผลิตผลอะไรหรือยังเล่า”
“ใกล้จะสำเร็จแล้วล่ะขอรับ หลังจากที่มันใช้การได้ ข้าจะเปิดให้จอมเวททุกคนได้ใช้ แต่พวกเขาจะต้องยื่นเรื่องขอใช้ล่วงหน้าและได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดเสียก่อน” ลูเซียนอธิบายถึง ‘อุปกรณ์แปรธาตุ’ ของเขาอย่างคร่าวๆ และก็ได้รับความเห็นชอบจากดักลาสและเฟอร์นันโด
…
ภายในสถาบันอะตอม…
ไฮดี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ มองไปทางประตูห้องทดลองเล็ก มันเงียบสนิท ไร้เสียงใดเล็ดลอดออกมา
“เจ้าบอกว่าอาจารย์ของเรามักจะขังตัวเองอยู่ในห้องทดลองเล็กนี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และมีคลื่นเวทมนตร์แผ่ออกมาเป็นครั้งคราวอย่างนั้นหรือ” แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้พบกันหลายเดือน คาทริน่าก็มิได้รู้สึกแปลกแยกจากไฮดี้และสหายคนอื่นๆ ในสถาบันอะตอม นางกลับสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและความอบอุ่น เมื่อในที่สุด ยามนี้นางได้กลับมาถึงบ้านแล้ว
ไฮดี้พยักหน้าระรัวจนดูราวกับลูกไก่ “ใช่ เราไม่รู้เลยว่าอาจารย์กำลังทำอะไรอยู่ ท่านมีท่าทางลึกลับและปิดล็อกห้องทดลองแน่นหนาทุกๆ ครั้ง”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบประโยค ประตูห้องทดลองเล็กก็เปิดผ่าง ก่อนที่ลูเซียนในชุดสูทกระดุมสองแถวจะเดินออกมา
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะอาจารย์!” ไฮดี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ ทักทายเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างกวาดสายตาไปมา พยายามมองดูภายในห้องทดลองจากช่องว่างที่ลูเซียนยืนบังอยู่
“พวกเจ้าอยากรู้มากใช่หรือไม่” ลูเซียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หา? เจ้าค่ะ! ข้าอยากรู้มากๆ เลย!” หลังจากอึ้งไปเล็กน้อย ไฮดี้ก็รับพยักหน้ารับ
ลูเซียนมองไปทางลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ “พวกพวกเจ้าอยากรู้ เช่นนั้นอยากจะลองดูหรือไม่ แต่หนึ่งรอบจะรับได้แค่สี่คนเท่านั้น”
“ข้า! ข้าจะลองดูเจ้าค่ะ!” ไฮดี้เป็นหญิงสาวช่างสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด และนางก็เชื่อว่าอาจารย์ย่อมไม่มีทางทำร้ายนาง
เมื่อเห็นนางเป็นตัวอย่าง สปรินต์ คาทรินา และแอนนิคจึงชิงยกมือตัดหน้าคนอื่นๆ
“เอาล่ะ ตามข้าเข้ามา” ลูเซียนหันหลังกลับ เผยให้ทุกคนเห็นภายในห้องทดลอง
…………………………………….