Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 746 การทดลองลึกลับของลูเซียน

บทที่ 746 การทดลองลึกลับของลูเซียน

ขณะพลิกเอกสารในมือไปเรื่อยๆ ดักลาสก็ออกความเห็นว่า “จริงอยู่ว่ารูปแบบการรวบรวมเวทมนต์ชนิดต่างๆ นั้นแตกต่างกับที่เราใช้อย่างมาก แต่มันก็ยังเป็นไปได้อีกด้วยว่าเขาจงใจปรับเปลี่ยนมันหลังจากที่ใช้แต้มแลกกับข้อมูลมาแล้ว นักเวทที่มีคุณสมบัติและมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลโครงสร้างดาวเคราะห์เทียมอย่างเต็มรูปแบบไม่มีทางเป็นคนโง่หรอก”

โครงสร้างแบบจำลองของเวทมนตร์และวงแหวนเวทไม่ได้มีความพิเศษซับซ้อนอะไร ตราบใดที่มันเป็นไปตามกลไกและกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนสุดท้ายของแบบจำลองเวทมนต์หรือวงแหวนเวทย่อมบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ เวทมนตร์ต่างๆ ที่เหล่านักเวทสร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานจากหลักการอาร์คานาที่เหมือนกัน ก็จะได้แบบจำลองที่มีแก่นสาระเหมือนกันแต่รายละเอียดแตกต่างกันไปตามรูปแบบของแต่ละคน

บางครั้งหากว่ารายละเอียดในการออกแบบของพวกเขาสมบูรณ์แบบและใกล้เคียงกับกลไกมากพอ แบบจำลองของพวกเขาก็อาจจะแสดงผลได้ดีกว่าแบบจำลองของคนอื่นๆ นี่คืออีกต้นกำเนิดที่สามารถสร้างเวทมนตร์พิเศษขึ้นมา ทว่าผลลัพธ์ที่ดีกว่ามิใช่จะสำคัญกว่าเสมอไป มันก็จะยังคงมีข้อจำกัดจากแก่นสาระของเวทมนตร์และไม่สามารถก้าวล้ำผ่านขีดสุดของมันได้

ด้วยเหตุนี้เวทมนตร์ส่วนใหญ่ที่เปิดกว้างให้สาธารณะชนใช้ จึงถูกรวบรวมเป็นแบบจำลองเวทมนตร์ที่แสดงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมันเป็นที่รู้จักกันดีในจักรวรรดิเวทมนตร์ในชื่อ ‘เวทมนต์มาตรฐาน’ และนั่นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในยุคของสภาเวทมนตร์ ที่ที่ผลงานการวิจัยเปิดกว้างให้ทุกคนเข้าถึง แต่ในหลายหลายกรณีการพัฒนาเวทมนตร์จำต้องพึ่งพาความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไก

แต่ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ จอมเวทหลายคนในสภาเวทมนตร์เกิดความคิดว่าบางที ‘เวทมนตร์มาตรฐาน’ อาจไม่มีอยู่จริงก็เป็นได้ กล่าวคือแบบจำลองเวทมนตร์ที่แสดงผลได้ดีที่สุดนั้นไม่เป็นสากล นักเวทแต่ละคนต่างมีแบบจำลองที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้มันแสดงผลได้ดีที่สุด

ปรากฎการณ์แปลกประหลาดนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนั้น งานศึกษาวิจัยเพิ่มเติมบ่งชี้ว่ามันเป็นเพราะโลกแห่งปัญญาที่แตกต่างของนักเวทแต่ละคน แบบจำลองเวทมนตร์ที่เหมาะสมกับโลกแห่งปัญญาของพวกเขามากที่สุดจะบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักเวททั้งหลายจะวิเคราะห์เวทมนตร์มาตรฐานและปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลังจากที่พวกเขาใช้แต้มแลกข้อมูลมาเพื่อที่เวทมนตร์มาตรฐานจะเหมาะสมกับพวกเขายิ่งขึ้น แต่แน่นอนว่า โลกแห่งปัญญาย่อมจะเสถียรหลังจากที่เลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับกลางแล้วเท่านั้น ผู้ฝึกใช้มนตราและนักเวททั่วไปไม่นำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

“ฮ่าๆ ดีแล้วที่จำกัดวงกว้างลงได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะอยู่นิ่ง เราจะได้รู้ว่าเขาคือใครหากว่าเขาทำเรื่องคล้ายคลึงกันนี้อีก” เฟอร์นันโดวงกลมรอบรายชื่อ นึกเกลียดชังผู้คิดคดทรยศเสียจนแทบจะอยากคว้าคอคนเหล่านั้นมาลิ้มรสความรู้สึกที่จะได้รับจากพายุ

หลังจากพูดคุยถึงเรื่องนี้กันเสร็จ จู่ๆ ดักลาสก็ถามเฟอร์นันโด บรูก และลูเซียน ถึงความคืบหน้าของงานวิจัยเรื่องทฤษฎีสนามควอนตัม “ยังไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอนันตภาพอีกหรือ ข้านึกว่าแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสนามของเจ้าจะถูกต้องเสียอีก หากเจ้าเดินไปตามเส้นทางนี้ เจ้าจะได้ค้นพบแก่นแท้ของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ช้าก็เร็ว อย่างน้อยที่สุด คำอธิบายในปัจจุบันก็มีความก้าวหน้าเสียยิ่งกว่าในอดีต บางที หลังจากที่ทฤษฎีนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น โลกแห่งปัญญาที่พังทลายและถูกปิดผนึกของบรูกก็อาจจะฟื้นตัว และเขาก็จะได้ค้นพบเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ”

ฟังจากน้ำเสียงและการเลือกใช้คำแล้ว ดักลาสยังค่อนข้างเป็นห่วงบรูก ลูกศิษย์ ‘ไม่รักดี’ ของเขา ทว่า การค้นพบหนทางไม่ได้หมายความว่าจะเลื่อนระดับพลังได้ ยังไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จหรอก เพียงความสมบูรณ์ของรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางนี้ก็คงใช้เวลานานหลายปีแล้ว ดังเช่นที่ดักลาสได้ ‘เห็น’ หนทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพผ่านทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปมาหลายปีแล้ว แต่เขากลับยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘ค้นพบ’ เส้นทางนั้น เขายังต้องรอการตอบสนองของโลกความเป็นจริงที่มีพื้นฐานจากดาวเคราะห์หรือหลุมดำทั้งหลาย

“อนันตภาพ…” เฟอร์นันโดทวนคำเสียงแผ่ว ราวกับว่าเขากำลังพยายามจะกลืนมันลงไป

ลูเซียนตอบกลับยิ้มๆ “เราตัดสินใจส่งรายงานไปเมื่อไม่นานมานี้เองขอรับ เพื่อที่เหล่าจอมเวทจะได้ศึกษามัน เป็นไปได้ว่าแนวคิดของพวกเขาอาจมอบแรงบันดาลใจในการแก้ปัญหานี้ให้กับเราขอรับ”

“ใช่แล้ว อาร์คานาศาสตร์นั้นไม่เหมือนกับเวทมนตร์ ด้วยความรู้และความสามารถที่มากพอ จอมเวทระดับกลางและสูงก็สามารถให้การสนับสนุนได้อย่างใหญ่หลวงเช่นกัน สิบกว่าปีที่ผ่านมา ความสำเร็จมากมายในขอบเขตโลกจุลภาครูปแบบใหม่นี้ก็มาจากเหล่าจอมเวทรุ่นหลังที่ระดับอาร์คานามิได้สูงอะไร นี่คือยุคสมัยของคนหนุ่มสาว เจ้าก็คือตัวแทนของคนเหล่านั้นที่โดดเด่นที่สุด” ดักลาสกล่าวด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

ลูเซียนแย้มยิ้ม “การศึกษาวิจัยโดยหลักแล้วก็เป็นท่านประธานกับอาจารย์ที่ทำมันจนสำเร็จขอรับ ท่านประธานขอรับ การเตรียมการสำหรับการออกสำรวจดาวเคราะห์เป็นอย่างไรแล้วบ้างขอรับ”

“ดีกว่าที่ข้าคาดไว้ บางที ภายในหนึ่งหรือสองเดือนนี้ ข้าก็อาจใช้เวทการกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลโพ้นได้ ข้าหวังว่าข้าจะสามารถค้นพบเจ้าพวกที่ทำให้ข้าปวดเศียรเวียนเกล้ามาหลายร้อยปีเสียที” ดักลาสตอบกลับด้วยการเล่นมุกแปลกๆ

“หนึ่งหรือสองเดือนงั้นหรือขอรับ” ลูเซียนประหลาดใจมากทีเดียว มิใช่ว่าท่านประธานประเมินระยะเวลาไว้ว่ามันอาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีหรอกหรือ

ดักลาสหัวเราะขัน “ข้าเปลี่ยนแผนน่ะ ข้าเลื่อนการออกสำรวจหาดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลโพ้นออกไป เพราะการค้นหาดวงอาทิตย์ที่อยู่ใกล้เรามากกว่าอาจจะง่ายดายกว่า แม้ว่าจะมิมีผู้ใดเคยทำมันสำเร็จก็ตาม”

ในยุคของจักรวรรดิเวทมนตร์ นักเวทชั้นตำนานหลายคนเคยพยายามค้นหาดวงอาทิตย์ผ่านการใช้เวทกระโดดข้ามอวกาศ แต่ก็ไร้ผล ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อว่าดวงอาทิตย์คือ ‘สัญลักษณ์’ ของมนุษย์ครึ่งเทพสักองค์หนึ่งและไม่สามารถระบุตำแหน่งได้หากมิได้รับอนุญาต นอกจากนี้ จากการเปรียบเทียบระหว่างดวงอาทิตย์และจันทราสีเงิน มันก็มีความเป็นไปได้ว่าพระเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะมิใช่เพียงมนุษย์ครึ่งเทพ แต่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้!

อย่างไรเสีย ดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงลงมาบนโลกและแผ่รัศมีสว่างไสวและอบอุ่นก็ได้รับการเคารพบูชาโดยทั่วไป จนกระทั่งดักลาสได้นำเสนอระบบการเคลื่อนไหวของวัตถุในฟากฟ้า เหล่านักเวททั้งหลายได้ตีตรามันถึงความสำคัญใหญ่หลวง ทำให้มันเป็นหนึ่งในวัตถุในฟากฟ้าที่มีความพิเศษและทรงอิทธิพลในสำนักโหราศาสตร์ เหมือนกับจันทราสีเงิน

ด้วยแนวคิดเช่นนั้น จึงมิมีนักเวทชั้นตำนานคนใดพยายามระบุหาตำแหน่งที่ตั้งของดวงอาทิตย์ จนกระทั่งดักลาสกลายเป็นนักเวทชั้นตำนาน แต่เขาเองก็ล้มเหลวในการค้นหาดวงอาทิตย์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยอมรับทฤษฎีที่ว่าดวงอาทิตย์คือมนุษย์ครึ่งเทพและภายหลังก็เบนเป้าหมายไปที่การออกสำรวจดวงดาวในจักรวาลอันไกลโพ้น

“ท่านประธานต้องระมัดระวังให้ดีนะขอรับ การคำนวณของเราอาจไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยอย่างรอบด้าน มันอาจเสี่ยงอันตรายมิน้อยหากท่านไปปรากฏตัวบนพื้นผิวดวงอาทิตย์หลังจากใช้เวทเคลื่อนที่” ลูเซียนเตือนอย่างเป็นกังวล

ลูเซียนไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ของการเทเลพอร์ตไปบนดวงอาทิตย์เลย เพราะความร้อนและแรงโน้มถ่วงรุนแรงที่แสนน่ากลัวอาจหยุดยั้งมิให้ประตูแห่งกาล-อวกาศเปิดออกได้

“นั่นคงจะเป็นเรื่องดีทีเดียว ข้าคงไม่นึกเสียดายอะไรแล้วแม้ว่าจะต้องตายทันทีที่ไปถึงก็ตาม” ดักลาสตอบยิ้ม ๆ ราวกับว่ามันคือเรื่องดีอย่างแท้จริง

เฟอร์นันโดไม่ได้พูดอะไรมาก ด้วยเพราะการสังหารนักเวทชั้นตำนานระดับสูงสุดนั้นมิใช่เรื่องง่าย เขามองไปทางลูเซียนด้วยดวงตาสีแดง “นอกจากทฤษฎีสนามแล้ว หกเดือนที่ผ่านมาเจ้ายุ่งอยู่กับอะไรกันน่ะ”

“วิเคราะห์เวทมนตร์ระดับตำนาน พัฒนาสมรรถภาพทางเวทมนตร์ และพยายามจะเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ระดับสามขั้นสูงสุด เพื่อที่ข้าจะได้ลองเลื่อนขึ้นระดับสี่ขอรับ” ลูเซียนไม่แน่ใจว่าคำถามของอาจารย์ตนแฝงความนัยอะไรหรือไม่ จึงตอบไป ‘ตามจริง’ แต่เขาก็ไม่ได้โกหกในเรื่องความสนใจในชีวิตของเขาช่วงนี้ หลังจาก ‘ความเมตตาของเทพธิดาหิมะ’ และ ‘เวทธาตุอารักขา’ เขาก็ได้สลักเวทมนตร์ระดับตำนานอีกสิบสามบทลงในดวงจิตของเขา และจำนวนคงจะเพิ่มเป็นสิบห้าภายในปีนี้ เขาจะกลายเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะก้าวขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสูงสุด

เฟอร์นันโดกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ที่ข้าถามน่ะคือเรื่องที่เจ้ายื่นเรื่องไปทางคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์ต่างหาก เจ้ากำลังวางแผนจะสร้างสิ่งใดในสถาบันอะตอมกันแน่ วัตถุดิบราคาแพงทั้งหลายที่เจ้าต้องการน่ะเพียงพอที่จะสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับเก้าเชียวนะ”

ใครบางคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ แต่เขาไม่ทราบถึงรายละเอียด

“ข้าใช้วัตถุดิบเสริมไปมากกว่าที่ยื่นเรื่องไปน่ะขอรับ” ลูเซียนส่ายศีรษะด้วยใบหน้ายิ้มๆ “เหตุผลหลักก็คือ พื้นที่หลายแห่งที่มีสภาพแวดล้อมอันตรายร้ายแรง มีเพียงนักเวทระดับสูงเท่านั้นที่เข้าไปได้ บางพื้นที่ยังถึงกับต้องเป็นผู้วิเศษด้วยซ้ำ ฉะนั้น จอมเวททั่วๆ ไปที่มีพรสวรรค์ด้านอาร์คานาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปสำรวจและศึกษาในพื้นที่ประเภทนั้น ซึ่งนั่นคือข้อจำกัดหลักๆ ที่ทำให้ไม่สามารถเกิดการพัฒนาทางอาร์คานาได้ อย่างไรเสีย ความสำเร็จมากมายในทุกวันนี้ก็อาศัยจากการเสียดสีของอนุภาค ร่องรอยแปลกประหลาดในระหว่างการทดลอง และการตรวจดูข้อมูลที่มีอยู่มากมายมโหฬาร มันคงจะใช้เวลานานยิ่งขึ้นหลายร้อยเท่าหากนักเวทชั้นตำนานและผู้วิเศษต้องทำงานเหล่านี้ตามลำพังน่ะขอรับ”

ดักลาสพยักหน้า “นั่นเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก เจ้ามีผลิตผลอะไรหรือยังเล่า”

“ใกล้จะสำเร็จแล้วล่ะขอรับ หลังจากที่มันใช้การได้ ข้าจะเปิดให้จอมเวททุกคนได้ใช้ แต่พวกเขาจะต้องยื่นเรื่องขอใช้ล่วงหน้าและได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดเสียก่อน” ลูเซียนอธิบายถึง ‘อุปกรณ์แปรธาตุ’ ของเขาอย่างคร่าวๆ และก็ได้รับความเห็นชอบจากดักลาสและเฟอร์นันโด

ภายในสถาบันอะตอม…

ไฮดี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ มองไปทางประตูห้องทดลองเล็ก มันเงียบสนิท ไร้เสียงใดเล็ดลอดออกมา

“เจ้าบอกว่าอาจารย์ของเรามักจะขังตัวเองอยู่ในห้องทดลองเล็กนี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และมีคลื่นเวทมนตร์แผ่ออกมาเป็นครั้งคราวอย่างนั้นหรือ” แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้พบกันหลายเดือน คาทริน่าก็มิได้รู้สึกแปลกแยกจากไฮดี้และสหายคนอื่นๆ ในสถาบันอะตอม นางกลับสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและความอบอุ่น เมื่อในที่สุด ยามนี้นางได้กลับมาถึงบ้านแล้ว

ไฮดี้พยักหน้าระรัวจนดูราวกับลูกไก่ “ใช่ เราไม่รู้เลยว่าอาจารย์กำลังทำอะไรอยู่ ท่านมีท่าทางลึกลับและปิดล็อกห้องทดลองแน่นหนาทุกๆ ครั้ง”

ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบประโยค ประตูห้องทดลองเล็กก็เปิดผ่าง ก่อนที่ลูเซียนในชุดสูทกระดุมสองแถวจะเดินออกมา

“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะอาจารย์!” ไฮดี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ ทักทายเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างกวาดสายตาไปมา พยายามมองดูภายในห้องทดลองจากช่องว่างที่ลูเซียนยืนบังอยู่

“พวกเจ้าอยากรู้มากใช่หรือไม่” ลูเซียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“หา? เจ้าค่ะ! ข้าอยากรู้มากๆ เลย!” หลังจากอึ้งไปเล็กน้อย ไฮดี้ก็รับพยักหน้ารับ

ลูเซียนมองไปทางลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ “พวกพวกเจ้าอยากรู้ เช่นนั้นอยากจะลองดูหรือไม่ แต่หนึ่งรอบจะรับได้แค่สี่คนเท่านั้น”

“ข้า! ข้าจะลองดูเจ้าค่ะ!” ไฮดี้เป็นหญิงสาวช่างสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด และนางก็เชื่อว่าอาจารย์ย่อมไม่มีทางทำร้ายนาง

เมื่อเห็นนางเป็นตัวอย่าง สปรินต์ คาทรินา และแอนนิคจึงชิงยกมือตัดหน้าคนอื่นๆ

“เอาล่ะ ตามข้าเข้ามา” ลูเซียนหันหลังกลับ เผยให้ทุกคนเห็นภายในห้องทดลอง

…………………………………….

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท