Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 754 ประตูน้ำเงิน

บทที่ 754 ประตูน้ำเงิน

“ …ยิ่งเจ้าเข้าไปในมหาสมุทรไร้พรมแดนลึกเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าเจ้าจมลงไปอยู่ในหมอกแม้ว่าจะไม่มีหมอกเลยก็ตาม…

“ …แสงแดดจากท้องฟ้าช่างหม่นหมองและมืดสลัวมากเสียจนทำให้สภาพแวดล้อมนั้นมองดูแล้วชวนให้ตาพร่า เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าอยู่ในโลกที่แตกต่าง แตกต่างจนไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้เลย …

“ …เจ้าจะไม่พบอะไรเลย ถ้าเจ้าพยายามมองหาจุดเริ่มต้นของความผิดปกติ ดูเหมือนว่าจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปจากปริมาณเพียงเล็กน้อยจนในที่สุดมันก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เป็นเรื่องยากที่จะมองหาจุดเริ่มต้น …

“ …การเดินทางครั้งนี้ต่างจากครั้งที่บินจากโลกออกไปสู่จักรวาลอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยดวงอาทิตย์ ดวงดาวหรือสภาพแวดล้อมนำทางอย่างไรก็ตาม สุดท้ายเจ้าก็จะมาที่เดิม …”

ลูเซียนกำลังตั้งใจอ่านข้อมูลในมือของเขา ภายในจักรวาลอะตอม ข้อมูลที่เขากำลังอ่านอยู่นี้คือประสบการณ์ของนักเวทรุ่นก่อนๆ เมื่อครั้งที่พวกเขาสำรวจมหาสมุทรไร้พรมแดน ข้อมูลเหล่านี้มีค่าพอๆ กับความพยายามของนักเวทระดับตำนานและผู้วิเศษที่พยายามจะบินจากพื้นโลกไปยังวงโคจรแทนที่จะใช้เวทกระโดดข้ามอวกาศ

จากสิ่งที่พวกเขากล่าว เมื่ออยู่ในระดับความสูงที่แน่นอน ท้องฟ้าจะให้ความรู้สึกราวกับว่าเราจมลงไปในลึกของมหาสมุทรไร้พรมแดน แต่เนื่องจากบรรยากาศให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นยิ่งจึงแทบทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะเรื่องนี้การบินจากพื้นโลกไปยังวงโคจรที่ต้องการจึงเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด ดังนั้นแม้แต่ระดับตำนานจึงชอบใช้เวทกระโดดข้ามอวกาศ แต่ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม การบินแต่ละครั้งจะไม่มีทางที่ผู้คนจะมาเจอกันในสถานที่เดียวกัน พวกเขาจะบินออกไปไม่ช้าก็เร็วตราบเท่าที่พวกเขาใช้ดวงดาวทำทาง

อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้อจำกัดจากเงื่อนไขทั้งภายนอกและภายใน แม้แต่นักเวทย์ระดับตำนานอย่างดักลาสก็ยังไม่สามารถระบุจุดหักเหจากความรู้สึกได้อย่างชัดเจนนัก พวกเขาจึงบอกไม่ได้ว่าระดับความสูงเท่าใดที่จะสังเกตเห็น “หมอก” ได้อย่างแน่ชัดจากพื้น แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้าใจความลึกลับเบื้องหลัง

หลังจากล้มเหลวในการไล่ตามดวงอาทิตย์ ดักลาสจึงได้เบนความสนใจไปที่เรื่องดังกล่าว เขาจึงคิดหาเกณฑ์การตัดสินอย่างหนัก ดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆ นี้เขาได้พิจารณาของวิเศษด้วยปัญญาประดิษฐ์และเพราะไม่มีการแทรกแซงใดๆ เขาจึงสนับสนุนการวิจัยของไฮดี้

ภายใต้ชุดเกราะสีเงิน และดาบแห่งสัจธรรมที่อยู่ในมือของนาตาชาที่เดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น และถามว่า “เราจะไปจากที่นี้เมื่อไหร่?”

การเติบโตของนครเรนทาโตได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และเลือดอัศวินในกายของนางก็เดือดราวกับเรียกร้องให้มีการต่อสู้ ถ้าลูเซียนยังไม่อยากออกไป นางก็คงต้องไปผจญภัยในรอยแยกแห่งอเวจีที่อยู่ในป่าสตรู๊ปแทน ปีศาจแห่งความสับสนวุ่นวายที่อยู่ตรงที่ราบสีแดงที่ถูกครอบครองโดยเจ้าแห่งปีศาจจากชั้นอื่นของอเวจีนั้นเป็นเป้าหมายในการต่อสู้ที่ดีที่สุด เพราะพวกมันไม่กลัวตายถ้าพวกมันเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา

นอกจากนี้ ลูเซียนนั้นต้องการพันธมิตรในการสำรวจมหาสมุทรไร้พรมแดนเพื่อที่เขาจะได้มุ่งความสนใจไปที่การทดลอง การบันทึกข้อมูล และการสืบสวน นอกจากนี้สัญชาตญาณของอัศวินระดับตำนานบางครั้งก็มีประโยชน์มากกว่าของนักเวทย์ระดับตำนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ภายในร่างกาย

ลูเซียนวางเอกสารข้อมูลด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนที่ถูกเรื่องอื่นชักจูงง่ายนะ ไม่ใช่ข้า ข้าสามารถไปได้ทุกเมื่อ”

ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนเมษายนปี 828 ขณะที่รอให้นาตาชาจัดการธุระให้เสร็จ ลูเซียนก็ได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับมหาสมุทรไร้พรมแดนไปแล้วหลายครั้ง

นาตาชาหัวเราะเบาๆ และพูดอย่างจริงจังว่า “ในฐานะราชินี ข้าไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ นอกจากนี้ ตอนนี้ก็เป็นช่วงการขยายตัวเติบโตที่ยากลำบากที่สุดของนครเรนทาโตซึ่งนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าล่าช้าไปถึงหนึ่งเดือน”

แทนที่จะรอคำตอบของลูเซียน นางกลับโบกมือ และพูดว่า “ไปกันเถอะ!”

ลูเซียนส่ายศรีษะด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองนางวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินบริสุทธิ์ และมหาสมุทรก็เป็นสีน้ำเงินมืดครึ้มหาใดเทียบ ไม่มีอะไรเลยนอกจากสภาพแวดล้อมที่มีแต่สีน้ำเงินกว้างใหญ่ไพศาล

สายลมพัดที่คาดเดาได้ยาก คลื่นในมหาสมุทรที่โหมกระหน่ำอย่างไม่อาจเจาะจง ทันใดนั้นท่ามกลางสายลมที่มองไม่เห็น ร่างสองร่างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น หนึ่งในนั้นสวมสูทกระดุมสองแถวสีดำและหมวกทรงสูงสีเดียวกันพร้อมด้วยนาฬิกาพกสีเงินในมือที่เขากำลังดูว่าถึงเวลาอาหารค่ำหรือยัง อีกร่างหนึ่งเป็นสาวสวยผมยาวสีม่วงสยายที่คลอเคลียไปตามสายลม ชุดเกราะสีเงินที่นางสวมช้วยขับเน้นความเย็นชา และความแข็งแกร่งให้กับนาง

“ยังอีกไกลพอสมควรกว่าจะถึงมหาสมุทรไร้พรมแดน บินไปกันเถอะ” ลูเซียนเงยหน้าขึ้นเพื่อตรวจสอบดวงอาทิตย์ ดวงตาลึกล้ำของเขาสะท้อนให้เห็นดวงดาวที่ถูกแสงอาทิตย์บดบัง

นาตาชาเข้าใจแผนของลูเซียน ตอนนี้พวกเขากำลังสำรวจความลับของมหาสมุทรไร้พรมแดน แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปยังที่หมายได้โดยตรง

ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจพลาดสถานที่ที่ความผิดปกติปรากฏขึ้นครั้งแรก ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาอย่างแรกคือการเข้าใกล้จากที่ที่ค่อนข้างไกลทีละนิดที่ละนิด

ก่อนที่นางจะผงกศีรษะ ลูเซียนก็เตือนนางอีกครั้งว่า “อย่าลืมควบคุมการแปลงร่าง และอย่าปล่อยให้เกิดความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย”

“แน่นอน” นางพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มซุกซนที่ทำให้นางดูเหมือนแมวที่เพิ่งไปขโมยอาหารมา “ ข้ารู้สึก ‘ปลื้ม’ จริงๆ ที่มีส่วนร่วมในการทดลองครั้งสำคัญของเจ้า … ”

ลูเซียนรู้สึกขบขันทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบนักที่ถูกเรียกว่า “ผู้ทำลายห้องปฏิบัติการ”

“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ห้องปฏิบัติการ” ลูเซียนไม่ปล่อยโอกาสที่จะหยอกล้อนาตาชาอย่างแน่นอน

นาตาชาแสร้งยิ้มมองลูเซียนด้วยร “ระวังไว้เถอะ ข้าอาจไม่ได้ร่วม ‘การทดลอง’ ของเจ้า แต่สุดท้ายข้าก็เป็นผู้ทำลายการทดลองอยู่ดี”

ลูเซียนกระแอมเล็กน้อย และสงสัยว่าเมื่อไหร่ “การทดลอง” จะเสร็จซักที

พวกเขาสองคนบินช้าๆ อยู่เหนือมหาสมุทร สัตว์ทะเลทั้งหลายที่ว่ายน้ำอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองท้องฟ้าอย่างอยากรู้อยากเห็นด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงมีคนที่บินได้ช้ากว่าที่พวกมันว่ายน้ำเสียอีก

พวกเขาบินติดต่อกันสองวัน ต้องขอบคุณเวทมนตร์ของลูเซียนที่ทำให้ไม่มีสัตว์ทะเลที่กระโดดเก่งหรือนกที่ดุร้ายเข้ามารบกวนพวกเขา

ทันใดนั้นนาตาชาก็หยุดชะงัก นางมองดูพระจันทร์สีเงินบนท้องฟ้า และดวงดาวก็พลันรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย จากนั้นจึงถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “ตอนนี้มันหนักขึ้นแล้วหรือยัง?”

ลูเซียนยิ้มอ่อนโยนขึ้นทันที เขาหยิบกระท่อมโลหะขนาดเล็กและประณีตออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ของเขา

คลื่นเวทมนตร์แผ่ออกมา จากนั้นกระท่อมโลหะก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นห้องทดลองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกลางเวหา จากนั้นลูเซียนก็ยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นและยกนิ้วขึ้นลงราวกับว่าเขากำลังเล่นเปียโน เขาควบคุมวงแหวนเวทย์ และอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุต่างๆ เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดสถานที่แห่งนี้ เช่นแรงโน้มถ่วง ความชื้น ระดับลม อุณหภูมิ ตำแหน่งของดวงดาว เป็นต้น

นาตาชายืนอยู่ตื่นตัวอยู่กลางอากาศพร้อมดาบยาวในมือ

เวลาผ่านไปแต่ละวินาที ไม่ปรากฏเสียงอันใดอีกในคืนที่เงียบงันนอกจากคลื่นใต้น้ำที่ไหลผ่าน นาตาชามองไปรอบๆ จากนั้นก็สบเข้ากับใบหน้าของลูเซียน จากตำแหน่งที่นางยืน นั่งมองเห็นใบหน้าเพียงด้านข้างของลูเซียนเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่นางคุ้นเคยมากที่สุดมักจะเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนนางได้เสมอ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มองมาที่นาง บนใบหน้าของเขามีเพียงความห่วงใยและความเอาใจใส่

นาตาชาไม่รู้สึกเบื่อหรือเหงาเลยแม้จะอยู่ท่ามกลางความเงียบ แต่นางกลับรู้สึกถึงความสงบและอบอุ่นเมื่อมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของลูเซียนจากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา

ทันใดนั้นคลื่นน้ำด้านล่างก็กระเซ็นและมีเงาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมหาสมุทร

มันคือ ฮัวลาลา สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่มีความยาวหลายสิบเมตรปรากฏออกมาดั่งภูเขา มันมีลักษณะเหมือนจระเข้น้ำจืด แต่มีขนาดใหญ่กว่า และประหลาดกว่ามาก เกล็ดของมันเปล่งประกายแวววาวภายใต้แสงจันทร์สีเงินที่กระจายไปในอากาศทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่สวยงามและน่าสะพรึงกลัว

มันเป็นสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่คอยควบคุมน่านน้ำบริเวณนี้ มันรู้สึกได้ถึงผู้บุกรุก!

นาตาชาหันกลับมาและหรี่ตาลง ดาบในมือเปล่งแสงระยิบระยับภายใต้ดวงตาของนาง

ทันใดนั้นจู่ๆ สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลก็ถูกแช่แข็ง จากนั้นมันก็พุ่งตัวกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ราวกับว่ากลัวจนหมดปัญญา

คนพวกนี้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดมากกว่ามันซะอีก!

“มันมีสัญชาตญาณที่ดีน่ะ” เสียงกลั้นยิ้มของลูเซียนดังเข้าหูของนาตาชา

นาตาชาพูดด้วยความเขินอายว่า “ถูกรบกวนหรือเปล่า?”

แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่จำเป็นระหว่างคู่สามีภรรยา แต่นาตาชาก็รู้สึกว่านางล้มเหลวในฐานะอัศวินเพราะความประมาทของนาง

“ไม่เลย ข้ารวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว” ลูเซียนเก็บห้องทดลองแบบพกพาของเขากลับมา

นาตาชาถามด้วยความดีใจ “เจ้าสังเกตเห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

“แทบจะบอกอะไรไม่ได้เลยจากกลุ่มตัวอย่างเพียงชุดเดียว” ลูเซียนพูดราวกับว่าเขารู้ว่าเขากำลังเดินไปทางใด

นาตาชามองไปที่เกาะที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้แปลกๆ สีแดงในส่วนลึกของมหาสมุทรไร้พรมแดน และพูดอย่างจริงจังว่า “เรากลับไปทางที่เราผ่านมากันเถอะ”

“ได้” แม้ว่าในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาลูเซียนจะรวบรวมข้อมูลไว้มากมาย แต่เขาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าวได้

“เจ้าเจออะไร?” นาตาชาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ นอกจากความรู้สึกแปลกเล็กๆ บนร่างกายที่นางรู้สึกเป็นครั้งคราว นางจึงทำได้แค่ถามลูเซียนว่าเขาได้อะไรจากข้อมูลหรือเปล่า

ลูเซียนไม่ได้ตอบคำถามของนาง “จากข้อมูลที่ข้าอ่านมันมี ‘ประตูน้ำเงิน’ ลึกลับที่อยู่ลึกเข้าไปในมหาสมุทรไร้พรมแดน”

“ใช่แล้วกุญแจน้ำเงินเป็นวัสดุระดับตำนานที่เกิดจากประตูน้ำเงิน มันผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าทะเลรุ่นแล้วรุ่นเล่าปรับปรุงก่อนที่มันจะกลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ระดับตำนาน 13 ขั้น 4 ในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นประตูน้ำเงินก็เหมือนกับจักรวาลวายป่วง เพราะมีเฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าทะเลเท่านั้นที่ควบคุมกุญแจน้ำเงินหรือผู้ที่โชคดีเท่านั้นที่จะค้นพบมันได้” นาตาชานึกถึงข้อมูลที่นางได้อ่าน “นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานหลายคนก็ยังสงสัยว่าประตูน้ำเงินอาจจะไม่มีอยู่จริง และมันเป็นตำนานที่เผ่าทะเลสร้างขึ้นจากอุปกรณ์ระดับตำนานอย่างกุญแจน้ำเงิน”

“ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องค้นหามัน” ดูเหมือนว่าลูเซียนกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างอยู่

จู่ๆ เพลงที่ไม่มีที่มาก็ดังลอยออกมาแต่ไกล ลูเซียนถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ จิตวิญญาณของเขาราวกับถูกเขย่าและดึงดูดให้ลุ่มหลง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานขั้นสามก็ตาม

“ระวัง” ลูเซียนร่ายเวทและช่วยนาตาชาที่กำลังดิ้นรนต่อต้านผลกระทบจากมัน

“เพลงของนางเงือก? ตำนาน?” นาตาชามองว่าเพลงมาจากทางไหน

……………………………

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท