คลื่นน้ำกระเพื่อมอยู่โดยรอบ ปลารูปร่างแปลกประหลาดแหวกว่ายไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อย สีน้ำเงินเข้มค่อยๆ กลายเป็นสีดำสนิท แสงแดดจากเบื้องบนไม่อาจส่องลงไปไกลกว่านี้ ทว่า ที่แห่งนี้ก็มิได้มืดทึบไปหมดเสียทีเดียว บางครั้งบางคราว จะมีปลาไร้เกล็ดที่ร่างเปล่งแสงได้กับสัตว์อสูรคล้ายปูที่ดูเหมือนจะถือตะเกียงสองอันผ่านไปมา แสงสว่างจากพวกมันยิ่งเสริมความน่าขนลุกขนพองและความพร่ามัวให้กับมหาสมุทรลึก
หลังจากที่ลูเซียนกับนาตาชาแยกทางกับดอริส ทั้งสองก็ดำดิ่งลงสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรและเดินทางต่อไปตามกระแสน้ำประหลาดที่แตกต่างจากสายน้ำโดยรอบอย่างสิ้นเชิง พวกเขามองเห็นทิวทัศน์น่าอัศจรรย์ใจที่แตกต่างจากมหาสมุทรตื้นๆ อย่างยิ่งและสัมผัสได้ว่าแรงดันน้ำเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะบดขยี้ทั้งคู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ แสงสว่างระยิบระยับจึงเปล่งออกมาจากรอบตัวลูเซียน สกัดกั้นน้ำทะเลและแรงดันออกไป ทำให้เขาดูราวกับอยู่ในโลกอีกใบ
ดาบแห่งแสงด้ามเล็กทว่าดูน่าคร้ามเกรงมากมายบินฉวัดเฉวียนรอบกายนาตาชา ตัดขาดบริเวณที่นางควบคุมอยู่ไปอย่างสิ้นเชิงและแลกเปลี่ยนสิ่งจำเป็นกับน้ำทะเลรอบๆ นั้น
หลังจากดำดิ่งต่อไปอีกราวหนึ่งร้อยเมตร จู่ๆ ลูเซียนก็หยุดชะงักและพูดผ่านทางกระแสจิต “ข้าจะลองตรวจวัดปัจจัยสภาพแวดล้อมของที่แห่งนี้ดู เจ้าช่วยดูต้นทางให้ข้าที”
นาตาชาพยักหน้า และเมื่อนางยกดาบยาวสีเงินเรียบๆ ขึ้น คลื่นและกระแสน้ำรุนแรงรอบๆ ก็พลันหยุดนิ่ง
ในความลึกระดับนี้ ไม่มีสัตว์ทะเลชนิดพิเศษอื่นใดที่สามารถเปล่งแสงจากตัวพวกมันเองแล้ว ทำให้บริเวณนี้มืดสนิทและเงียบงัน
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตมากปัญญาทุกสายพันธุ์ที่ยังมีสติดีอยู่ ย่อมเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างอธิบายมิได้ ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดซุ่มซ่อนตัวอยู่ในสายน้ำอันมืดมิดที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันรุนแรง พวกมันกำลังเฝ้ามองผู้บุกรุกอย่างเฉยชาและเฝ้ารอโอกาสที่จะกลืนกินพวกเขา
“เราไม่ได้รีบไปที่ประตูน้ำเงินหรอกหรือ” นาตาชาค่อนข้างมึนงงที่ลูเซียนยังทำการทดลองในเวลานี้ “ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทั้งหลายที่ก้นทะเลลึกของมหาสมุทรไร้พรมแดนหรือไม่ ตอนนี้มันก็นับเป็นสิ่งชี้นำที่สำคัญที่สุดนี่”
ลูเซียนโยน ‘กระท่อมปฏิบัติการ’ ออกไปและปล่อยให้มันขยายใหญ่ขึ้นเป็นห้องทดลอง จากนั้นเขาจึงใช้แสงสีเงินครอบมันไว้ชั้นหนึ่งเพื่อที่มันจะไม่ถูกน้ำทะเลกัดกร่อน
“สำหรับข้าแล้ว การเก็บตัวอย่างปัจจัยทางสภาพแวดล้อมนับเป็นเรื่องสำคัญพอๆ กับการไปสำรวจประตูน้ำเงิน ในอาร์คานาศาสตร์ การเปรียบเทียบข้อมูลที่มีอยู่มากมายคือกุญแจสำคัญของปริศนาลี้ลับมากมาย” ลูเซียนตอบด้วยท่าทางสบายๆ ขณะจดจ้องไปที่กระท่อมปฏิบัติการณ์ สมาธิของเขาพลันจดจ่ออยู่ที่นั่น
นาตาชาหยุดถาม อย่างไรเสีย มันก็มิใช่เรื่องที่นางถนัด การเชื่อผู้เชี่ยวชาญและ ‘ศาสตราจารย์’ จึงเป็นทางเลือกเดียวในตอนี้
นางถือดาบแห่งสัจธรรมแหวกว่ายไปมารอบๆ ราวกับนางเงือก คอยสอดส่องสายตาหาการลอบโจมตีจากสัตว์อสูรใต้ทะเลลึก
แม้ว่านางจะมีอำนาจจิตที่แข็งแกร่งและประสาทสัมผัสเฉียบคมเพราะเป็นถึงอัศวินชั้นตำนาน แต่ทัศนวิสัยโดยรอบก็ต่ำลงมากเมื่อนางอยู่ใต้ทะเลลึกที่ที่มีแรงดันน่าหวาดเกรงและไร้ซึ่งแสงสว่างใด
ภายในมหาสมุทรอันเงียบงัน ลูเซียนพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การทดลองของเขา บางครั้งบางคราวจะมีสัตว์อสูรใต้ทะเลที่สัมผัสได้ถึงผู้บุกรุกที่จะพุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกับโบกสะบัดหนวดและคีมไปมา แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะรีบหนีไปทันทีที่นาตาชาถลึงตาใส่ ส่วนพวกกระหายการฆ่าฟันจนเกินไปจะถูกเฉือนทิ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยการสะบัดดาบเพียงครั้งเดียว จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับปลาที่อ่อนแอกว่าเข้าฉกฉวยประโยชน์
ด้วยวิธีการนั้น ลูเซียนจึงเดินหน้าต่อไปตามกระแสใต้น้ำที่ทอดลึกลงไปใต้ทะเลเรื่อยๆ เขาหยุดเพื่อทำการทดลองและเก็บข้อมูลอยู่เนืองๆ
บุ๋งๆๆๆ
นาตาชาที่คอยดูต้นทางอยู่ข้างกายลูเซียนพลันสัมผัสได้ถึงเสียงบางอย่าง ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรกำลังมุ่งหน้ามาจากกระแสใต้น้ำอีกทางด้านหนึ่ง
…
สัตว์อสูรที่มีลำตัวเป็นปลา ศีรษะเป็นมนุษย์ แหวกว่ายอย่างรวดเร็วท่ามกลางกระแสใต้น้ำ โดยรวบตัวเหล่าเอลฟ์ที่มีผิวสีเข้มและมีใบหูแหลมมาด้วย ด้วยพละกำลังของพวกเขา แรงดันน้ำในความลึกระดับนี้หาได้หนักหนาเกินไปไม่ แต่บรรดานักบวชในกลุ่มที่ถือคทาก็ร่วมมือกันสร้างฟองอากาศขนาดใหญ่ยักษ์และถ่ายโอนแรงดันไปบนนั้นแทน
“อีกนานเท่าไหร่กว่าเราจะไปถึงประตูน้ำเงิน” หนึ่งในนักรบเผ่าคัวโทนถามนักบวชด้วยความใจร้อน
ด้วยเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเผ่าพันธุ์แห่งท้องทะเล ประตูน้ำเงินจึงเป็นที่เคารพสรรเสริญจากเผ่าคัวโทน กิปป์ เผ่าพันธุ์แห่งท้องทะเล มังกรทะเล และม้าน้ำกลายพันธุ์มาหลายต่อหลายรุ่น มันคือดินแดนในฝันที่พวกมันตั้งตาคอยที่จะได้ไปเยือนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินว่าพวกตนกำลังจะได้ไปที่ประตูน้ำเงินที่ไม่เคยมีผู้ใดยืนยันว่ามีอยูจริงมาก่อน เหล่าเผ่าพันธุ์แห่งท้องทะเลจึงตื่นเต้นเสียจนแทบจะยั้งใจไม่อยู่
นักบวชที่อยู่ใกล้นักรบผู้นั้นเองก็มีท่าทางตื่นเต้นอย่างชัดเจน “ตามที่ท่านดอริสบอก น่าจะใช้เวลาอีกครึ่งวัน”
นักรบคัวโทนที่ถามคำถามเบิกดวงตาที่เปล่งแสงวิบวับของมันแล้วใช้ตรีศูลจิ้มไปที่เอลฟ์เชลยศึก “ว่ายให้เร็วกว่านี้อีก!”
เอลฟ์แห่งท้องทะเลถลึงตาใส่คัวโทนตนนั้น ดวงตาของนางคล้ายกับจะมีดวงไฟลุกโหมโชติช่วง ราวกับว่านางกำลังจะโจมตีเป็นครั้งสุดท้ายเพราะความสิ้นหวัง
“มองอะไรงั้นรึ เจ้าคือเชลยศึกนะ ข้าจะกินเจ้าเสียเดี๋ยวนี้เลยก็ได้!” เอลฟ์แห่งท้องทะเลถือเป็นอาหารของเหล่าคัวโทน
เอลฟ์แห่งท้องทะเลสาวกล่าวเสียงดังกังวานด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “องค์ราชินีจะต้องมาช่วยเราแน่!”
“เหอะๆ หากราชินีของเจ้ามาช่วยเจ้าได้ นางก็คงมาแล้วล่ะ แม้ว่านางจะสกัดกั้นฝ่าบาทได้ด้วยแผนการสกปรกของนาง แต่นางไม่มีทางทำอะไรได้เพื่อช่วยเหลือเจ้า!” นักรบคัวโทนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา ราชินีเอลฟ์แข้งแกร่งขึ้นถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน
ดวงตาของเอลฟ์สาวหม่นแสงลง นางเอ่ยเหมือนกับปลอบใจตนเอง “องค์ราชินีเพียงใช้พวกเจ้าเพื่อตามหาประตูน้ำเงินต่างหาก นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ยังไม่มาช่วยพวกเรา เป็นไปได้มากทีเดียวว่าพระองค์อาจกำลังติดตามพวกเจ้าอยู่ในตอนนี้!”
ช่วงที่ผ่านมา นางได้ยินเจ้าพวกเมอร์ล็อกบัดซบพูดคุยกันถึงประตูน้ำเงินอยู่ตลอดเวลา นางเองก็ค่อนข้างสนใจใคร่รู้เช่นกัน หากว่านางมิใช่เชลยศึก นางคงจะตื่นเต้นมากๆ กับการเดินทางในครั้งนี้
“ฮ่าๆ เจ้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดเช่นนั้นหรือ นางจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเรากำลังจะไปที่ประตูน้ำเงิน” คัวโทนตนนั้นทำลายความหวังของเอลฟ์สาวไปเสียสิ้น บัดนี้นางจึงคิดถึงได้เพียงจุดจบอันทุกข์ทรมานที่เฝ้ารอนางอยู่ นี่นางจะถูกฮาเร็กซ์ใช้เป็นเครื่องบูชาเพื่อเปิดประตูน้ำเงินหรือไม่นะ
ท่ามกลางความสิ้นหวัง จู่ๆ แสงสว่างสีเงินก็ผุดขึ้นจากสายน้ำอันมืดมิดเบื้องหน้า
มันดูชัดเจนและบริสุทธิ์เสียจนดูราวกับหุบเขาวิมานได้มาเยือนยังก้นมหาสมุทรที่ลึกกว่าพันเมตร
“นั่นมัน…” เอลฟ์สาวตกตะลึง นางมองไปทางนั้นด้วยความสับสนมึนงง นางมองเห็นได้ลางๆ ว่ามีกระท่อมโลหะอยู่ตรงกลางแสงนั้น
‘หา กระท่อมโลหะงั้นรึ’
‘เหตุใดกระท่อมโลหะจึงมาอยู่ใต้มหาสมุทรเช่นนี้เล่า’
หัวใจนางพลันเต็มไปด้วยความหวัง ‘หรือนี่จะเป็นศัตรูของฮาเร็กซ์กัน’
ทันใดนั้น ดวงตาที่เบิกกว้างของนางก็ฉายภาพสะท้อนของดาบใบเล็กเป็นประกายระยิบระยับ มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วและกินพื้นที่ตามแนวนอนทั้งหมด
เอลฟ์สาวรู้สึกได้ว่าดาบไร้เสียงนั้นสามารถตัดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างภายในอาณาบริเวณนี้ แต่นางกลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงสว่างเย็นเยียบวูบหนึ่ง ฟองอากาศยักษ์พลันแตกสลาย เช่นเดียวกับพวกคัวโทน ม้าน้ำกลายพันธุ์ แมงกะพรุน และสัตว์อสูรแห่งท้องทะเลชนิดอื่นๆ
เมื่อแสงสว่างนั้นดับลง เอลฟ์สาวก็พบว่าสัตว์อสูรแห่งท้องทะเลตนอื่นๆ นอกเหนือจากเชลยศึกกับนักบวชหนึ่งตน ได้กลายเป็นเศษชิ้นเนื้อที่มีแสงมายาดูน่าหวาดเกรงอยู่ห้อมล้อมชิ้นส่วนเหล่านั้น
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” เสียงอันไพเราะเสนาะหูซึ่งแฝงไว้ทั้งความห่วงใยและข่มขวัญดังเข้าสู่โสตประสาทเอลฟ์สาว
นางได้สติกลับมาจากความตกตะลึง เพียงเพื่อจะพบว่าสตรีนางหนึ่งผู้มีผมสีม่วงสลวยกำลังแหวกว่ายมาอยู่เบื้องหน้านางพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
หัวใจนางพลันรู้สึกอบอุ่นอย่างมิทราบสาเหตุ ความคับข้องใจและความสิ้นหวังที่นางต้องทุกข์ทนมาตลอดช่วงนี้พลันไหลบ่าทะลักทลายขณะที่นางสะอื้นไห้ไปถามไป “ท่านมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเราอย่างนั้นหรือ”
นางรู้สึกได้ว่าอัศวินหญิงผู้นี้แตะศีรษะนางด้วยมือข้างซ้ายที่ไม่ได้ถือดาบ น้ำตาของนางจึงยิ่งหลั่งไหลกว่าเดิม หากมิใช่ว่านางยังมีความกังวลอื่นอยู่อีก นางคงจะกระโดดโผกอดอีกฝ่ายและร้องไห้โฮไปแล้ว
“ข้ามีนามว่านาตาชาแห่งอาณาจักรโฮล์ม ข้าเป็นพันธมิตรกับสภาเอลฟ์ เราพบพวกเจ้าโดยบังเอิญน่ะ” นาตาชาแนะนำตัวสั้นๆ “เจ้าช่วยบอกเราได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“วันนั้น เจ้าชั่วฮาเร็กซ์โจมตีเขตแดนของเรา…” เอลฟ์สาวอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นขณะสะอึกสะอื้นไปด้วย
หลังจากได้ยินเรื่องราวจากปกนาง นาตาชาก็เอ่ยกับลูเซียนผ่านทางกระแสจิต “โดยพื้นฐานแล้วเรื่องเป็นเหมือนกับที่ดอริสพูดไว้ แต่มีรายละเอียดมากกว่า ดูเหมือนว่าฮาเร็กซ์จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ บางทีเขาอาจจะนำตัวเชลยศึกไปที่ประตูน้ำเงินก็เพื่อรักษาตัวให้หายดีเร็วขึ้นกระมัง”
ลูเซียนได้รับคำเตือนจากนาตาชาตั้งแต่ที่พวกคัวโทนเข้ามาใกล้แล้ว มิใช่เพราะพวกมันอาจเป็นอันตราย แต่เพราะมันอาจมีข้อมูลสำคัญอยู่ก็เป็นได้ ขณะนี้เขากำลังช่วยเหลือเอลฟ์แห่งท้องทะเลด้วยการเสกฟองอากาศคุ้มกัน ก่อนจะพยักหน้า “ก็เป็นไปได้ เราไปถามนักบวชอีกทีกันเถอะ”
จนถึงตอนนี้เองที่เอลฟ์สาวเพิ่งจะตระหนักได้ว่ามีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่กลางสายน้ำห่างออกไป ชุดสูทกระดุมสองแถวสีดำของเขาภายใต้ความขัดแย้งระหว่างความมืดที่ก้นทะเลกับแสงสีเงิน ดูจะแผ่กลิ่นไอลี้ลับชวนขนลึก และใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็ดูคุ้นตาเป็นพิเศษ
“ทะ…ท่านอาจารย์อีวานส์?” เอลฟ์สาวพลันจำได้ว่าเขาคือใคร แม้ว่านางจะไม่รู้อะไรนักเกี่ยวกับดินแดนบนทวีปใหญ่ แต่เอลฟ์ทุกตนที่รักในเสียงเพลงย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของลูเซียน อีวานส์ และเคยเห็นรูปเหมือนของเขามาก่อน
“มหาจอมเวทแห่งสภาเวทมนตร์…” นางโล่งอกโดยสิ้นเชิงเพราะรู้ว่าบัดนี้นางปลอดภัยดีแล้ว นางจึงยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
หลังจากถามคำถามกับนักบวช ลูเซียนก็หันมาพูดกับเหล่าเอลฟ์ “เราจะไปตรวจดูที่ประตูน้ำเงิน หากเป็นไปได้ เราจะพยายามช่วยเหลือสหายของพวกเจ้าออกมา”
ในขณะที่เหล่าเอลฟ์แห่งท้องทะเลกำลังจะแสดงความขอบคุณด้วยความดีใจ ลูเซียนก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่า จนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้าอยากให้พวกเจ้าลืมเราไปก่อน”
“อะไรนะ” เหล่าเอลฟ์เงยหน้าขึ้น ทุกตนต่างเห็นภาพหลอนว่าจู่ๆ ท่านอีวานส์ก็ยื่นมือมาข้างหน้าพวกตน ทุกตนมองเห็นดวงตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน มันเป็นดวงตาที่ลึกล้ำและสงบสุขเหมือนกับมหาสมุทร…
หลังจากเหล่าเอลฟ์จากไปอย่างเลื่อนลอย ลูเซียนก็หันมาพูดกับนาตาชา “การเก็บข้อมูลใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ และประตูน้ำเงินก็อยู่ไม่ห่างจากนี้นัก เราลองไปดูกันเถิด”
“ก็ได้ ระวังตัวด้วยล่ะ” แม้ว่านาตาชาจะเป็นอัศวินที่ชื่นชอบการเป็นฝ่ายบุกทะลวง แต่นางก็มักจะรอบคอบระมัดระวังก่อนการต่อสู้เสมอ
ทั้งสองดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ และเข้าใกล้ก้นมหาสมุทรยิ่งขึ้น แต่ทันใดนั้น แอ่งหน้าตาประหลาดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา มันเป็นแอ่งที่ไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดภายในบริเวณร้อยกว่าตารางกิโลเมตรรอบๆ
ตรงกลางนั้นมีประตูสีน้ำเงินตั้งอยู่ไกลๆ เห็นได้ลางๆ มันดูราวกับว่าน้ำทะเลถูกสูบออกไป และสายน้ำก็ไม่สามารถเข้าไปในบริเวณนั้นได้เลยสักหยด มีเพียงปะการังหน้าตาประหลาดกับทรายละเอียดเท่านั้นที่ยืนยันว่าที่แห่งนี้ยังคงเป็นก้นมหาสมุทร
“ข้ากำลังคิดว่าจะแปลงกายเป็นปลาแล้วลอบเข้าไปสอดแนม แต่ดูเหมือนว่าเราคงต้องลองวิธีอื่นเสียแล้ว” ลูเซียนเริ่มมีท่าทีเคร่งเครียดไม่น้อย
…………………………………………