ภายในปราสาทแห่งผู้สังเกตการณ์ ลูเซียนที่ยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ และกำลังอ่านหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับประเพณีและขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันในยุคสมัยที่ถูกมังกรปกครอง
การศึกษาชั้นเลิศ หนังสือที่ได้รับการจัดวางไว้อย่างดี ยกเว้นหนังสือที่เกี่ยวกับยุคสมัยแห่งตำนานครอบคลุมไปถึงยุคสมัยที่เหลืออื่นๆ หรือแม้กระทั่งยุคที่สูญหายไปแล้ว
การศึกษาไม่ใช้เรื่องแปลกอะไรสำหรับลูเซียน เเพราะที่นี่เป็นที่ที่เขานำหน้ากากจำแลงออกมา แต่คราวนี้สวนที่น่าสยดสยอง หรือพืชเวทมนตร์ก็ไม่สามารถข่มขู่เขาได้อีกต่อไป
เพราะเขามีห้องสมุดห้วงจิตจึงทำให้เขาอ่านหนังสือได้เร็วมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังรอไรน์ และ “จันทราสีเงิน” ที่กำลังจะกลับมา ในการจัดระเบียบหรือปฏิรูปและรวมสภาขึ้นมาใหม่ พวกเขาจะต้องลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ และพยานก็จะเป็นผู้นำของพวกเขาหรือก็คือท่านประธาน
มีเพียงผู้บริสุทธิ์และผู้อ่อนประสบการณ์เท่านั้นที่คาดหวังว่าระดับตำนานชั้นแนวหน้าเหล่านี้จะคุกเข่าลงตลอดกาลเพียงเพราะศักดิ์ศรีและอำนาจของ “จันทราสีเงิน” แต่เนื่องจากพลังของ “จันทราสีเงิน” ไม่สามารถเอาชนะระดับตำนานชั้นแนวหน้าทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการรักษาสิ่งที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ และขอความร่วมมือจากผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จากนั้นพวกเขาจะดูดกลืนและซึมซับพลังของตรงข้ามทีละเล็กทีละน้อย ไม่อย่างนั้นสภาก็จะล่มสลายลง
แน่นอนแม้ว่าระดับตำนานชั้นแนวหน้านั้นจะยังคงโกรธเคือง แต่เพราะผลประโยชน์สูงสุดที่พวกเขาจะได้รับ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงเลือกที่จะติดตาม “จันทราสีเงิน” ต่อไป ความโกรธที่อยู่ในจิตใจของพวกเขานั้นยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้พวกเขายอมเสี่ยงที่จะไปต่อสู้กับอัลเทอร์นา ดังนั้น การรวมกันของสภาแห่งความมืดจึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไรน์ที่สวมเสื้อกั๊กสีแดง และเสื้อคลุมยาวสีดำก็เดินเข้ามา
“’จันทราสีเงิน’ที่รัก เขาอยู่ไหน?” นางถามลูเซียนก่อนที่เขาจะทันถามนางเกี่ยวกับยุคสมัยแห่งตำนาน
ไรน์ถอนหายใจ “นางเบื่อแล้วก็หายตัวไปอีกแล้ว บางทีนางอาจต้องยับยั้งชั่งใจเรื่องอาหารการกินซะบ้าง ไม่ใช้ว่า ‘ของหวาน’ จะน่ารักในสายตาทั้งหมด…”
ลูเซียนพูดไม่ออก เพราะประธานที่ยังคงหายตัวไปก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับสภาแห่งความมืดนักหรอก…
ไรน์ยิ้ม “อย่ากังวล เมื่อมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น นางจะกลับมา เจ้าสามารถพึ่งพานางได้”
“นายท่าน ท่านจะกรุณาอัญเชิญนางมาได้หรือไหม? ข้ามีคำถามบางอย่าง…” ลูเซียนกล่าว
ไรน์เดินไปที่โต๊ะ และนั่งลง “เรารู้ว่าเจ้าต้องการถามอะไร อัลเทอร์นาบอกข้าหมดแล้ว ดังนั้นข้าจะบอกต่อเจ้า”
“ท่านรู้?” ลูเซียนประหลาดใจนิดหน่อย
ไรน์ปรายดวงตาสีเงินพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัยที่ประดับอยู่บนใบหน้าไปทางลูเซียน “เมื่อเจ้าพบสุริยา อัลเทอร์นาก็รู้ได้ทันที มันเกี่ยวกับสิ่งแปลกประหลาดที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของมหาสมุทรไร้พรมแดนใช่ไหม?”
“ใช่… ตามปกติแล้ว ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรไร้พรมแดนควรมีบรรยากาศในลักษณะที่ไม่ควรเหมือนกันจากสถานที่อยู่รอบๆ ใกล้เคียงกัน จากแบบจำลองของข้า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ข้าจึงเดาว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับยุคสมัยแห่งตำนาน แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ…”
ไรน์ถามด้วยความสงสัย “แบบจำลองอะไรหรอ? เจ้าพบได้อย่างไร? ไวเค็นในฐานะมนุษย์ครึ่งเทพไม่สนใจด้วยซ้ำ”
“… ท่าน สนใจอัลเทอร์นาหรือ?” ลูเซียนพูดหลังจากเงียบไป
ไรน์แกล้งไอ และหยิบปากกาขนนกที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา “ไม่หรอก…”
ไรน์เริ่มพูดอย่างจริงจังว่า “ตอนแรก จิตของอัลเทอร์นานั้นเพิ่งตื่นได้เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นความรู้สึกของนางที่มีต่อโลกใบนี้จึงค่อนข้างเลือนลางราวกับความฝัน ในความฝันของนาง วิญญาณไม่จำเป็นต้องพึ่งพาร่างกายแต่มันอาจเป็นเหมือนวิญญาณบางดวงที่ราวกับแสงสว่างที่เดินอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบอันมืดมิด ในเวลานั้น สัตว์เวทมนตร์บางตัวที่มีพลังพิเศษก็เริ่มกล้าแข็ง และเริ่มแปลกประหลาดมากขึ้น แต่สติปัญญาพื้นฐานกลับไม่มี”
ลูเซียนตั้งใจฟังมาก การพัฒนาความก้าวหน้าของโลกใบนี้อาจไม่เหมือนกับกระบวนการวิวัฒนาการของผืนดิน และนี่อาจเป็นหนึ่งในเบาะแสที่สำคัญที่สุดในการสำรวจธรรมชาติของโลกเวทมนตร์นี้ เขายังเชื่ออีกด้วยว่าแม้กระบวนการอาจจะแตกต่างกัน แต่กฎเบื้องหลังที่ถูกซ่อนอยู่อาจเหมือนกัน บางทีความประหลาดของโลกนี้อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่คาดคิด
“เมื่อบรรพบุรุษต้นกำเนิดตื่นขึ้นเต็มตา และเริ่มเดินบนแผ่นดิน จากนั้นสัตว์วิเศษมากมาย เจ้าแห่งนรกและเจตจำนงแห่งอเวจีก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน จากนั้นด้วยสัญชาตญาณ พวกเขาเริ่มต่อสู้กันอย่างรุนแรง” ไรน์ไม่ได้อธิบายความประหลาดของมหาสมุทรไร้พรมแดนโดยตรง แต่เริ่มอธิบายจากภูมิหลังทั่วไปของยุคนั้นๆ
บรรพบุรุษของสัตว์เวทมนตร์ในทุกวันนี้ถือกำเกิดเมื่อนานมาแล้ว พวกมันมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่แล้วตั้งแต่ตอนนั้น…
ลูเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่แล้วก็คลายออก จากการศึกษาเรื่อง ต้นกำเนิดของโลก พื้นดิน และซากดึกดำบรรพ์บางประเภทของสภา ดูเหมือนขั้นตอนแรกของพลังนี้จะเกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณเท่านั้น และไม่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเลย
เขาสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกประหลาด “ในตอนนั้น มีเพียงมนุษย์ครึ่งเทพสามคน และพวกเขาก็ไม่มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ ยกเว้นเจตจำนงแห่งอเวจีที่เริ่มโจมตีไปทั่ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าแห่งนรกและที่รักกลับไม่มีเหตุผลในการต่อสู้ แล้วทำไมถึงมีมนุษย์ครึ่งเทพเพียงสามคน? เรื่องนี้ตรงกับยุคสมัยแห่งตำนานอย่างไร?”
“เมื่อตอนที่พวกเขาถือกำเกิดขึ้นครั้งแรก มนุษย์ครึ่งเทพทั้งสองก็มีชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่เข้าใจในเจตจำนง และอำนาจของตนเอง แต่พวกเขาได้รับอิทธิพลจากสัญชาตญาณอย่างมาก บรรพบุรุษต้นกำเนิดเมื่อครั้งหนึ่งเคยบอกข้าว่ามีหลายคนที่มีโอกาสจะกลายเป็นเป็นครึ่งเทพได้ แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่สามคนนี้เท่านั้นที่ทำได้ ส่วนคนที่เหลืออย่างต้นเอลฟ์โบราณ หรือประตูน้ำเงินนั้นล้มเหลวทั้งหมด พวกเขาเพียงตื่นแค่ครึ่งเดียว แต่ไม่ได้ไปไกลกว่านี้”
จากนั้นไรน์ก็กล่าวเสริมว่า “เมื่อมีการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด สิ่งมีชีวิตคนอื่นที่ทรงพลังบางคนก็เริ่มรวบรวมผู้ติดตามของตัวเอง และกลายเป็นพระเจ้าเทียมเท็จอย่างที่เจ้าเห็นในมิติ
“… ดังนั้นในหนังสือยุคสมัยแห่งตำนานทั้งหมด เจตจำนงแห่งอเวจีจะยังคงเข่นฆ่าและฆ่าต่อไป เจ้าแห่งนรกก็ยังคงแสวงหาหนทางที่จะเพิ่มพลังให้มากขึ้น ในขณะที่ ‘เจตจำนง’ ที่ตื่นอยู่ครึ่งหนึ่งก็ได้เข้าร่วมกับบรรพบุรุษต้นกำเนิดเพื่อต่อสู้กับพวกเขา เหล่าพระเจ้าเทียมเท็จต่างก็พยายามที่จะเติบโตขึ้นจากการกินพวกเดียวกันเอง พยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น และด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงถูกเจ้าแห่งนรกหลอกล่อจนกลายเป็นหนูลองวิชาของมัน ดังนั้นเจ้าแห่งนรกจึงเข้าใจว่าพลังของพระเจ้าเทียมเท็จคืออะไร อันที่จริงเขาก็ตั้งชื่อให้มันว่า—พลังแห่งศรัทธา…”
ลูเซียนลูบคาง “เขาถึงกับตั้งชื่อให้มัน?”
“ใช่ แต่สุดท้าย เขาก็ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่ง ธานอสผู้อัจฉริยะที่ได้ค้นพบวิธีรวบรวมพลังของปีศาจโบราณ หรือพลังแห่งศรัทธาและแม้แต่หนทางในการเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง เพื่อสร้างมนุษย์ครึ่งเทพ ข้าคิดว่าเป็นเจ้าแห่งนรกจงใจเผยข้อมูลให้ธานอสตั้งแต่แรกแล้ว” ไรน์กล่าวพร้อมกับไขว้นิ้ว
“แล้วเจ้าแห่งนรกและ เจตจำนงแห่งอเวจีถูกขังอยู่ในโลกวัตถุหลักได้อย่างไร?” ลูเซียนไม่ได้รีบถามเรื่องมหาสมุทรไร้พรมแดน เพราะเขาเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องเดียวกัน
ไรน์คลี่ยิ้มออกมา “จุดสำคัญของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือการต่อสู้ครั้งใหญ่ในหมู่พระเจ้าเหล่านั้น ในการต่อสู้ครั้งนั้นพวกเขาทั้งหมดเกือบล้มตาย ต้นเอลฟ์โบราณสูญเสียเจตจำนงอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก เจ้าแห่งนรกและเจตจำนงแห่งอเวจีถูกเนรเทศ และบรรพบุรุษต้นกำเนิดก็ไม่สามารถเดินอยู่บนแผ่นดินนี้ที่นางปรารถนาได้อีกต่อไป”
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เหลือรอด แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกโลกแห่งวิญญาณฆ่าตาย
“อย่างไร?” ลูเซียนไม่เข้าใจว่าพวกเขาถูกจำกัดได้อย่างไร
ไรน์ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาเทือกเขาแห่งความมืด และพูดว่า “ในยุคสมัยแห่งตำนาน เทือกเขา เทือกเขาแห่งความมืดนั้นไม่เหมือนกับที่เราเห็นในทุกวันนี้ มันมีรอยแยกแห่งอวกาศไม่มากนัก แต่กลับมีเส้นทางที่มุ่งไปยังมิติอื่นที่มั่นคงมากมาย และมีมนุษย์ครึ่งเทพหลับไหลอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรไร้พรมแดน อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น ความลึกของมหาสมุทรไร้พรมแดนและมหาสมุทรแสงจันทร์เปรียบเสมือนบรรยากาศ เจ้าสามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่สามารถ ‘เห็น’ ได้ว่าเจ้ามาได้อย่างไร”
“ความแปลกประหลาดนี้เริ่มมาจากจุดเริ่มต้นงั้นหรือ?” ลูเซียนถามอย่างครุ่นคิด
ไรน์ดูสับสนเล็กน้อย “อย่างน้อยก็นับตั้งแต่บรรพบุรุษต้นกำเนิดตื่นขึ้นมา แต่ในความฝันของบรรพบุรุษต้นกำเนิดก่อนหน้านั้น สถานที่แห่งนั้นดูแปลกน้อยกว่าเมื่อเทียบกับครั้งก่อน เราสามารถมองเห็นพื้นดินได้อย่างเลื่อนลางผ่านชั้นบรรยากาศ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงหนึ่งในความฝันเท่านั้น และหลายคนก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันผิด ฉะนั้นเจ้าก็อย่าไปจริงจังกับมันมากนัก”
ลูเซียนพยักหน้าเล็กน้อย และรอให้ไรน์พูดต่อ
“เมื่อสิ้นสุดสงคราม การดำรงอยู่เพียงครึ่งหนึ่งรวมถึงประตูน้ำเงินก็ได้เสียสละเจตจำนงของพวกเขาและช่วยบรรพบุรุษต้นกำเนิดบิดเบือนเวลาและพื้นที่ และด้วยเหตุนี้เองการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างโลกวัตถุหลักกับมิติอื่นๆ จึงถูกตัดขาดออกจากกัน มีเพียงจุดบัพอวกาศเท่านั้นที่ถูกใช้สำหรับเดินทาง จากนั้นมหาสมุทรไร้พรมแดนและเทือกเขาแห่งความมืดก็กลายเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้
“… นอกจากนี้ เนื่องจากการขาดการเชื่อมต่อ เจ้าแห่งนรกและเจตจำนงแห่งอเวจีจึงถูกกันให้ห่างจากโลกวัตถุหลักเนื่องจากไม่มีเส้นทางที่มั่นคง เหมือนกับบรรพบุรุษต้นกำเนิด ดังนั้นบรรพบุรุษต้นกำเนิดจึงสร้างแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าไว้ล่วงหน้าและปล่อยให้ข้ามีพลังที่จะสามารถอัญเชิญนางได้ ด้วยวิธีนี้เองนางจึงสามารถใช้ช่วงเวลาสำคัญๆ ได้ จากการทำลายขีดจำกัด” ไรน์ผู้ซึ่งรู้สึกดีกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือกล่าวตอบ
ลูเซียนถามต่อว่า “แล้วเหตุใดเวลา และพื้นที่จึงบิดเบือนเป็นแบบนี้ อัลเทอร์นาทำเช่นนี้ได้อย่างไร? มีอะไรสักอย่าง…ที่เป็นคำใบ้หรือเปล่า?”
“ในเวลานั้นพวกเขาต่อสู้และละทิ้งสัญชาตญาณทั้งหมด จากนั้นบรรพบุรุษต้นกำเนิดก็รู้สึกว่าสัญชาตญาณของตนทำงานได้ดีที่สุด…” ไรน์มั่นใจว่าจันทราสีเงินจะไม่ได้เป็นนักคณิตศาสตร์ที่แก้ไขปัญหานี้
ลูเซียนยิ้ม ปัญหาใหญ่ที่สุดในใจของเขาได้รับการแก้ไขแล้ว และนั่นก็ช่วยขจัดอันตรายซ่อนเร้นที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย
…………………………