บริเวณโดยรอบนครลอยฟ้า แสงอาทิตย์เจิดจ้าอาบย้อมเมฆสีขาวให้กลายเป็นสีทอง ความมืดมิดเมื่อครู่ก่อนเลือนหายไปแล้ว มันดูเหมือนกับว่าโลกทั้งใบได้เปลี่ยนจากอเวจีกลับมาสู่ความปกติ
ท่ามกลางหมู่เมฆหนาทึบ รูดอล์ฟที่สองผู้องอาจ จดจ้องไปที่นครอัลลินอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกและหายไปจากท้องฟ้า
แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนพลังระดับตำนานชั้นสูงสุดมาได้แล้ว แต่เขาก็ยังจำต้องสั่งสมพลัง และรอคอยโอกาสอันดีงามเพื่อจะเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับมนุษย์ครึ่งเทพ มันย่อมไม่ง่ายดายและผิดธรรมชาติ นอกจากนี้ หนทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพที่เขาคิดค้นปรับใช้นั้นเป็นวิธีที่ต้องพึ่งพาพลังศรัทธา แม้ว่าเขาจะได้รับความทรงจำของธานอสช่วงระหว่างการเลื่อนขั้นครั้งแรกกลับคืนมาแล้ว โอกาสสำเร็จก็ยังไม่สูงนัก และเขาก็อาจเสียชีวิตในระหว่างกระบวนการ หากประมาทเลินเล่อไปเพียงวินาทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเห็นดักลาสเลื่อนขั้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้สำเร็จโดยมีพื้นฐานจาก ‘โลกแห่งปัญญา’ อันเป็นจารีตตั้งเดิมของเหล่านักเวทย์ ราชันย์แห่งสุริยาผู้เคยเป็นตัวแทนที่โดดเด่นของจักรวรรดิเวทมนต์ ก็ให้รู้สึกว่าเขาไม่สามารถตามวงล้อแห่งประวัติศาสตร์ได้ทันอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ถูกทำให้จมอยู่ใต้สายธารแห่งกาลเวลา ความล้าหลังและล้าสมัย ยามเผชิญหน้ากับ ‘ดวงอาทิตย์’ ดวงใหม่ในยุคสมัยใหม่ เขาพบว่ามันช่างแจ่มจรัสเจิดจ้าเสียจนอยากทำเพียงหลบหนีไป
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความมั่นใจและความภาคภูมิในจิตใจเขาก็ยังเอาชนะตัวเขาเองได้อีกครั้ง
“เราได้รับเชิญให้เข้าไปงั้นรึ” โอเกอร์ ราชันย์ร่มเงา เห็นว่าปราการคุ้มกันของนครอัลลินถูกยกเลิกไปแล้วและเสียงดังกึกก้องน่าอัศจรรย์ใจของชีวินรสายนเวทย์ก็ดังไปทั่วท้องฟ้า
แดรกคูลาลอยตัวอยู่บนน่านฟ้าและมองลงไปยังนครอัลลินอันสะอาดสะอ้านทันสมัย ก่อนที่เขาจะส่งเสียงขึ้นจมูก “เจ้าอยากเข้าไปหรือไม่”
“เหอะๆ” โอเกอร์หัวเราะขันด้วยความเก้อกระดากและทำเพียงเปิดประตูมิติเข้าไปยังมิติพิเศษของตน ดักลาสได้กลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพแล้ว และยังเป็นนักเวทผู้หนึ่งโอเกอร์จะกล้าหาญชาญชัยเข้าไปเยือนสถานที่ของอีกฝ่ายได้เช่นไร หากเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่สามารถหลบหนีออกมาได้เป็นแน่!
หลังโอเกอร์จากไป แดรกคูลา ดานิซอส เบลคอฟสกี และผู้มีพลังชั้นสูงคนอื่นๆ ต่างก็กลับถิ่นตนเอง แม้ว่านครลอยฟ้าจะดูเหมือนแกะตัวน้อยไร้ทางสู้ดูเชิญชวนที่ถูกตัดขนออกไปจนหมดแล้ว เมื่อยามนี้ปราการป้องกันถูกยกเลิกไป แต่แท้จริงแล้วมันคือสถานที่ที่อันตรายไม่แพ้นครศักดิ์สิทธิ์เลยในสายตาพวกเขา
ราชินีเอลฟ์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงลดทิฐิลง ก่อนจะร่อนลงไปที่หอคอยเวทมนตร์อัลลิน
…
ทันทีที่ปราการป้องกันของนครลอยฟ้าถูกยกเลิกการใช้งาน คลื่นแห่งกาล-อวกาศก็พลันแผ่ออกมาจากชั้นที่สามสิบสามและสามสิบสี่ของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน สมาชิกสภาสูงสุดทุกคนที่อยู่ในโลกหลักและมิได้ติดอยู่ในอนุสรณ์สถานแห่งใดต่างเร่งรีบเดินทางมากัน ส่วนหนึ่งก็เพื่อแสดงความยินดี และอีกส่วนนั้นเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับปริศนาแห่งระดับชั้นมนุษย์ครึ่งเทพให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในตอนที่ลูเซียนกับนาตาชา ที่ต่างก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสถานะมนุษย์ครึ่งเทพเช่นกัน มาถึง สมาชิกสภาสูงสุดมากกว่าครึ่งก็ได้มารวมตัวกันที่ห้องประชุมใหญ่แล้ว
ดักลาสที่กำลังฟังโอลิเวอร์ เฮลเลน และวิเซนเตแสดงความยินดีอยู่นั้น พลันผุดลุกขึ้นหลังจากที่ลูเซียนเดินเข้ามาทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“อาร์คานาจงเจริญ…” ก่อนที่ลูเซียนจะทันได้แสดงความยินดี ดักลาสก็เข้ามาสวมกอดอย่างอบอุ่นเป็นกันเองแล้ว
“หากไม่ได้เจ้าช่วยเหลือ ข้าคงจะทะลวงขึ้นสู่ระดับชั้นมนุษย์ครึ่งเทพไม่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่ หากว่าข้าจะสามารถค้นพบเส้นทางนี้ได้ด้วยตนเองล่ะก็นะ” ดักลาสตบบ่าลูเซียนแล้วคลายอ้อมแขน พลางแสดงความขอบคุณด้วยความจริงใจ
ลูเซียนยิ้มอย่างเก้อเขิน “ข้าเพียงเสนอของหวานขอรับ สิ่งที่ทำให้ท้องอิ่มคืออาหารจานหลักก่อนหน้านั้นต่างหากล่ะขอรับ”
“หือ?” ดักลาสรู้ดีว่าลูเซียนกำลังพยายามบอกอะไร แต่แฮทธาเวย์กลับค่อนข้างมึนงงกับคำเปรียบเปรยนั้น นางมิใช่ผู้ที่เก่งกาจด้านงานวรรณกรรมอยู่แล้วด้วย
ลูเซียนอธิบายยิ้มๆ “งานศึกษาวิจัยของท่านประธานเกี่ยวกับระบบการเคลื่อนไหวของวัตถุในฟากฟ้าและแนงโน้มถ่วงนั้นเป็นเหมือนกับอาหารจานหลัก และการค้นพบดวงอาทิตย์ของข้าก็คือเหมือนของหวานขอรับ ท่านไม่อาจมองข้ามอาหารจานหลักเพียงเพราะท่านรู้สึกอิ่มหลังจากได้กินของหวานช่วงมือค่ำ ในความเป็นจริงแล้ว อาหารจานหลักต่างหากคือสิ่งสำคัญที่หยุดความหิวของท่าน”
แฮทธาเวย์ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่านางยังมึนงงว่าเหตุใดจึงต้องพูดให้เข้าใจยากด้วย ทั้งๆ ที่สามารถพูดออกมาตรงๆ ก็ได้
“ลูเซียน การถ่อมตนเกินไปมิใช่เรื่องดีหรอกนะ งานศึกษาวิจัยทางอาร์คานาของเจ้าตลอดสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็นส่วนสำคัญและยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์เวทมนตร์เลยเชียว” ดักลาสเกิดความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน
“เรื่องความถ่อมตนของข้าหาใช่ปะเด็นสำคัญในยามนี้ไม่ขอรับ ข้าคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการตอบสนองความสงสัยใคร่รู้ของเรา ข้าเชื่อว่าทุกคนคงอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ฟังเกี่ยวกับปริศนาแห่งมนุษย์ครึ่งเทพจากท่านประธานขอรับ” ลูเซียนดึงบทสนทนากลับสู่ประเด็นหลัก
เฟอร์นันโดที่มาถึงด้วยความว่องไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอคืนอุปกรณ์ข้าวของให้ลูเซียนก็เอ่ยเสียงดัง “ไว้เจ้าค่อยแสดงความซาบซึ้งกันทีหลังเถิด ทั้งหมดที่ข้าสนใจตอนนี้คือความพิเศษของสถานะมนุษย์ครึ่งเทพ สิ่งต่างๆ ที่เราจำเป็นต้องระมัดระวังในระหว่างการเลื่อนขั้น และกลไกทางอาร์คานาที่เกี่ยวข้อง”
ดักลาสปรบมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามทุกคน ข้าขอถามเรื่องหนึ่ง ไหนละแขกของเรา”
“ไม่มีใครนอกจากอะเกลียยาที่กล้าเข้ามาในอัลลิน” แฮทธาเวย์ตอบเสียงเรียบเย็น
“เช่นนั้นก็ให้อะเกลียยาเข้าร่วมประชุมด้วยเถิด เผื่อว่านางจะเลือกเส้นทางผิดๆ ในอนาคต” ขณะกล่าว ดักลาสก็เริ่มมีท่าทีเคร่งขรึมและกล่าวกับเหล่าสมาชิกสภาสูงสุดที่อยู่ในที่นั้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เลือกเส้นทางที่ผิดเช่นกัน”
“ในอดีต เส้นทางตรงหน้าเรายังถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกหนาแน่น และเป็นที่เข้าใจได้ที่เราจะทำผิดพลาดในระหว่างการออกสำรวจ แต่ยามนี้ ม่านหมอกนั้นได้จางหายไปแล้ว และเส้นทางสายตรงก็เผยตัวเบื้องหน้าเรานี้แล้ว มันไม่มีเหตุผลอันใดอีกที่จะเดินไปยังทิศทางอื่น สภาเวทมนตร์จะไม่ยอมให้มีนักเวทคนใดออกนอกลู่นอกทางเช่นนั้น”
บรรยากาศภายในห้องเย็นยะเยียบขึ้นเล็กน้อย แต่มิมีสมาชิกสภาสูงสุดคนใดที่แสดงทีท่าว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
“หลังจากที่เห็นเจ้ากลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพผ่านการผสานโลกแห่งปัญญาและมิติพิเศษได้สำเร็จ ข้าไม่คิดว่าจะมีนักเวทคนใดตัดสินใจเลือกเส้นทางอันไร้เหตุผลอีกแล้ว” โอลิเวอร์ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วิเซนเต เฮลเลน แอตแลนต์ และนักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ ต่างก็แสดงความเห็นของตนเช่นกัน
หลังจากที่อะเกลียยาเข้ามา ดักลาสก็เริ่มตอบคำถามเรื่องมนุษย์ครึ่งเทพของทุกคน โดยพื้นฐานแล้วมันก็เหมือนกับที่เขาเคยอธิบายให้บรูกกับแฮทธาเวย์ฟัง
“…กระทั่งยามนี้ มนุษย์ครึ่งเทพยังไม่มีกลไกทางอาร์คานาที่เกี่ยวข้อง และในระบบอาร์คานาก็ไม่มีที่สำหรับมนุษย์ครึ่งเทพเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ในอนาคต เหมือนกับที่เราศึกษาเรื่องธรรมชาติของเวทมนตร์” ดักลาสสรุปในตอนท้าย
ลูเซียนตั้งใจฟังอย่างยิ่ง ตอนที่ดักลาสเอ่ยว่าตัวเขาจำเป็นต้อง ‘พังทลายลง’ เพื่อจะปรากฏขึ้นในโลกหลัก เขาก็ยกมือขึ้นเกาปลายคางอย่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“อัศวินชั้นตำนานจำเป็นต้องผ่านการแปรสภาพเช่นกันหรือไม่เจ้าคะ” นาตาชาถาม ที่ผ่านมานางกระตือรือร้นและไม่ระย่อต่อเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ดักลาสพยักหน้า “มนุษย์ครึ่งเทพทุกคนควรจะอยู่ในสถานะคล้ายคลึงกัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงโดยยึดเป้าหมายเป็นสถานะเช่นนั้นควรจะเป็นประเด็นหลักสำหรับอัศวินชั้นตำนานที่กำลังพัฒนาเติบโตทุกๆ คน ข้าคิดว่าเจ้าควรจะผสมผสานมันเข้ากับการฝึกฝนและการต่อสู้นะ”
อัศวินชั้นตำนานคนแรกนั้นถือกำเนิดขึ้นภายใต้ ‘การชี้นำ’ และ ‘การทดลอง’ ของเหล่านักเวท ด้วยเหตุนี้ ดักลาสผู้มาจากยุคสมัยแห่งจักรวรรดิเวทมนตร์ จึงมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ผู้มีพลังชั้นสูงทุกคนในที่นี้ รวมทั้งราชินีเอลฟ์ ต่างได้ถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ พวกเขายังคงต้องย่อยข้อมูลความรู้ใหม่ จึงมิมีผู้ใดถามอะไรอีก
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดักลาสก็ยืนขึ้นพลางเอ่ยว่า “มีเท่านี้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะขอตัวไปสำรวจตัวเองก่อนล่ะ”
หลังจากตรึกตรองถึงคำสาธยายของดักลาสเมื่อครู่นี้ อะเกลียยาก็พลันตระหนักขึ้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลายว่าสภาเวทมนตร์นั้นเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุด เทียบเท่ากับศาสนจักรฝ่ายใต้เลยในยามนี้ ด้วยมีมนุษย์ครึ่งเทพหนึ่งและชั้นตำนานระดับสูงสุดอีกสี่ ดูแล้วแข็งแกร่งกว่าศาสนจักรฝ่ายใต้ไปขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ!
แต่แน่นอนว่า หากพิจารณาว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายที่ไวเค็นจะสำแดงฤทธิ์เดชอย่างเต็มกำลังในโลกหลัก และยังใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ พร้อมกับ ‘หุบเขาวิมาน’ ได้นั้น ก็นับว่าทั้งสองฝ่ายยังแข็งแกร่งไล่เลี่ยกัน
ในตอนที่ดักลาสกำลังจะ ‘หนี’ เฟอร์นันโดก็โพล่งขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่า เจ้าได้คิดค้นการทดลองทางเลือกล่าช้ากับการทดลองยางลบควอนตัมออกมา เพียงแต่มิอาจทำการทดลองได้เพราะมีเงื่อนไขที่สูงมาก แล้วตอนนี้เล่า เจ้าทำมันได้หรือไม่”
นักเวทส่วนใหญ่ในห้องหันไปมองเฟอร์นันโดด้วยความตื่นตะลึง การทดลองทั้งสองอย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะสั่นคลอนระบบอาร์คานาในปัจจุบัน หากว่าผลออกมาเลวร้าย โลกทัศน์และทัศนคติของทุกคนย่อมถูกลบล้าง และพวกเขาก็จำต้องหันมามองทฤษฎีผู้สังเกตการณ์ของลูเซียนอย่างจริงจัง
‘จำเป็นต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้เชียวหรือ ให้เวลาเราเตรียมใจกว่านี้หน่อยเถิด!’
รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าดักลาสพลันเลือนหายไป เขากล่าวตอบด้วยความลังเล “ตอนนี้เงื่อนไขทุกอย่างตรงกันหมดแล้วจริงๆ แต่ข้าจะรู้ได้ว่าจะทำการทดลองพวกนี้ได้หรือไม่ก็ต่อเมื่อข้าพิสูจน์ยืนยันมันแล้ว ไว้ข้าจะบอกผลกับเจ้าในภายหลังนะ”
เฟอร์นันโดกล่าวด้วยท่าทีเคร่งเครียด “หากจอมเวทหวาดกลัวผลลัพธ์จากการทดลองใดจนเกินไป เขาก็ไม่คู่ควรจะได้รับการเรียกขานว่าจอมเวทแล้ว การท่องไปในสิ่งที่ไม่รู้และความจริงคือเหตุผลพื้นฐานที่ว่าเหตุใดข้าจึงเลือกเส้นทางแห่งอาร์คานา ข้าจะไม่ทรยศหักหลังปณิธานนั้น ฉะนั้นข้าจึงอยากรู้ผลลัพธ์จากการทดลองทั้งสองอย่าง และอยากรู้ว่าพวกมันจะเปิดเผยความจริงของโลกหรือไม่”
“ว่ากันตามจริงแล้ว มันมิได้มีปัญหาร้ายแรงอะไร เรื่องโลกจุลภาคนั้นเป็นเรื่องใหม่ที่มีอีกหลายประเด็นให้ถกเถียงหารือกัน ยังไม่มีผู้ใดสร้างโลกแห่งปัญญาโดยยึดจากสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าการทดลองทั้งสองจะทำให้เราสับสน มันมีแต่จะสั่นคลอนโลกทัศน์และทัศนคติของเราเท่านั้น แต่มันจะไม่ทำให้หัวเราระเบิด โลกแห่งปัญญาของเราก็จะไม่พังทลายและถูกแช่แข็งเช่นกัน” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โอลิเวอร์ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีทองนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้สำรวจศึกษา
ยามนี้เฮลเลนหาได้ไขว้เขว นางกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “การสั่นคลอนความเข้าใจที่มีต่อโลกก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าจอมเวทรู้สึกสิ้นหวังทดท้อ โลกแห่งปัญญาของพวกเขาย่อมไม่มั่นคง ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาหยุดนิ่งไป”
นางมิได้ยกตัวอย่างผู้ใด แต่แน่นอนว่ามีสมาชิกสภาสูงสุดหลายคนทีเดียวที่ไม่สามารถเลื่อนระดับขั้นขึ้นสู่ชั้นตำนาน เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาถูกทำให้ปั่นป่วนสับสนจากความสำเร็จทั้งหลายในด้านของโลกจุลภาค
“แต่ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของข้าอาจจะหยุดนิ่งไป ข้าก็ยังอยากรู้ผลลัพธ์นี้เจ้าค่ะ” เฮลเลนกล่าวเสริมพลางมองจ้องดักลาสด้วยสายตาแน่วแน่
สำหรับเหล่าจอมเวทแล้ว แรงปรารถนาที่มีต่อความรู้และการสำรวจศึกษานั้นคือความชำนาญพิเศษของพวกเขา หากพวกเขารู้ว่าคำตอบรออยู่เบื้องหน้าแต่ไม่อาจเอื้อมถึง พวกเขาขอตายเสียดีกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าคำตอบจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่นั้นนับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดักลาสมองไปรอบๆ และก็ได้เห็นว่าทุกคนต่างมีสีหน้าแบบเดียวกันนี้ เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งใจกึ่งๆ วิตกกังวล “อย่างน้อยที่สุด ขอให้ข้าเตรียมของสำหรับการทดลองให้พร้อมก่อนเถิด”
“ถ้าเช่นนั้น เรามาถ่ายทอดสดการทดลองนี้กันเถิดขอรับ” ลูเซียนเอ่ยแทรก ทำให้ทุกคนหันมามองเขาด้วยความตกตะลึง
…………………………….