ณ หอคอยบาเบลภายในมิติจักรวาลอะตอม…
ในตอนที่ลูเซียนกลับมา นาตาชายังคงนั่งเหม่ออยู่หน้าจอภาพ นางมองตรงไปข้างหน้าพลางหมุนควงดาบแห่งสัจธรรมไปมา
“เป็นอะไรหรือไม่” ลูเซียนถาม ด้วยรู้สึกว่านางมีท่าทางแปลกๆ หากพิจารณาจากความเชี่ยวชาญทางด้านอาร์คานาของนางแล้ว นางไม่ควรจะตกตะลึงเป็นเวลานานเช่นนี้นี่นา
เมื่อได้ยินเสียงลูเซียน นาตาชาก็คล้ายกับจะตื่นจากห้วงแห่งความฝัน ดวงตาสีเงินของนางเปล่งประกายระยิบระยับขณะกล่าว “แม้ว่าการทดลองทางเลือกล่าช้าจะไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างเบ็ดเสร็จว่ากฎของเหตุและผลอาจถูกล้มล้างได้ แต่ข้ากำลังคิดว่าดาบแห่งสัจธรรมสร้างขึ้นจากกลไกประเภทนั้นหรือไม่ วิธีการฟื้นคืนชีพทั้งหมดจะใช้การไม่ได้เพราะกฎของเหตุและผลถูกทำลายลงหรือไม่”
ลูเซียนมองอีกฝ่ายจากศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาเคร่งเครียด แม้ว่านางจะมีท่าทางมั่นใจและเด็ดเดี่ยวเหมือนอย่างปกติ แต่กลิ่นอายรอบตัวนางกลับดูค่อนข้างตื่นตะลึง นางคิดถูกหรือไม่นะ
บรรยากาศภายในห้องพลันเย็นยะเยือกอยู่นานหลายนาที แต่ในตอนที่นาตาชาทนไม่ไหวอีกต่อไป และกำลังจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง ลูเซียนก็พลันแย้มยิ้มด้วยความปีติยินดียิ่ง “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“จริงรึ ข้าเป็นแบบนี้ไม่บ่อยนักหรอก” นาตาชาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หาได้มีท่าทางหัวเสียแม้แต่น้อย
รอยยิ้มของลูเซียนหายไป ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและตอบว่า “ถือเป็นพัฒนาการก้าวใหญ่ที่เจ้าคิดถึงกลไกอาร์คานาที่อยู่เบื้องหลังพลังโลหิตดาบแห่งสัจธรรม มีเพียงการหาคำตอบให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เจ้าจึงจะรู้วิธีเดินไปต่อ แม้ว่าข้าจะยังไม่แน่ใจนัก แต่ข้าก็พอจะมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพลังโลหิตของเจ้าบ้างแล้วล่ะ หลังข้ากลับมาจากนรกโบราณ บางทีข้าอาจจะบอกเจ้าได้ว่ามันคืออะไรกันแน่”
“จริงรึ” นาตาชาทั้งประหลาดใจและดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของลูเซียน เส้นทางแห่งอัศวินเบื้องหน้าคือเป้าหมายสำคัญในชีวิตนาง การปลีกวิเวกทุกๆ เดือนทำให้นางได้ตระหนักว่าการเข้าใจพลังโลหิตของตนเองนั้นคือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อที่จะสร้างเส้นทางแห่งอัศวินของนางเอง มิเช่นนั้น กว่านางจะได้เลื่อนขั้นเป็นอัศวินชั้นตำนานระดับสามก็คงหลังจากนี้อีกร้อยปี เหมือนกับ ‘เจ้าแห่งกาล’ และนางก็คงไม่อาจสร้างความก้าวหน้าอันใดได้อีก
สำหรับอัศวินผู้เก่งกาจด้านการต่อสู้และมีความดื้อรั้น การสำรวจและศึกษาพลังโลหิตของตนเองจึงไม่ใช่ทางสำหรับนางเสียเท่าไหร่ มีความเป็นไปได้มากว่านางอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว ต้องขอบคุณที่นางมีมหาจอมเวทอยู่เคียงข้าง ทั้งยังเป็นผู้ที่โด่งดังเรื่องการศึกษาวิจัยของเขาอีกด้วย!
หลังจากโพล่งออกไป นาตาชาก็เพิ่งจะจับใจความของประโยคได้ “เจ้ากำลังจะไปที่นรกโบราณงั้นหรือ”
นางเลิกสนใจประเด็นก่อนหน้านี้ทันทีเพราะนางมั่นใจว่าลูเซียนไม่มีทางโกหกนางในเรื่องสำคัญๆ เช่นนั้น หากเขาบอกว่าเขามีทฤษฎี ก็คือเขามีจริงๆ และทุกอย่างก็จะชัดเจนหลังจากที่เขากลับมาจากนรกโบราณ
ข้าได้ประโยชน์มากมายจากการทดลองทั้งสองอย่าง หลังจากที่ข้าสร้างแบบจำลองเวทมนตร์อีกสองสามบท ก็เป็นเวลาที่ข้าจะไปเยี่ยมเยือนนรกโบราณเพื่อยืนยันความคิดของข้าเรื่องหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะได้รับคำตอบ” ลูเซียนกล่าวอย่างคลุมเครือ “แม้ว่าเจ้าแห่งนรกจะมาเยือนโลกหลักได้อย่างเสถียรมั่นคง แต่ร่างจริงของเขาย่อมยังอยู่ที่นรกขุมสุดท้าย ฉะนั้น ครั้งนี้ข้าจำต้องเดินทางไปเพียงผู้เดียว อีกอย่าง วันนี้สถานการณ์ค่อนข้างเป็นอันตราย เจ้ารั้งอยู่ที่เรนทาโตจะรับมือได้ดีกว่าหากเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้น
นาตาชาขบริมฝีปากพลางพยักหน้าน้อยๆ “ก็ได้”
นางรู้ดีว่า แม้นางจะมีโล่กับดาบแห่งสัจธรรม ซึ่งทำให้นางมีความสามารถในการต่อสู้เทียบเท่าชั้นตำนานระดับสาม แต่นางย่อมถูกบดขยี้อยู่ดีหากเผชิญหน้ากับมนุษย์ครึ่งเทพ นอกจากนี้ นางยังไม่มีเวทมนตร์รักษาชีวิตเอาตัวรอดแสนพิสดารเหมือนอย่างพวกนักเวท และนางคงจะเป็นเพียงภาระหากขอติดตามลูเซียนไปที่นรกโบราณด้วย ในฐานะชั้นตำนานระดับสูงสุด เขาสามารถต่อสู้และหลบหนีได้อย่างเป็นอิสระ เขาย่อมมีหนทางในการหลบหนีแม้ศัตรูจะเป็นมนุษย์ครึ่งเทพก็ตาม
“ข้าจะพัฒนาเวทมนตร์ชั้นตำนานแบบใหม่ที่จะช่วยให้เราสื่อสารกันข้ามมิติได้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินอันใดขึ้น เราก็จะสามารถติดต่อหากันได้” ลูเซียนพยายามเตรียมความพร้อมเอาไว้ แต่เขาหาได้วิตกกังวลจนเกินไปไม่ หากมีท่านประธานอยู่ในอัลลิน มันย่อมไม่เกิดเรื่องร้ายแรงจนถึงกับต้องติดต่อกันข้ามมิติ เว้นเสียแต่ว่าไวเค็นจะใช้พลังพระเจ้าเสด็จโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตนเอง หรือมนุษย์ครึ่งเทพทุกคนจับมือร่วมกันทำอะไรสักอย่าง จริงๆ แล้ว เป็นเขามากกว่าที่น่าจะได้พบเจอกับเรื่องแปลกๆ หลังจากที่ไปถึงนรกโบราณแล้ว
“สื่อสารกันข้ามมิติงั้นรึ” นาตาชาทวนคำ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีวิธีติดต่อสื่อสารแบบข้ามมิตินอกเหนือไปจากการส่งสารผ่านทางประตูมิติ นางจึงค่อนข้างมึนงงและสงสัยใคร่รู้
ลูเซียนพยักหน้าพลางแย้มยิ้ม “วิธีการสื่อสารของชั้นตำนานช่วยในเรื่องของการติดต่อหากันจากดินแดนใหม่ทั้งหลาย ทว่า มันใช้ได้เพียงครั้งเดียวและส่งข้อมูลได้จำกัด อีกอย่าง เราจะต้องกำหนดรหัสลับสำหรับการติดต่อสื่อสารไว้ล่วงหน้าด้วย โดยพื้นฐานแล้วก็คือ เมื่อไหร่ที่ทางด้านเจ้าตั้งสถานะสื่อสาร สถานะทางฝ่ายข้าก็จะสูญสลายไป ข้อมูลจะถูกส่งด้วยการผสมผสานของทั้งสองสถานะ เหมือนกับระบบเลขฐานสอง”
“มันให้ความรู้สึกเหมือนการประยุกต์ใช้คุณสมบัติแสนพิสดารของอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วอีกรูปแบบหนึ่งเลย…” ด้วยได้รับการสอนสั่งมาเป็นเวลานาน นาตาชาจึงกล่าวสรุปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง จากนั้น นางก็ปรับอารมณ์แล้วหัวเราะขัน “เจ้าบอกว่าเจ้าได้ประโยชน์มากมายจากทั้งสองการทดลองในวันนี้นี่ เจ้าได้อะไรมากันแน่ฮึ ข้อพิสูจน์ถึงผลกระทบจากผู้สังเกต หรือการหยุดยั้งกฎของเหตุและผลกันเล่า”
ลูเซียนสัมผัสได้ถึงความสงสัยใคร่รู้ที่นางเก็บซ่อนเอาไว้ ก่อนจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ “สำหรับข้าแล้ว บทเรียนสำคัญส่วนใหญ่ก็คือ เราสามารถใช้อิเล็กตรอนทำการทดลองทั้งสองอย่างนี้ได้สำเร็จภายใต้การออกแบบและสถานการณ์นั้นๆ ท่านประธานกัลข้าวางแผนไว้ว่าจะใช้โฟตอน”
“มันต่างกันด้วยหรือ” นาตาชามึนงง นางเข้าใจการทดลองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ปัญหาแสนซับซ้อนมากมายที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีทั้งหลายนั้นมากเกินกว่าที่มือสมัครเล่นอย่างนางจะรับไหว
“เจ้าอยากจะรู้ถึงความแตกต่างจริงๆ น่ะหรือ มันเกี่ยข้องกับทฤษฎีสนามควอนตัม กลศาสตร์คลื่น กลศาสตร์เมทริกซ์…” ลูเซียนจงใจพูดถึงทฤษฎีทั้งหลาย
“พอๆๆ” นาตาชารู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด จึงรีบหยุดเขาและเปลี่ยนเรื่อง “ในการทดลองแรก ร่องรอยวิถีโคจรของอิเล็กตรอนถูกลบไปจากการออกแบบ ดังนั้นจึงขัดขวางมิให้ผู้ทำการทดลองได้รับข้อมูล ส่งผลให้ริ้วของการแทรกสอดยังคงมีอยู่ และผลกระทบจากผู้สังเกตยังมีเหตุมีผล ทว่า มันไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันข้อสรุปได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากว่าร่องรอยวิถีโคจรไม่ถูกลบไป แต่ดวงตา หู และประสาทสัมผัสทั้งหมดของผู้ทำการทดลองถูกปิดกั้นไว้ ริ้วของการแทรกสอดจะยังคงมีอยู่หรือไม่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นจะยังมี ‘ผู้สังเกต’ อยู่หรือไม่”
ลูเซียนจ้องมองนาตาชาด้วยความประหลาดใจ บางทีอาจเป็นเพราะนางไม่ค่อยรู้อะไรนัก จึงได้ถามคำถามที่มีความสร้างสรรค์เช่นนี้
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาเสียงแผ่ว “ใครเลยจะรู้ มิมีผู้ใดรู้ผลลัพธ์ เพราะเมื่อใดที่มีผู้จับสังเกตแม้เพียงคนเดียว มันก็จะกลายเป็น ‘ผู้สังเกต’ แต่หากไม่มีผู้ใดจับสังเกตเลย ผลลัพธ์จะยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่อีกหรือ อย่างไรมันไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้อยู่ดี”
“เช่นนั้น สมมติว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบจากผู้สังเกตกำลังจับตามองดูอยู่…” นาตาชาใช้จินตนาการของนาง “เหตุใดเจ้าไม่ลองเดาจากมุมมองเชิงทฤษฎีดูเล่า”
“ความคิดคาดเดาของข้าน่ะรึ” ลูเซียนแย้มยิ้มขณะตอบ “การคาดเดาของข้าก็คือมันอาจจะมีริ้วของการแทรกสอด หรืออาจจะไม่มีก็ได้ ฮ่าๆๆๆ”
นาตาชาเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่านางจะไม่พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาทางอาร์คานากับเขาอีก
…
เดือนมิถุนายน ปี 830 ทุกสรรพสิ่งถูกแผดเผาด้วยอากาศร้อนดุจเปลวไฟ
ภายในคริสตจักรนฤพานแห่งแอนฮาเดอร์ เมืองใหญ่อันลือชื่อของอาณาจักรซีราคิวส์…
อาร์ชบิชอปผู้หนึ่งกำลังเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องสวดภาวนา รอคอยพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดง
“เหตุใดยังสวดภาวนาไม่เสร็จอีกเล่า เขตการดูแลใกล้ๆ นี้เพิ่งมีการค้นพบลัทธิอื่นแท้ๆ…” อาร์ชบิชอปเดินกลับไปกลับมาพลางถอนหายใจและยกมือขึ้นเกาศีรษะ หลายปีที่ผ่านมา ลัทธิเล็กๆ ต่างผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งราวกับดอกเห็ด หลังจากทำลายไปหนึ่ง ลัทธิอื่นๆ ก็จะผุดขึ้นมาเพิ่มในทันที แม้ว่าเขาจะยังหนุ่มยังแน่น แต่เส้นผมบนศีรษะกลับกลายเป็นสีขาวไปเสียหมดในระหว่างที่เขารับมือกับพวกมัน “แถมยังดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกลัทธินอกรีตจะอัญเชิญสัตว์อสูรชั่วร้ายระดับสูงมาได้ด้วย ข้าไม่คิดว่าคนของคณะไต่สวนจะจัดการได้หรอก”
เมื่อคิดไปถึงการต่อสู้ที่ยังร้อนระอุทางด้านนั้น อาร์ชบิชอปก็ยิ่งวิตกกังวล เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้า แล้วเคาะประตู
ก๊อกๆๆ
อาร์ชบิชอปเคาะบานประตู แต่ทันทีที่เขาออกแรง ประตูก็ลั่นเอียดอาดและแง้มออก
“มันไม่ได้ปิดอยู่หรอกรึ” อาร์ชบิชอปพลันสังหรณ์ใจไม่ดีนัก เขารีบเปิดประตูแล้วชะโงกเข้าไปมอง
แล้วดวงตาของเขาก็ต้องนิ่งข้าง
เบื้องหน้าไม้กางเขนของห้องสวดภาวนา เสื้อคลุมแดงขาดวิ่นกองอยู่บนพื้นโดยมีรอยไหม้แปลกๆ อยู่บนนั้น
“นี่…นี่เขาถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินไปแล้วอย่างนั้นรึ” อาร์ชบิชอปกล่าวด้วยท่าทางเหม่อลอย
มิใช่เป็นเพราะว่าเขาช่างสังเกตอะไรหรอก แต่เพราะนับแต่ที่สองการทดลองทางความคิดของอีวานส์เผยแพร่มา พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงหลายต่อหลายคนต่างก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินขณะสวดภาวนาอยู่ ส่งผลให้ทุกผู้คนหวาดผวาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของลูเซียน อีวานส์
…
ท้องนภาเป็นสีเทาทึม และไร้ซุ่มเสียงใดให้ได้ยิน โลกแห่งวิญญาณยังคงไร้สีสันเช่นเคย
ลูเซียนเดินผ่านเหล่าสัตวอสูรผีดิบไปอย่างเอื่อยเฉื่อยขณะล้วงมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทสีดำแบบกระดุมสองแถว พวกมันมีทั้งผีกินศพทีกำลังคุ้มคลั่ง ผีดิบน่าขยะแขยงแสนเชื่องช้า วิญญาณที่ลอยละล่องไปมา และมัมมี่ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล แต่มิมีตัวไหนเลยที่สัมผัสถึงการมีอยู่ของเขาได้ เพราะเขาดูเหมือนกับจะกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่
แล้วลูเซียนก็ผ่านที่ราบแห่งความตายมาเงียบๆ ทั้งอย่างนั้น และมาถึงอารามแห่งวิญญาณ ปีศาจชั้นตำนานที่อารักขาสถานที่แห่งนี้ก็ไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของเขาได้เช่นกัน พวกมันปล่อยให้เขาเข้าไปและเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ได้ราวกับนักท่องเที่ยว
ระหว่างทาง ลูเซียนหาได้พบเจอกับปีศาจที่มีสติปัญญาไม่ ดูเหมือนว่าพวกมันจะได้กลิ่นภัยอันตรายและขลาดกลัวเกินกว่าจะเข้ามาใกล้
ลูเซียนมองสังเกตหาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ภายในอารามแห่งวิญญาณขณะที่เขาเดินผ่าน แต่กลับไม่พบอะไรแปลกใหม่เลย จนกระทั่งเขามาถึงเตาหลอมวิญญาณและกำลังจะเข้าไปในทวารานาจักร เขาถึงสัมผัสได้ถึงปีศาจชั้นตำนานอย่างราชันเทพอสูร-ลิช แต่ฝ่ายนั้นมิได้รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องเข้าโรมรันโจมตี อย่างไรเสีย ลูเซียนก็เคยมาที่นี่ถึงสองครั้งสองครา คงไม่มีอะไรเสียหายหากเขาจะมาเยือนที่นี่อีกสองสามครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องต่อสู้โดยที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วยหรือ
พวกเขาต่างเคยถูกซ้อมจนสาหัสสากรรจ์เชียวนะ!
ลูเซียนมาที่นี่เป็นครั้งที่สองเพื่อขอความร่วมมือจากสัตว์ประหลาดไวเค็น
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเตาหลอมวิญญาณและใบหน้าของลูเซียนกับซย่าเฟิงที่ซ้อนทับกันอยู่ ลูเซียนก็หัวเราะขันออกมาและเดินเข้าไปในทวารานาจักร
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่อีกเล่า” เสียงแหบทุ้มของสัตว์ประหลาดไวเค็นดังก้องไปทั่ว สิ่งที่เขาทำลงไปครั้งก่อน ทำให้สถานารณ์ของเขาเลวร้ายลงมาก
ลูเซียนหัวเราะ “ข้ามาที่นี่เพื่อบอกกับท่านว่าข้ากำลังจะไปเยือนนรกโบราณ”
“เจ้าไม่มีเรื่องอะไรที่ดีกว่านี้เพื่อมาที่นี่แล้วรึ” สัตว์ประหลาดไวเค็นขึ้นเสียง รู้สึกเหมือนว่าลูเซียนต่างหากที่เป็นคนเสียสติ
ลูเซียนล้วงเอานาฬิกาจันทรากาลออกมาเปิดฝาเพื่อดูเวลา “ไม่ได้หรือ ก็นะ ในเมื่อตอนนี้ท่านรู้แล้ว ข้าก็ควรจะไปตามทางของข้าแล้ว”
สัตว์ประหลาดไวเค็นถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ลูเซียนหมุนกายและจากไป พลางคิดกับตัวเองว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นเลยสักนิด
หลังจากที่เขาไปไกลจากอารามแห่งวิญญาณ จากสวนใกล้ๆ กับทางเข้า มีชายชราผู้หนึ่งค่อยๆ เดินออกมา เขาสวมมงกุฎศักดิ์สิทธิ์และถือคทาที่ส่องประกายวิบวับดุจดวงดารา ขณะจดจ้องไปยังจุดที่ลูเซียนหายตัวไป เขาก็คือพระสันตะปาปาไวเค็น
……………………………..