นาวาธย์ นรกขุมที่สาม หรือที่เหล่านักเวทจากโลกหลักรู้จักกันในชื่อ ‘มหานครเพลิงผลาญ’
นรกขุมนี้ที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขต ไม่มีทั้งพื้นที่ราบ ภูเขา แม่น้ำ หุบเหว หรือทะเลทราย มีเพียงนครอันใหญ่โตโอ่อ่าที่สร้างขึ้นจากเหล็กกล้า ทว่า เนื่องจากไฟใต้พิภพที่ลุกโหมอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้ง กระทั่งเหล็กกล้าก็ยังถูกเผาไหม้ได้ ส่งผลให้อาคารเหล็กในเมืองกลายเป็นสีแดงจากความร้อน ภูตผีวิญญาณอันซีดจางที่เข้าไปใกล้ต่างถูกย่างจนขึ้นควันดำขโมง ราวกับพวกมันจะระเหยหายไปกับความว่างเปล่าได้ทุกเมื่อ
กลุ่มควันหนาแน่นปกคลุมไปทั่วฟ้าชวนให้หายใจไม่ออก และมีปีศาจทุกชนิดเดินไปมาภายในนครเหล็กกล้า พวกมันดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่กลับปฏิบัติต่อวิญญาณทุกดวงที่เข้ามาในนรกและมารทุกตนที่ถูกจับมาอย่างโหดร้ายทารุณ
ว่ากันว่าที่ใต้มหานครเพลิงผลาญ ใจกลางเปลวไฟนิรันกาลนั้นมีคุกขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ เป็นที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตมากสติปัญญาหลากหลายเผ่าพันธุ์ถูกกุมขังไว้ หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เมื่อใดที่มีผู้ใดเดินผ่านบริเวณนั้น พวกเขามักจะได้ยินเสียงคร่ำครวญและกรีดร้องดังมาอย่างไร้ทิศทาง
ปีศาจตัวเล็กกลุ่มหนึ่งเดินนำเหล่าวิญญาณร่างเลือนรางตรงไปยังหอคอย ณ ใจกลางมหานครเพลิงผลาญ บางครั้งบางคราว พวกมันจะตวัดแส้ชนิดพิเศษ ทำให้ดวงวิญญาณที่เข้ามาในนรกส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ยิ่งผู้ถูกจับกุมเจ็บปวดมากเพียงใด เจ้าปีศาจตัวเล็กก็ยิ่งตื่นเต้นชอบใจ
‘ไม่แปลกใจเลยที่ประเพณีเส้นไหว้ผู้วายชนจะเป็นที่นิยม และไม่แปลกเลยที่ศาสนานักบุญสัจธรรมจะเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว…’ ในกลุ่มคาราวานขนาดใหญ่ ลูเซียนที่ไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์หรือการแต่งตัวเลย รำพึงรำพันด้วยความสนใจและเสียดาย นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาเยือนนรกภูมิ
จากการศึกษาวิจัยในอดีตของสภาเวทมนตร์ หลังจากที่มนุษย์เสียชีวิต ดวงวิญญาณของพวกเขาจะสูญสลายไปในทันทีหากไม่ได้ใช้วิธีกรรมพิเศษอะไร แต่ในกระแสธารที่ไหลผ่านระหว่างนรกภูมิกับอเวจีนั้น เหล่าดวงวิญญาณจะปรากฏขึ้นโดยไม่มีความทรงจำหรือรูปลักษณ์เดิม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุตัวตนของพวกเขา ดวงวิญญาณประเภทนั้นจะถูกทำให้เสื่อมถอยลงกลายเป็นปีศาจและมารภายในนรกภูมิและอเวจี หรือไม่ก็ถูกเปลี่ยนเป็น ‘อันญมณีวิญญาณ’ ที่สามารถร่ายคาถาหรือสำแดงทักษะพิเศษ อันญมณีประเภทนั้นก็คือเงินตราที่ใช้กันในนรกภูมิ
ส่วนเรื่องแก่นแท้ของดวงวิญญาณและวิธีการที่มันถือกำเนิดขึ้น ยังคงเป็นปริศนาสำหรับงานศึกษาทางอาร์คานาในปัจจุบัน
ทว่า หลังจากที่มีการค้นพบโลกแห่งวิญญาณ เหล่าจอมเวทก็มีเหตุผลมากมายที่จะเชื่อว่าหนึ่งในโชคชะตาของดวงวิญญาณก็คือโลกแห่งวิญญาณ หากว่าประเพณีเส้นไหว้ผู้วายชนสามารถสร้างมิติที่เกี่ยวข้องขึ้นภายในทวารานาจักรได้ เหล่าดวงวิญญาณที่มีเจตจำนงอันกล้าแกร่งย่อมเข้าไปในนั้นแน่นอน
อาจเป็นเพราะความรู้สึกร่วมที่เขามี ลูเซียนจึงเกิดแนวคิดขึ้นว่า หลังจากสภาสะกดข่มฝ่ายนักบุญสัจธรรมในโลกหลักลง และขณะนี้ก็กำลังออกสำรวจไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่และมิติอื่นๆ การควบคุมนรกภูมิไว้ในกำมืออาจเป็นเรื่องจำเป็น แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของสภาในยามนี้ และบรรดาศัตรูที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ พวกเขาคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จลุล่วง
‘รวบนรกภูมิให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของสภาเวทมนตร์…นั่นคือสิ่งที่คนในยุคจักรวรรดิเวทมนตร์ไม่แม้แต่จะกล้าคิดฝัน’ ลูเซียนลอยไปตามถนน หินทุกก้อนบนพื้นเป็นสีแดงฉาน หากผู้ใดนำไข่มาวางบนนั้น มันคงจะสุกในทันที นอกเหนือจากปีศาจที่ถือกำเนิดจากเปลวเพลิงแล้ว กระทั่งอัศวินทั้งหลายยังทานทนความร้อนระอุนี้มิได้นาน ด้วยเหตุนี้ เหล่าดวงวิญญาณและผู้ที่ถูกจับกุมมาจึงเจ็บปวดทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น
กองคาราวานที่ลูเซียนร่วมเดินทางมาด้วยคือ ‘กลุ่มการค้าข้ามมิติ’ ที่ทางสภาเวทมนตร์จัดตั้งขึ้น กลุ่มนี้เดินทางมาทำธุรกิจอย่างเปิดเผย อย่างไรเสีย บรรดาปีศาจก็หาใช่นักบุญผู้ทรงศีลที่ไม่จำเป็นต้องกินข้าว ไม่ต้องการทรัพยากร และสิ่งบันเทิงเริงใจ พวกมันเองก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่ในนรกไม่มีและจำต้องสร้างอาวุธพร้อมกับเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็ต้องคงความหรูหราฟุ้งเฟ้อในชีวิตพวกตนเอาไว้ด้วย ดังนั้น พวกมันจึงขอให้สาวกปีศาจรวบรวมทรัพยากรจากโลกหลักมาให้ จากนั้นก็แลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม
การค้าขายเช่นนี้ไม่มีทางทำได้หากไร้ซึ่งเหล่านักเวทผู้เก่งกาจด้านการรวบรวมของและเล่นแร่แปรธาตุ ทางด้านสภาเวทมนตร์ก็ต้องการวัตถุดิบพิเศษจากนรกภูมิเช่นกัน อีกทั้ง การผูกขาดการซื้อขายประเภทนี้ก็ช่วยควบคุมพวกปีศาจได้ เผื่อในกรณีที่มีคนโลภมากนำทรัพยากรทางกลยุทธ์มาแลกกับขุมทรัพย์ ความแข็งแกร่ง และความสงบของดวงวิญญาณหลังจากที่พวกเขาตาย
แน่นอนว่า เป็นเพราะการค้าประเภทนี้นี่เองที่ทำให้ในอดีต นักเวทถูกมองว่าชั่วร้ายยิ่งกว่าปีศาจ
ปีศาจสองตนที่มีผิวสีแดงเข้มเดินตรงมาหาพวกเขาจากถนนอีกสายหนึ่ง พวกมันเตะวิญญาณมนุษย์ออกห่าง แต่ดลับพูดจากับหัวหน้า ‘กลุ่มการค้า’ ด้วยความเคารพนับถือยิ่ง “ท่านนักเวทผู้ยิ่งใหญ่ ท่านดยุกกำลังรอสินค้าจากท่านอยู่พอดี”
พวกปีศาจมิกล้าแสดงท่าทีไร้ความเคารพต่อแขกของดยุกเหล็ก มิเช่นนั้นพวกมันอาจกลายเป็นวัตถุดิบที่ท่านดยุกจะมอบให้กับเหล่านักเวทโดยเป็นส่วนหนึ่งของการค้าขาย ทุกๆ ส่วนของปีศาจตนหนึ่งสามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้ และยังใช้พวกมันเป็นทาสได้อีกด้วย ภายใต้แรงกดดันแสนข่มขวัญนั้น พวกมันจึงปฏิบัติตนอย่างแตกต่างยามเผชิญหน้ากับมนุษย์ทั่วๆ ไปกับยามพบเจอกลุ่มการค้า
ไซย์ต หัวหน้ากลุ่มการค้าพยักหน้าด้วยท่าทางภาคภูมิก่อนจะหันมามองทางลูเซียน “ท่านมหาจอมเวทจะไปที่หอคอยเหล็กกับพวกเราหรือไม่ขอรับ”
ในฐานะนักเวทระดับสูง เขาจะไม่รู้จักมหาจอมเวทลูเซียน ‘ผู้บัญชาอะตอม’ อีวานส์ ที่แสนโด่งดังได้อย่างไรกัน
ลูเซียนเงยหน้าขึ้นไปทางหอคอยสูงสีแดงที่ตั้งอยู่ใจกลางมหานครเพลิงผลาญ แล้วยิ้มแย้มขณะกล่าวตอบ “ไม่ไปหรอก ข้าไม่คิดว่าดยุกเหล็กจะอยากพบหน้าข้านะ”
บนชั้นสูงสุดของหอคอยเหล็ก ดยุกเหล็กผู้อยู่ในชุดสีดำสนิท กำลังมองลงมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด ชั้นตำนานระดับสูงสุดที่เป็นสาเหตุการดับสูญของชั้นตำนานคนอื่นๆ อีกมากมาย ย่อมไม่มีทางเป็น ‘แขก’ ที่น่าต้อนรับที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเขาเป็นเพียงปีศาจชั้นตำนานระดับสองและสามารถต้านทานได้มากสุดก็แค่เพียงศัตรูชั้นตำนานระดับสามโดยใช้พลังจากมหานครเพลิงผลาญเข้าช่วย
“หากท่านต้องการเรา ท่านสามารถติดต่อผ่านคอลินใน ‘คันชั่งวิญญาณ’ ได้เลยนะขอรับ” ไซย์ตไม่ถามซักไซ้ต่อ การถามถึงแผนการของมหาจอมเวทอย่างไร้หัวคิดนั้นไม่ใช่เรื่องฉลาดเอาเสียเลย
คันชั่งวิญญาณนั้นคือ ‘กระท่อมแปรธาตุ’ ที่สภาเวทมนตร์สร้างเอาไว้ในมหานครเพลิงผลาญ
ลูเซียนพยักหน้า แล้วไม่นานเขาก็กลืนกายไปกับฝูงปีศาจและ ‘พ่อค้า’ ไม่กี่คนภายในเมืองเหล็ก
‘เจ้าแห่งนรกคงจะรู้แล้วแน่ๆ ว่าข้ามาเยือนนรกภูมิ เขาจะมาหยุดข้าหรือไม่นะ’ ลูเซียนรู้ดีว่า ในระดับหนึ่งแล้ว นรกภูมิก็คือร่างจุติของเจ้าแห่งนรก ไม่ว่าเขาจะแอบเข้ามาโดยกลบร่องรอยเพียงใด มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตบตามัลติมุส เขาจึงเข้ามาอย่างเปิดเผยเสียเลย ‘ทีนี้ ข้าก็จะไปยังมิตินรกเงียบงันที่อยู่ในนรกขุมที่แปด และดูว่าข้าจะหาแก่นดาราชนิดพิเศษเจอหรือไม่ และมันยังเป็นการทดสอบท่าทีของมัลติมุสโดยอ้อมอีกด้วย จากนั้นข้าก็จะลงไปยังนรกโบราณที่ข้างใต้นรกขุมที่เก้า”
ทันทีที่เขาวางแผนเสร็จ ลูเซียนก็พลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงหันไปมองยังอีกฟากถนน เพียงเพื่อจะพบกับเด็กหนุ่มที่เดินตรงไปยังชายขอบมหานครเพลิงผลาญพร้อมกับถุงใส่วัตถุดิบและใบหน้าเปื้อนยิ้มพึงพอใจ
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในที่นี้มีเพียงเหล่านักเวทและสาวกปีศาจที่มาเพื่อทำการค้า ฉะนั้นแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นดวงวิญญาณอย่างที่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพลอยละล่องและมีร่างโปร่งแสง
ทว่า ดวงวิญญาณในนรกนั้น หากไม่เฉยเมยก็เบาปัญญา หรือไม่ก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเสียใจ ไม่มีผู้ใดประครองสติของตนไว้ได้ แต่วิญญาณเด็กหนุ่มผู้นี้กลับดูสดใสร่าเริง ทำให้ลูเซียนรู้สึกเหมือนว่าเขายังมีชีวิตอยู่
‘และข้ายัง “ได้กลิ่น” กลิ่นอายของมิตินรกเงียบงันอีกด้วย นี่เขามาที่มหานครเพลิงผลาญจากที่นั่นเพื่อทำธุระงั้นหรือ’ ลูเซียนตั้งข้อสงสัย
มหานครเพลิงผลาญคือศูนย์กลางการค้าขายของนรกภูมิ ส่วนนรกขุมอื่นๆ นั้น ด้วยเหตุผลหลายประการ จึงทำได้เพียงติดต่อกันอย่างลับๆ
เมื่อตระหนักได้ว่าวิญญาณเด็กหนุ่มแสนแปลกประหลาดผู้นี้มาจากมิตินรกเงียบงัน ลูเซียนที่ความสงสัยใคร่รู้ถูกกระตุ้น จึงตามติดเขาไป ด้วยอยากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด
“ท่านปู่ๆ ข้าซื้อ ‘หินวิญญาณโหยหวน’ ‘ใบไม้เอล์ฟ’ แล้วก็ ‘เหล็กจากภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่’ มาตามที่ท่านสั่งแล้ว” เด็กหนุ่มมาถึงมุมเมืองอันห่างไกลที่แทบไม่มีปีศาจเดินผ่านไปมา
ที่ด้านนอกอาคารเหล็กซึ่งล้อมรอบด้วยเปลวไฟ มีชายชราร่างซูบผอมยืนถือไม้เท้าอยู่ ตรงหน้าเขาคือขวด ‘สุราเพลิง’ ที่พวกปีศาจชื่นชอบที่สุด ดูหมือนว่าเขาจะเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่เดินทางมายังมหานครเพลิงผลาญเพื่อหาซื้อสินค้า
‘มนุษย์งั้นรึ’ ลูเซียนอึ้งไปเล็กน้อย ‘มีมนุษย์คนใดสามารถอาศัยอยู่ในนรกโดยที่ไม่ถูกพวกปีศาจฉีกกระชากร่างแล้วจับกินอยู่หรือนี่’
ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะแผ่พลังจิตออกไปตรวจสอบชายชราดูว่ามีเวทมนตร์คุ้มกันกายอยู่หรือไม่ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นขวับ “มามัน เหตุใดเจ้าไม่บอกด้วยเล่าว่าเจ้ามาแขกมาที่นี่น่ะ”
‘เด็กหนุ่ม’ มามันหันหลังกลับมาด้วยความตื่นตะลึง และก็ได้เห็นลูเซียนที่มิคิดปิดบังร่องรอยตน “ข้า…ข้าไม่รู้จักเขาขอรับ…”
“ขออภัย ข้าเพียงแต่อยากจะทำความรู้จักกับท่านปู่ของเจ้า จึงได้ตามเจ้ามาที่นี่” ลูเซียนตอบด้วยท่าทางสบายๆ
มามันยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยความมึนงงและขัดเขิน “ท่านปู่ของข้าเป็นเพียงเจ้าของร้านเหล้าธรรมดาๆ คนหนึ่งขอรับ ท่านปู่หาได้มีอะไรพิเศษ ท่านคงจะจำผิดเป็นคนอื่นแล้วล่ะขอรับ ท่านแขกผู้มีเกียรติ
‘เจ้าของร้านเหล้าธรรมดาๆ งั้นหรือ’ ลูเซียนรู้สึกขบขัน หากเป็นที่โลกหลัก ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่ที่นี่คือนรกเชียวนะ
ชายชราร่างผ่านผอมก้มลงไปดูขวดเหล้าทั้งหลาย ก่อนที่เขาจะมองไปทาง ‘เด็กหนุ่ม’ ด้วยดวงตาฝ้าฟางพร้อมกับกล่าวว่า “มามัน เจ้าไปซื้อ ‘ไวน์ธาราจิต’ มาอีกหนึ่งร้อยขวด แล้วส่งมันไปที่เดิมที”
มามันพยักหน้าแล้ววิ่งจากไปอย่างร่างเริง
“เป็นดวงวิญญาณที่พิเศษมาก…” ลูเซียนกล่าวเสียงแผ่ว
ดวงตาของชายชราพลันเปล่งประกายวูบ “เจ้าต้องการสิ่งใด”
“ไม่มีขอรับ ข้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้น” ลูเซียนยิ้มเยือน “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายใดๆ หากท่านมาจากมิตินรกเงียบงัน ข้าก็แค่อยากถามอะไรบางอย่างน่ะขอรับ”
ชายชรามองลูเซียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าเป็นนักเวทงั้นรึ ดูจากการแต่งตัวของเจ้าแล้ว เจ้าคงจะมาจากสภาเวทมนตร์ล่ะสิ ดักลาสไม่เคยสอนเจ้าหรือว่าห้ามเข้ามาในนรกภูมิหากไม่มีเหตุผลที่ดีน่ะ”
“ท่านรู้จักท่านประธานหรือขอรับ” ลูเซียนเลิกคิ้วขึ้น ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ทราบว่าท่านประธานได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพแล้ว