เมมฟิสต์ เจ้าแห่งสิ่งลี้ลับ หาได้รู้สึกอันใดต่อความเงียบของลูเซียน เขาเพียงพูดต่อไปว่า “เรื่องที่ข้าจะขอให้ช่วยอาจจะเป็นจุดประสงค์ของเจ้าอยู่แล้วก็ได้ อีวานส์”
“ท่านรู้จุดประสงค์ของข้างั้นหรือ” ลูเซียนเลิกคิ้วขึ้นพลางถามกลับ
ดยุกแห่งน้ำแข็งหัวเราะขัน “เจ้าตั้งใจเป็นพิเศษที่จะมาเยือนนรกเงียบงันก่อนจะไปยังนรกโบราณ เพราะว่าเจ้าต้องการแก่นดาราชิ้นพิเศษ ใช่หรือไม่เล่า บอกตามตรง จากเบาะแสที่ข้ามี แก่นดาราหาได้อยู่ในนรกขุมนี้ แต่ถูกทิโฟทิดิสเก็บซ่อนไว้ในนรกโบราณ ด้วยหวังว่าเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้”
“ข้าอยากให้เจ้าเดินทางไปยังนรกโบราณ ค้นหาแก่นดาราให้พบ แล้วลบความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะทำให้ทิโฟทิดิสกลับมา อีวานส์ แก่นดาราและข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับนรกโบราณที่ข้ามอบให้จะเป็นรางวัลของเจ้า”
“เหตุใดท่านจึงไม่ไปที่นั่นด้วยตัวเองเล่า หากท่านรู้จักนรกโบราณดี เหตุใดท่านไม่ลบความหวังในการฟื้นคืนชีพของเจ้ามหาลัทธิอาเจนต์ด้วยตัวท่านเองเลยเล่า ท่านไม่มีทางวางใจได้ เว้นแต่ว่าท่านคือผู้ลงมือ” ลูเซียนกล่าวโดยมิได้ให้คำตอบ
เมมฟิสต์ดูเหมือนคนป่วยร่างซีดเซียว หากมิใช่เพราะเขาปีศาจสีเงินกับดวงตาสีแดงแสนชั่วร้าย เขาคงจะถูกมองเมินไปอย่างง่ายดาย เขากล่าวตอบอย่างเยาะหยันตนเอง “ข้าไม่กล้าเข้าไปก็เพราะว่าข้ารู้จักมันดีนี่แล ข้ากลัวว่าตัวข้าจะกลายเป็นสื่อกลางให้เหล่าปีศาจแห่งบรรพกาลมาเยือน อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ไม่ขอเสี่ยงจนกว่าข้าจะเลื่อนขั้นเป็นชั้นตำนานระดับสามได้ บางครั้ง การเพิกเฉยอาจหมายถึงความกล้าหาญ”
ขณะพูด เขาก็เหลือบมองไปทางชายชรา ราวกับว่าเขากำลังเยาะเย้ยผู้ที่เข้าไปสำรวจนรกโบราณหลังจากที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นชั้นตำนานได้ไม่กี่ปี หากมิใช่เพราะโชคช่วย เขาคงจะถูกปีศาจแห่งบรรพกาลหลอมรวมวิญญาณและต้องร่อนเร่อยู่ภายในอนุสรณ์สถานอันผุพังนับแต่นั้นแล้ว
“ปีศาจแห่งบรรพกาลมีอยู่จริงหรือขอรับ” ลูเซียนพลันเปิดปากถาม
เมมฟิสต์แย้มยิ้ม เขารู้ว่าลูเซียนจะตอบรับคำขอของเขาแต่ไม่อยากสร้างพันธสัญญา ซึ่งนั่นจะทำให้เขามัวพะว้าพะวงเกี่ยวกับกฎในสัญญาหากว่าเขาบังเอิญเกิดเหตุฉุกเฉินขณะอยู่ในนรกโบราณ อย่างไรเสีย เมื่อทำภารกิจสำเร็จ แก่นดาราก็จะตกเป็นของเขา และไม่มีผู้ใดจะขโมยไปจากเขาได้
“หากเจ้าเชื่อว่าปีศาจแห่งบรรพกาลมีจริง พวกมันก็จะมีตัวตนอยู่จริง พวกมันร่อนเร่อยู่ภายในอนุสรณ์สถานภายในนรกโบราณและตอบรับการอัญเชิญจากโลกหลัก รวมถึงจากมิติต่างๆ แต่หากเจ้าไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง พวกมันก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป มันเป็นเหมือนกับภาพมายาสะท้อนภายนอกของความรู้สึกด้านลบในตัวเจ้า ทุกคนย่อมมองเห็นแตกต่างกันไปตามความทรงจำและความแข็งแกร่ง แต่ความรู้สึกด้านลบอันเข้มข้นนั้นเหมือนๆ กัน” ดยุกแห่งน้ำแข็งนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกเล่าสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับนรกโบราณ “ดังนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมีอำนาจควบคุมความรู้สึกและความปรารถนา”
“มันไม่น่าจะเป็นอันตรายสำหรับท่านนี่นา ฉายาของท่านคือ ‘เจ้าแห่งสิ่งลี้ลับ’ ในเมื่อท่านเชี่ยวชาญเรื่องควบคุมบงการที่สุด ท่านย่อมควบคุมความรู้สึกและความปรารถนาของท่านได้ดีเยี่ยม อีกอย่าง ท่านยังมีทักษะแสนวิเศษมากมายอย่าง ‘สันติสุขนิรันดร์’ อยู่ด้วย” ลูเซียนหาได้รู้จักชื่อที่แท้จริงของทักษะวิเศษนี้ เขาจึงอ้างอิงจากภาพลักษณ์ของพลัง
เมมฟิสต์ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แต่เมื่อใดที่ปีศาจแห่งบรรพกาลปรากฏขึ้นโดยมีดวงวิญญาณเร่ร่อนอยู่ภายใน พวกมันก็สามารถแข็งแกร่งเทียบเท่าชั้นตำนานระดับสูงสุด แม้ว่ามันจะมิได้อยู่ยงคงกระพัน แต่นั่นก็เพียงพอจะบดขยี้ข้าแล้ว อีกอย่าง นรกโบราณนั้นแตกต่างจากที่อื่นๆ กล่าวคือ ความรู้สึกด้านลบเพียงนิด จะถูกทบทวีขึ้นสิบเท่า หนึ่งร้อยเท่า และหนึ่งพันเท่า ปีศาจแห่งบรรพกาลจะฉวยโอกาสจากความอ่อนแอแล้วฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ในความคิดเจ้า ฉะนั้น เจ้าจึงต้องหยุดความรู้สึกด้านลบทั้งหมดทั้งมวลมิให้เกิดขึ้นขณะอยู่ในนรกโบราณ มิเช่นนั้นเจ้าอาจปลดปล่อยตัวเองออกมาไม่ได้”
“ทบทวีขึ้นสิบเท่า หนึ่งร้อยเท่า และหนึ่งพันเท่างั้นหรือ” นัยน์ตาดำของลูเซียนคล้ายกับจะเปล่งประกาย
ข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจแห่งบรรพชนที่ลูเซียนได้รับมาก่อนหน้านี้นั้นมาจากดักลาสกับไรห์น การสำรวจนรกโบราณของทั้งสองค่อนข้างราบรื่น และพวกเขาก็ไม่เคยถูกปีศาจแห่งบรรพกาลเข้าสิง แต่ชายชรากลับแทบเอาชีวิตไม่รอดและหลบหนีออกมาได้เพียงเพราะอุปกรณ์ชั้นตำนานพิเศษที่มี เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นครั้งแรกที่ลูเซียนได้ยินเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ มันตรงกับข้อสันนิษฐานของเขาอย่างยิ่ง!
เมมฟิสต์วางเครื่องดื่มของตนลงพลางพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม “ในนรก มีปีศาจมากมายลงไปยังนรกโบราณเพื่อออกผจญภัยและเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นข้าจึงมีเหตุการณ์จริงนับล้านๆ กรณีเป็นพื้นฐานการวิเคราะห์ของข้า”
จำนวนนี้คือการเก็บรวบรวมข้อมูลมานานนับหมื่นๆ ปี
“เหอะๆ ไม่ว่าปีศาจจะดูมีระเบียบเรียบร้อยมากเพียงใด ในใจก็ยังมีความชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความปรารภนาอยู่ดี ยามที่พวกเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะอยู่ให้ห่างจากปีศาจแห่งบรรพกาลได้” ลูเซียนแย้มยิ้มเยือน มิได้นำพาเลยสักนิดว่าจนกำลังจะเผชิญหน้ากับปีศาจที่น่าเกรงขาม
เมมฟิสต์หัวเราะลั่น “ถูกต้องเลย ดังนั้น ด้วยรู้จักตนเองเป็นอย่างดี ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง บอกตามตรง ปีศาจน่ะไม่ต้องสูญเสียอะไรหลังจากที่ถูกปีศาจแห่งบรรพกาลกลืนกินหรอก แย่ที่สุดก็คือ ความปรารถนาของพวกเขาจะเข้มข้นขึ้น และช่วงชีวิตก็จะสั้นลงมาก แต่ความแข็งแกร่งจะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล ความปรารถนาเช่นนั้นเหมาะกับความทะเยอทะยานและวิธีการคิดของเรามาก มันจะไม่ส่งผลต่อความสามารถในการคิด มีแต่จะยิ่งทำให้เราฉลาดขึ้น”
‘นั่นคือสิ่งที่เราชอบพูดกันว่า “นับแต่ที่ข้าเจ็บป่วยทางใจ สภาพจิตใจข้าก็ดีขึ้นมาก…’ ลูเซียนหัวเราะขันกับตนเอง
หลังจากหัวเราะจนพอใจ ดยุกแห่งน้ำแข็งก็พูดต่อ “หลังจากที่เจ้าเข้าไปในนรกโบราณ นอกเหนือจากอนุสรณ์สถานบางแห่งแล้ว สภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตมากสติปัญญาเห็นจะแตกต่างกันไป ในสภาวะเช่นนั้น วิญญาณร่อนเร่จะกลายเป็นสมาชิกในครอบครัว สหาย อาจารย์ และลูกศิษย์ที่เจ้าชื่นชม เช่นเดียวกับศัตรูที่เจ้าเกลียดชัง ภายใต้การควบคุมบงการของเหล่าปีศาจแห่งบรรพกาล พวกมันจะแสดงฉากการทรยศหักหลัง ฆ่าฟัน ความเจ็บปวด และความใคร่ต่อหน้าเจ้า”
“เราทุกคนต่างรู้ดีว่าภาพมายาอันเรียบง่ายเช่นนั้นไม่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของนักเวทชั้นตำนาน แต่สำหรับพวกปีศาจแห่งบรรพกาลแล้ว พวกมันมิได้คาดหวังว่าคนที่เข้าไปในอนุสรณ์สถานจะถูกภาพมายาทำให้สับสนมึนงงอย่างง่ายดาย แต่มันมุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่มาจากสัญชาตญาณทางธรรมชาติ อย่างไรเสีย มันก็ยังมีช่องว่างระหว่างปฏิกิริยาตามธรรมชาติกับการตัดสินใจด้วยเหตุและผลของคนผู้หนึ่ง”
ลูเซียนพยักหน้า “ปัญหานี้หลักเลี่ยงได้ด้วยการร่ายเวทมนตร์คาถาจำพวก ‘เวทจิตกล’ ไว้ล่วงหน้า”
“ด้วยเหตุนี้ สำหรับชั้นตำนานระดับสูงสุดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการระมัดระวังการลอบจู่โจมจากเหล่าปีศาจแห่งบรรพกาลที่เร้นกายอยู่ในภาพมายาพวกนั้น ในนรกโบราณ พวกมันจะไม่มีวันสูญสลายไป มันจะเกิดใหม่และกลับมาโจมตีศัตรูอย่างไม่จบไม่สิ้น หากมิใช่เพราะช่องว่างระหว่างเวลา และปีศาจแห่งบรรพกาลมากกว่าสามตนสามารถปรากฏกายได้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งชั้นตำนานระดับสูงสุดก็อาจไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันบ้าบิ่นไร้ความหวาดกลัวของปีศาจแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ดได้” ดยุกแห่งน้ำแข็งเอ่ยถึงสิ่งที่ลูเซียนไม่เคยทราบมาก่อน
ลูเซียนขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดจึงมีเพียงปีศาจสามตนที่ปรากฏกายขึ้นพร้อมกันเท่านั้นเล่า”
นั่นคือคำถามสำคัญที่สุด
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่า ‘ปีศาจความยโส’ จะลงมือเพียงลำพัง เพราะมันคือร่างจำแลงของความหยิ่งยโส แล้วก็ ‘ปีศาจความเสแสร้ง’ ไม่เคยเข้าร่วมการโจมตีเลย มันคุ้นชินกับการลอบโจมตีมากกว่า หากว่า ‘ปีศาจความริษยา’ ลงมือพร้อมกับปีศาจตนอื่นๆ มันจะเป็น ‘ผู้ช่วยเหลือ’ ของเจ้า ส่วนปีศาจที่เหลืออีกสี่ตนนั้นมักจะปรากฏกายเป็นคู่ แต่พวกมันไม่เคยร่วมมือกันเลย” เมมฟิสต์เอ่ยตามความเห็นของตน
ลูเซียนค่อนข้องสนใจในเรื่องนี้ มันช่างมีความสร้างสรรค์เพื่อพิจารณาปัญหาจากมุมมองเช่นนั้น
นอกจากนี้ ตราบใดที่ปีศาจแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ดไม่เข้ามาโจมตีเขาพร้อมๆ กัน เขาก็มั่นใจว่าจะหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแม้ว่าปีศาจสี่ตนที่เหลือจะร่วมมือกันก็ตาม อย่างไรเสีย พวกมันก็สามารถแข็งแกร่งเทียบเท่าชั้นตำนานระดับสูงสุดได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น
“บางครั้ง ปีศาจแห่งบรรพกาลก็ไม่ปรากฏกายออกมาเลย และนักสำรวจก็สามารถเข้าไปยังอนุสรณ์สถานได้อย่างเป็นปกติและหาวิธีการอัญเชิญพวกมันออกมา…” เมมฟิสต์บอกข้อมูลทุกอย่างที่เขารู้ให้ลูเซียนฟัง
…
ในนรกขุมที่เก้า ลูเซียนเดินลึกเข้าไปยังใจกลางโลกใบนี้ผ่านรอยแยกอันไร้ก้นบึ้ง
หลังจากดำดิ่งลงมาเป็นเวลานาน ในที่สุด เท้าของลูเซียนก็เหยียบไปบนโคลนนิ่มๆ ดูแปลกพิกล ซึ่งมันกระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลาดูราวกับหัวใจหลายดวงถูกฝังอยู่ข้างใต้นั้น
ในมือลูเซียนคือเศษกระดาษที่ดูก็รู้ว่าเก่ามากแล้ว บนกระดาษที่ทำมาจากผิวหนังของมหาปีศาจ ลวดลายชวนขนลุกที่ลูเซียนไม่เคยเห็นมาก่อนถูกวาดไว้บนนั้น ทันทีที่เขาเห็นกระดาษ เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงความโลภ ความยโส ความเจ็บปวด และความรู้สึกด้านลบอันลึกล้ำอื่นๆ อีกด้วย
มันคือ ‘แผนที่’ ที่เมมฟิสต์มอบให้กับลูเซียน ด้วยเป็นของของทิโฟทิดิส เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์ มันจึงมีสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงอนุสรณ์สถานที่เขาเก็บซ่อนแก่นดาราเอาไว้ ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง ชายชราผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิญญาณนั้นได้เก็บข้าวของของเขา เตรียมพร้อมจะกลับไปยังโลกหลักพร้อมกับภรรยาและมามัน เพื่อเดินทางไปยังนครอัลลิน
ขณะเดินลัดเลาะมุ่งหน้าไป ลูเซียนก็ปล่อยกลิ่นอายของเขาเพื่อขับไล่กลุ่มปีศาจนรกที่แข็งแกร่งไป ก่อนที่เขาจะมาถึงประตูที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของหุบเหว
ประตูบานนั้นเก่าคลาคล่ำและไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ มันเผยให้เห็นเพียงสีทองสัมฤทธ์ และให้บรรยากาศสูงส่ง
‘ประตูอมตะนิรันดร์กับประตูน้ำเงินมีแล้ว บางที บานนี้ควรจะเรียกว่า “ประตูแห่งตัณหา”’ ลูเซียนยื่นมือขวาออกไปทาบบนบานประตู
เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบ และพบว่าประตูเปิดแง้มเอาไว้แล้ว เผยให้เห็นโถงทางเดินอันโอ่อ่าหรูหราที่อยู่เบื้องหลัง
‘โถงทางเดินของปราสาทงั้นรึ’ ลูเซียนที่ร่ายเวทมนตร์เสริมให้กับตัวเองหลายบท ค่อยๆ เดินเยื้องย่าง
มีห้องต่างๆ เรียงรายบนสองฟากฝั่งของโถงทางเดิน ไม้สีแดงเข้มบนประตูแต่ละบานนั้นบ่งบอกถึงความเป็นศิลปะ บริเวณมุมล่างนั้นหุ้มด้วยสิ่งที่ดูเหมือนแผ่นทองคำ
After a few steps forward, alluring moans suddenly entered Lucien’s ears.
หลังจากก้าวไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว เสียงครวญครางแสนเย้ายวนก็พลันดังเข้าหูลูเซียน
‘“ราคะ” ลงมือก่อนเลยหรือ’ ลูเซียนมองลอดประตูที่เปิดอ้าไว้กึ่งหนึ่ง ‘เสียงค่อนข้างคุ้นหูทีเดียว…’
ภายในห้องมีเตียงหลังใหญ่ปูด้วยผ้าปูสีแดง บนฟูกนั้นมีสองร่างเปลือยเปล่ากำลังกลิ้งเกลือกไปมา ผู้ที่อยู่ด้านบนมีเส้นผมยาวสีม่วงและส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัดงดงาม เช่นเดียวกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงามที่ลูเซียนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
‘นาตาชา?’
ดวงตาของนาตาชาดูพร่ามัวขณะที่นางก้มลงมองหญิงสาวร่างเปลือยเปล่าข้างใต้ด้วยสายตารักใคร่
‘หือ ผู้หญิงงั้นรึ’
ในตอนนั้นเอง ลูเซียนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าหญิงสาวนางนั้นก็คือซิลเวีย ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ใบหน้าอันงดงามของนางที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับดอกลิลี่นั้นแดงก่ำ ดวงตาของนางหรี่ปรือ ขณะเปล่งเสียงครวญครางแสนรัญจวนลอดผ่านริมฝีปาก ปทุมเล็กๆ ทว่าหนั่นแน่นของนางถูไถไปกับหน้าอกของนาตาชาอย่างแนบแน่น…
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นฉากเหตุการณ์จากตอนที่นาตาชากับซิลเวียยังคบหากันอยู่
ริมฝีปากของลูเซียนหยักโค้งขึ้น ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
‘ริษยางั้นหรือ’
…
ราชรัฐออร์วาริต เมืองอัลโต้…
ยังไม่ทันที่กอสเซ็ตต์ พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดง จะเข้ามาในห้องสมุดของฟิลิเบล เมื่อเขาเห็นพระคาร์ดินัลหลวงผุดลุกขึ้นอย่างรีบร้อน
“ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดเรียกตัวเหล่าพระคาร์ดินัลหลวงไปประชุมเป็นการด่วน เจ้าจักเป็นผู้ดูแลวงแหวนศักดิ์สิทธิ์แห่งอัลโต้ในยามนี้” ฟิลิเบลออกคำสั่งขณะเดินไปยังวงแหวนเวทเคลื่อนที่
“ประชุมด่วนงั้นหรือ เกิดอะไรขึ้นกัน” กอสเซ็ตต์พลันเคร่งเครียด
………………………………….