หนังสือเวทมนตร์ประยุกต์?
มันมีขายในร้านหนังสือสาธารณะได้อย่างไร?
ดอนนี่เหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง ตามระเบียบของสภาเวทมนตร์ว่าด้วยเรื่องที่นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนความรู้ในวิทยาลัยเวทมนตร์และห้องสมุดอาร์คานาแล้ว มีเพียงสองวิธีที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้เกินกว่าระดับของตนเองได้ก็คือ ได้รับมาจากการผจญภัยหรือเป็นมรดกจากครอบครัว และอีกวิธีคือการเป็นนักเรียนคนสนิทของนักเวทซักคน แต่ไม่เคยมีขายอยู่ในร้านหนังสือสาธารณะซักครั้ง!
นี้เป็นมาตรการควบคุมเรื่องเวทมนตร์ของสภาในเพื่อรักษาระเบียบทางสังคมที่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางอย่างมาก
“ถ้า… ถ้าข้าสามารถวิเคราะห์เวทมนต์วงแหวนแรกขั้นสูงได้ หรือได้เป็นนักเวทของทางการ อนาคตในวิทยาลัยเวทมนตร์ไฮด์เลอร์ของข้าก็จะยิ่งสดใสขึ้น…” หัวใจของดอนนี่แทบจะทะลุออกมาจากอก
เพราะเขาไม่ได้เกิดในตระกูลเวทมนตร์ และเขาก็ไม่ได้บังเอิญผ่านเหตุการณ์โชคดีใด ๆ อีกทั้งเขาก็ไม่มีทรัพยากรมากเหมือนกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ แต่การที่เขามาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะเขาทำงานอย่างหนัก และเขาก็เชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ที่เขามีมันก็คงจะไม่ยากเกินไปที่จะใช้วิเคราะห์เวทมนตร์ของทางการ
ดอนนี่มองไปที่เคาน์เตอร์ที่ดอลอสดูโทรทัศน์อยู่เงียบ ๆ จากนั้นหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น
“ข้ามีความสามารถในท่องจำ ข้าสามารถจำแบบจำลองทั้งหมดได้ในหนึ่งนาที…” ดอนนี่แตะด้านหลังหนังสือ
ปกหนังสือเวทมนตร์ทำจากวัสดุพิเศษที่ให้ความรู้สึกเย็นเฉียบราวกับเป็นอัมพาต เหมือนกับเป็นสายฟ้าเยือกแข็ง
ความรู้สึกคันคะเยอนี้ทำให้ดอนนี่ตกตะลึง จากนั้นเขาก็หายใจแรงขึ้น
เขาก็อ้าปากและหายใจแรงมากขึ้นและรีบชักมือกลับราวกับว่าแขนของเขาถูกตัดขาด
ข้าจะได้เรียนรู้เวทมนต์วงแหวนแรกและสามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องในวิทยาลัยเวทมนตร์ไฮด์เลอร์ ในอีกสามเดือนข้างหน้า แล้วทำไมตอนนี้ข้าต้องมาอ่านหนังสืออย่างลับ ๆ ซ่อน ๆ เป็นไอขี้ขลาดแบบนี้ด้วย?
แต่ถ้าข้าถูกจับได้ ข้าจะต้องถูกโยนเข้าคุก และอนาคตก็จะพังทลายลงอย่างแน่นอน
ยิ่งดอนนี่คิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งถูกความปรารถนาครอบงำมากขึ้นเท่านั้น หนังสือแห่งความตายเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือโบราณที่ที่มีค่าเพียงแค่ให้สภาใช้อ้างอิงเท่านั้น!
ท้ายที่สุด ตั้งแต่ก่อตั้งสภาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาความรู้ด้านเวทมนตร์นั้นทะยานเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ความสำเร็จของจักรวรรดิเวทมนตร์กลายเป็นของเก่าเก็บไปแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยิบยกเวทมนต์หรือความรู้โบราณดั้งเดิมที่อยู่ในหนังสือไพ่ตายนี้มาเอาชนะนักเวทร่วมสมัย
เพื่อต่อสู้กับความปรารถนา ดอนนี่ถึงกับเช็ดหน้าผากของเขาโดยไม่รู้ตัว ได้เข้ากับสัมผัสได้ถึงความเย็นสายหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แต่ก็พบว่ามีแค่เศษผ้าที่เขาใช้ทำความสะอาดชั้นหนังสืออยู่ในมือเท่านั้น
“ยังกับว่ามีคนโยนความวุ่นวายใส่มือข้าเลย…” ดอนนี่ส่ายศีรษะเยาะเย้ยตนเอง จากนั้นเขาก็มองไปที่หนังสือแห่งความตายด้วยความลังเล การขายหนังสือเวทมนตร์ประยุกต์ดูเหมือนจะเป็นการละเมิดกฎของสภาและจักรวรรดิ เขาควรทำอย่างไรดี?
แจ้งความกับแผนกลงทัณฑ์หรือกรมตำรวจดีไหม?
แต่ถ้าไม่ใช่หนังสือเวทมนตร์ประยุกต์ล่ะ?
ดอนนี่ลังเลอยู่นานจากนั้นก็กัดฟันก็เดินไปหาดอลอส เจ้านายของเขา เขาเหลือบมองแขกสองสามคนจากหางตาในร้านหนังสือของเขา และพร้อมที่จะป้องกันใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ชั้นหนังสือที่วางหนังสือแห่งความตายนี้ไว้ ถ้ามีใครสักคนแจ้งความ เขาก็จะเดือดร้อน แต่โชคดีที่แขกเหล่านั้นไม่ได้สนใจชั้นหนังสือแถวนี้ นั้นทำให้ดอนนี่รู้สึกโล่งใจมาก
“เจ้านาย” ดอนนี่พูดเบา ๆ ข้างดอลอส
ดอลอสหันกลับมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ว่าไง?”
“มี ‘หนังสือแห่งความตาย’ บนชั้นวางหนังสือนั่น ท่านลืมมันทิ้งไว้หรือเปล่า” ดอนนี่ฝึกพูดประโยคเหล่านี้ทำไปซ้ำมาในใจ แต่เมื่อเขาพูดออกมาจริง ๆ น้ำเสียงกลับดูแห้งแล้งและทึมทื่อ
ใบหน้าของดอลอสดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขาแสร้งยิ้มและพูดว่า “ใช่ นั่นเป็นรางวัลจากการผจญภัยของข้าครั้งหนึ่ง เมื่อคืนข้าลืมเอากลับตอนที่ข้าจัดเรียงชั้นหนังสือใหม่พวกนี้ ขอบใจที่การเตือนน่ะดอนนี่ ข้าจะเอากลับเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ดอนนี่โล่งใจอย่างมากที่ดอลอสมีข้ออ้างในการแก้ไขเรื่องนี้แทนที่จะปฏิเสธและอธิบายว่าหนังสือแห่งความตายเล่มนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่อย่างนั้นเจ้านายก็ต้องฆ่าเขาเพราะเขารู้มากเกินไป เขาต้องระมัดระวังเพราะมีเรื่องราวคล้ายๆ กันมากมายนี้ในละครทีวี
ดอลอสค่อยๆ ลุกขึ้น หยิบหนังสือมาวางไว้บนโต๊ะก่อนที่เขาจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “นี่มันเที่ยงแล้ว ไปดูอาหารกลางวันของเจ้าซักหน่อย ปกติแล้วข้าไม่มีอาหารและที่พักฟรีให้เจ้า แต่การเตือนของเจ้ามีค่าควรที่จะเพิ่มรางวัลในสิ้นเดือนนี้”
“นั่น… นั่นไม่จำเป็น มันเป็นหน้าที่ของข้า!” ดอนนี่รีบโบกมือ แต่ดอลอสก็ไม่พูดอะไรอีก เขาจึงทำได้เพียงแค่เดินออกจากร้านหนังสือเพื่อหาอาหารราคาถูกที่สุดที่อยู่ในตรอกใกล้กับจัตุรัสฉลองชัยแทน
เมื่อเห็นลูกจ้างหนุ่มหายเข้าไปในฝูงชน ดอลอสก็สัมผัสหนังสือแห่งความตาย และยิ้มอย่างน่าสนใจ
ทันใดนั้นหนังสือแห่งความตายปล่อยอายความเย็นและความชั่วร้ายออกมาจากการสัมผัสของดอลอส
แขกคนหนึ่งกดหมวกนุ่ม ๆ ของเขาและเหลือบมองไปที่ดอลอสก่อนจะเดินออกจากร้านหนังสือไป
…
แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน แต่ดอนนี่ก็ขอเลิกงานก่อนเวลา เพราะเขาตั้งใจจะไปไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมายถึงครอบครัวของเขา
แม้ว่าโทรศัพท์แบบมีสายและโทรเลขจะได้รับความนิยมในเมืองใหญ่ๆ แต่ครอบครัวของดอนนี่กลับอยู่ในเมืองเล็กๆ ซ้ำยังไม่รวยพอ ดังนั้นเขาถึงต้องพึ่งพาการใช้บริการไปรษณีย์ที่มีราคาถูกกว่า
เขารู้ว่าครอบครัวของตัวเองรู้หนังสือไม่มากนัก จากการที่เขาสอนด้วยตัวเอง ดังนั้นจดหมายของดอนนี่จึงเรียบง่ายมาก เขาบอกเกี่ยวกับการสอบของเขาว่าเป็นอย่างไร วิทยาลัยเวทมนตร์ที่เขาเลือก การเตรียมการสำหรับเดือนต่อไป และถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในครอบครัว เมื่อเขาส่งจดหมายกับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เขาจึงไม่ต้องใช้แสตมป์พิเศษเพิ่ม
“กว่าจะจดหมายจะไปถึงต้องใช้เวลากี่วัน? แล้วข้าจะได้จดหมายตอบกลับเมื่อไหร่” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดอนนี่ได้ส่งจดหมายไปแล้วสองสามฉบับ แต่ทุกครั้งเขาส่งในช่วงเวลาที่ต่างกัน เขาจึงต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
พนักงานมองที่อยู่บนซองจดหมายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ปกติจะใช้เวลาห้าวัน แต่เจ้าจะได้จดหมายคืนเมื่อไหร่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทางเราจะสามารถควบคุมได้”
แม้จะเป็นคำพูดแบบเหน็บแนม แต่ดอนนี่ก็ยังขบขัน หายากนักที่เขาจะได้พบกับเสมียนที่มีอารมณ์ขัน ชายหัวล้านคนนี้สนุกกว่าที่เขาคิดว่าเยอะ
หลังจากที่ดอนนี่จากไป ชายหัวล้านก็หยิบจดหมายของดอนนี่ขึ้นมาและเดินถอยหลัง จากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนก็กลับมาลูบท้องแล้วบ่นว่า “ทำไมวันนี้ท้องข้ามันตลกจัง? ไอ้หยา ไม่น่ะ ข้าต้องไปห้องน้ำอีกแล้ว! ใครก็ได้มาแทนข้าหน่อย!”
ในห้องเก็บของด้านหลังที่ทำการไปรษณีย์ ชายหัวล้านใช้มือขวาเช็ดและเปิดซองจดหมายที่ปิดสนิท จากนั้นก็เผยให้เห็นจดหมายที่อยู่ข้างใน
“ไม่มีอะไรพิเศษ…” ชายหัวล้านพึมพำกับตัวเองขณะเปิดจดหมาย จากนั้นเขาก็เขียนบางอย่างลงในสมุดบันทึกอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขียนบันทึกแล้ว เขาก็พับจดหมายแล้วใส่กลับเข้าไปในซองอีกครั้งอย่างไม่มีที่ติ จากนั้นเขาก็แกะตราประทับและปิดผนึกซองจดหมายอย่างง่ายๆ
…
ในเมืองใกล้กับป่าสตรู๊ป…
ตั้ม ตั้ม ตั้ม
มีใครบางคนกำลังเคาะประตูอยู่
“ใคร?” เด็กสาวที่มีผมยาวประบ่ากำลังยุ่งกับการเตรียมอาหารเย็นเอ่ยขึ้น
“บุรุษไปรษณีย์ มีจดหมายส่งถึงครอบครัวของเจ้า” เสียงผู้ชายแปลก ๆ เอ่ยตอบ
เด็กสาวอึ้งไปชั่วครู่ นางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นว่านี้เป็นช่วงเวลาพลบค่ำที่ยังมีผู้คนมากมายบนถนน ดังนั้นนางจึงเปิดประตูอย่างไม่กังวล “จดหมายที่ส่งถึงครอบครัวของข้า? จากไหนกัน”
“เรนทาโต ” บุรุษไปรษณีย์คนนี้เป็นชายที่มีใบหน้าธรรมดาทั่วไป
“เรนทาโต หรอ? จากพี่ชายของข้านี้เอง!” เด็กสาวเปิดจดหมายทันทีหลังจากที่นางได้รับด้วยความกระปรี้กระเปร่า
บุรุษไปรษณีย์ไม่ได้มองมาที่นางแต่กลับแอบสำรวจห้อง มีด้วงตัวหนึ่งคลานออกมาจากกางเกงของเขาเดินหายเข้าไปในช่องว่างบนพื้นไม้
…
ที่บ้านนายกเทศมนตรี…
คนแปลกหน้ามองชายชราฝั่งตรงข้ามอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “ข้าต้องการตรวจสอบข้อมูลของทุกคนในเมืองนี้”
“ขอรับ นายท่าน” นายกเทศมนตรีคนเก่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาจำรหัสประจำตัวและเครื่องหมายได้
…
ศาลากลางนครเรนทาโต…
เสมียนสองสามคนยืนอยู่ต่อหน้าผู้เป็นใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้วยความเคารพ
“ข้าต้องการข้อมูลของร้านหนังสือทั้งหมดในเรนทาโต” หัวหน้าแผนกสำคัญผู้เป็นใหญ่ในจักรวรรดิกล่าวอย่างจริงจัง
“ขอรับ นายท่าน” เสมียนตอบพร้อมกัน
…
นครลอยฟ้า หอคอยเวทมนตร์อัลลิน …
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ นายท่าน” จอมเวทย์ผู้ดูแลข้อมูลนักเวทประจำห้องสมุดลุกขึ้น และโค้งคำนับ ผู้มาเยือนคนนี้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการกิจการที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์ไฟสีดำบนหน้าอกของเขา
“ข้ามาเพื่อเอาข้อมูลของดอลอสที่ข้าได้อนุญาตไป…” สมาชิกผู้มาเยือนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“แน่นอนขอรับ”
…
ภายในพระราชวังที่มีแสงบางเบา…
“ฝ่าบาท นี่คือจดหมายของดอนนี่…”
“ฝ่าบาท นี่คือข้อมูลจากเมืองปิโก…”
“ฝ่าบาท นี่คือข้อมูลการลงทะเบียนของร้านหนังสือแห่งความรู้จากศาลากลาง…”
“ฝ่าบาท นี่คือข้อมูลของดอลอส…”
เอกสารจำนวนมากวางอยู่บนโต๊ะที่ทำจากไม้สีแดง นิ้วมือเรียวสวย แต่กลับเป็นมือของผู้ชายแตะลงบนเอกสารข้อมูลทั้งหมดอย่างนุ่มนวล และสง่างาม ราวกับว่ากำลังเล่นดนตรีอยู่
“เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน มีความสามารถปานกลาง แต่เขามีความมุ่งมั่น และขยันทำงาน นอกจากนี้ เขายังเป็นคนที่มีคุณธรรมและไม่ถูก ‘หนังสือแห่งความตาย’ ของดอลอสล่อลวง…” ขณะที่เขาดีดนิ้ว ก็มีเสียงสะท้อนน่าดึงดูดแผ่วเบาของชายคนหนึ่งดังขึ้น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยอ่อนโยนและความสงบที่น่าประหลาดสายหนึ่งอยู่ในนั้น
“ภูมิหลังครอบครัวของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ พ่อและแม่ของเขาเป็นเจ้าของร้านขายของชำ ส่วนพี่สาวของเขาไม่ได้เข้าในโรงเรียน… ไม่มีญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน หรือเพื่อน ๆ คนไหนทำความผิด…”
“ดอลอสอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเจ้า ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องของเจ้า แต่ถ้าเจ้าล้ำเส้นและเริ่มเกิดละโมบหิวกระหายล่ะก็…” นิ้วทั้งห้ากำแน่นแล้วทุบลงบนเอกสาร
เสียงเดินของเข็มวินาทีแปลก ๆ ดังก้องในพระราชวัง ด้านหลังโต๊ะไม้สีแดงมีชายผมดำคนหนึ่งนั่งเอามือซ้ายเกาคางอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกขยับไปด้านข้าง
แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่ใบหน้าของเขากลับเห็นได้ชัด คิ้วดกหนายาวไปถึงขมับ ขับเน้นให้รูม่านตาสีดำของเขาคมลึก ในขณะเดียวกันเขาก็เหยียดขาไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนขึ้น แต่ขาเรียวยาวที่ปรากฏอยู่นั้นก็ทำให้จินตนาการได้ไม่ยากถึงความสูงของเขา
เขาดันเอกสารไปด้านข้าง และดึงลิ้นชักออกมองดูจดหมายที่อยู่ด้านใน จากนั้นเขาก็ดูอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ในจดหมายเขียนว่า
[ลู่ เสี่ยวเอิน ปกป้องลู่ เสี่ยวซีด้วย จากพ่อและแม่ที่รักของเจ้า]
“ทำไมพ่อที่แสนอ่อนโยนและสง่างามของข้าถึงชอบตั้งชื่อเล่นแปลก ๆ และยังชอบเรียกเราด้วยชื่อนั้นตลอดด้วย!” ชายหนุ่มบ่นพึมพำไม่หยุดทำให้บรรยากาศสงบสุขก่อนหน้านี้หายวับไปกับตา