แกร๊ก
เสียงเปิดกลอนประตูดังเป็นพิเศษในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด
เด็กชายตัวน้อยผู้มีดวงตาและเส้นผมสีทอง นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวด้วยสภาพกึ่งๆ นอนหลับ แต่เขาก็ลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินเสียง แล้ววิ่งไปยังประตูด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่ประตูเปิดออก สตรีผมทองในชุดราตรีสีม่วงก็เดินเข้ามา นางเป็นคนตัวสูงและงดงาม สองข้างแก้มเผยสีแดงระเรื่อจางๆ รอยยิ้มสุภาพของนางแฝงไว้ซึ่งเสน่ห์บางประการ
“เอ็ดเวิร์ด เจ้ายังไม่นอนอีกรึ” สตรีผู้งดงามวัยกำดัดประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเด็กชายตัวน้อยวิ่งไปหานาง
เด็กชายแย้มยิ้มอย่างเขินอาย “ท่านแม่ ข้าอยากเจอรอให้ท่านกลับมา…”
แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไปเพราะเห็นบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลังมารดา บุรุษผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปสลัก ซึ่งดูเหมือนกับธารน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย นอกจากนี้ เขายังมีผมสั้นสีเงินที่ดูพิเศษมาก
แต่แล้วจู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็แย้มยิ้มอ่อนโยน ดูราวกับยามฤดูไม้ไม้ผลิหลอมละลายหิมะ เขาจับมือสตรีผมทองขึ้นมาประทับจุมพิต “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่าน ข้าหวังว่าท่านจะนอนหลับฝันดีในคืนนี้”
“ข้าดีใจที่ได้รู้จักกับท่านเช่นกันเจ้าค่ะ ท่านไวเคานต์” สตรีผมทองตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเฝ้ามองบุรุษในชุดสูททางการเดินจากไป
“ท่านแม่ เขาเป็นใครหรือขอรับ” ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ เอ็ดเวิร์ดรู้สึกไม่ชอบบุรุษที่อยู่กับมารดาเมื่อครู่นี้
“ก็ เป็นไวเคานต์ต่างชาติที่แม่พบในงานเลี้ยงวันนี้น่ะ เขามีนามว่าคาเรนเดีย” สตรีผมทองพยายามตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่ริมฝีปากของนางก็ยังคงหยักโค้งขึ้น แต่แล้ว จู่ๆ นางก็มีท่าทีเคร่งขรึม “เอ็ดเวิร์ด นี่มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้วนะ เลยเวลานอนของลูกมาสองชั่วโมงแล้ว อะเดลินไปไหน แม่จะไปถามนางว่าเหตุใดนางจึงปล่อยให้เจ้ามารอแม่อยู่เช่นนี้ เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลนี้ และเจ้าไม่ควรจะทำอะไรตามใจ”
“ข้า…ข้าแอบออกมาจากห้องขอรับ อะเดลินไม่ผิดหรอกขอรับ” เอ็ดเวิร์ดแสร้งทำเป็นหวาดกลัว เขารู้ดีว่ามารดาไม่มีทางลงโทษเขาอย่างจริงจัง
…
“นายน้อย เป็นไปได้ว่าท่านจะได้บิดาคนใหม่ในเร็ววันนี้นะเจ้าคะ” สาวใช้ผู้หนึ่งพูดกับเอ็ดเวิร์ดที่ตัวสูงขึ้นมากด้วยเสียงแผ่วเบา
เอ็ดเวิร์ดที่ยังไม่โตพอจะเข้าใจพลันมีสีหน้าเศร้าหมองและลนลาน ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มารดาของเขาและไวเคานต์คาเรนเดียมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นจนดูเหมือนคู่รักจริงๆ แล้วในตอนนี้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีเวลาพูดคุยหรือเล่นกับมารดาน้อยลง ช่างเป็นบุรุษที่แย่มาก!
“แม้ว่าท่านผู้หญิงจะลำบากมามากเพื่อประคับประคองตระกูลนี้ไว้หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้าอัญเชิญท่านผู้ชายกลับไป และนางก็ควรจะได้รับคำอวยพรจากการที่นางไขว่คว้าหาความสุขของตนเอง แต่ท่านก็ต้องจำไว้ว่า ท่านคือทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งและมรดกแต่เพียงผู้เดียว ท่านไม่สามารถปล่อยให้ไวเคานต์คาเรนเดียมายักย้ายทรัพย์สินไปทีละนิดๆ ได้นะเจ้าคะ” สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อตระกูลเอ่ยเตือนเอ็ดเวิร์ดถึงหายนะที่อาจเกิดขึ้นได้
ทว่า เอ็ดเวิร์ดกับโพล่งออกมาว่า “นี่เขาเข้าหาท่านแม่เพื่อเงินและตำแหน่งเช่นนั้นหรือ ไม่นะ ข้าจะต้องหยุดเขา”
หลังจากนั้น เด็กชายก็วิ่งออกไปที่ห้องพักแขก ทิ้งให้สาวใช้ผู้นั้นยืนนิ่งงัน ‘นั่น…นั่นเป็นเพียงการเตือน ข้ามิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นเลย’
“ฮือๆ ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้วขอรับ ข้าไม่ควรเสียมารยาทกับท่านไวนเคานต์” ไม่นาน เสียงร้องไห้ของเอ็ดเวิร์ดก็ดังมาจากห้องนั่งเล่น เขาถูกกดตัวให้นอนราบไปบนเก้าอี้ตัวยาวและถูกมารดาทุบตีอย่างแรง ในขณะที่เขาร้องไห้โฮ
สตรีผมทองส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหันไปกล่าวขอโทษไวเคานต์คาเรนเดีย “โปรดอภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ที่สั่งสอนลูกไม่ดีพอ”
“มิเป็นไร เด็กวัยนี้ต่างก็ซุกซนกันทุกคน” ไวเคานต์คาเรนเดียกล่าว ดวงตาของเขาฉายแววอ่อนโยน
“เอ็ดเวิร์ด จงขออภัยท่านไวเคานต์เสีย” สตรีผมทองบอกกับเขา
เอ็ดเวิร์ดกล่าวขอโทษขณะร้องไห้สะอึกสะอื้น จากนั้น ในขณะที่มารดามิได้มองมาทางเขา เขาก็แสร้งทำเป็นเข้มแข็งและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ “ข้าจักไม่ปล่อยให้เจ้าขโมยมารดาของข้าไปแน่!”
ไวเคานต์คาเรนเดียมีสีหน้าดังเดิม เหมือนกับกำลังมองลูกแมวตัวน้อยพองขนด้วยความกรุ่นโกรธแต่ดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด
…
“ต่อจากนี้ไปเจ้าจะเรียกท่านไวเคานต์ว่าบิดา” สตรีผมทองกล่าวกับเอ็ดเวิร์ดด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย
เอ็ดเวิร์ดเม้มปากและพยายามคงสีหน้าให้เป็นปกติ “รับทราบขอรับ”
ไวเคานต์คาเรนเดีย ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ หั่นเนื้อเสต็กชุ่มโลหิตไปพลางกล่าวกับเอ็ดเวิร์ดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ราวกับว่าเขาคือบิดาที่แท้จริงของอีกฝ่าย “อัศวินผู้สอนคนปัจจุบันของเจ้ายังไม่ดีพอ นับแต่พรุ่งนี้ไป ข้าจะเป็นผู้สอนเจ้าด้วยตนเอง”
“ข้าจะตั้งใจฝึกขอรับ” เอ็ดเวิร์ดกำหมัดทั้งสองข้างแน่น ในใจสาบานว่าตนจะบันดาลโทสะใส่บุรุษชั่วผู้นี้ในระหว่างฝึกจนสาแก่ใจ
…
ตุบ
เอ็ดเวิร์ดถูกโยนลงไปนอนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น
“เจ้าจะมีดาบไว้ทำไมหากน้ำตาจะช่วยได้” ไวเคานต์คาเรนเดียกล่าวโดยไร้ซึ่งความสงสาร “ตกลงแล้ว เจ้าก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น มิใช่บุรุษชาติชาย ชายชาตรีที่แท้จริงจักหลั่งเลือด มิใช่น้ำตา”
เอ็ดเวิร์ดยืนขึ้นแล้วถลึงตาใส่อีกฝ่าย
ไวเคานต์คาเรนเดียโบกดาบไม้ในมือไปมา “เจ้าเกลียดข้าที่สุดมิใช่หรือ อยากจะขับไล่ข้าไปจากที่นี่มิใช่หรือ จงทำเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วยดาบในมือของเจ้า! หรือว่าเจ้าจะเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวที่ชอบความล้มเหลวกันล่ะ”
เอ็ดเวิร์ดคำรามลั่นแล้วพุ่งตัวเข้าใส่ไวเคานต์คาเรนเดียพร้อมกับดาบไม้ในมือ เขาถูกซัดกระเด็นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ลุกขึ้นมายืนใหม่ทุกๆ ครั้ง
เขาคิดในใจ ‘ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้!’
…
ณ จัตุรัสศาสนจักร ไม้กางเขนอันใหญ่ถูกสร้างขึ้น และสตรีผมทองผู้งดงามทรงเสน่ห์ก็ถูกมัดติดกับมันเอาไว้
“ท่านแม่! ท่านแม่!” แม้จะถูกอัศวินฝึกหัดหลายคนรั้งตัวไว้ เอ็ดเวิร์ดก็ยังคงดิ้นรนที่จะขยับเข้าไปข้างหน้าไม้กางเขนด้วยใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาและความแตกตื่น
ขณะถือเหรียญตรานักบุญแห่งสัจธรรมอยู่ในมือทั้งสองข้าง พระบิชอปก็ทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนอก แล้วชี้ไปทางสตรีผมทอง “นางเป็นชนชั้นขุนนาง แต่นางกลับถูกความมืดครอบงำและลดตัวลงไปเป็นทาสของแวมไพร์ พยายามจะเปลี่ยนลูกแกะทั้งหลายของพระเจ้าให้กลายเป็นอาหารของแวมไพร์”
สตรีผมทองดูคล้ายกับไร้วิญญาณไปแล้ว นางจ้องมองพระบิชอปโดยไม่พูดอะไร แต่เอ็ดเวิร์ดกลับปฏิเสธเสียงดัง “ไม่! ไม่ใช่! มารดาข้าไม่เคยทำร้ายใคร!”
พระบิชอปมิได้นำพาต่อตัวเอ็ดเวิร์ดและยังคงพูดต่อไปว่า “เจ้าคือคนชั่วร้ายโสมม แต่พระผู้เป็นเจ้ามีพระเมตตากรุณา การชำระล้างก็คือพระคุณของพระองค์และเป็นหนทางสู่สรวงสวรรค์ของเจ้า ข้าขอถามเจ้า เจ้าจะยอมสำนึกผิดและคุกเข่าลงตรงหน้าพระบาทของพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหรือไม่”
“หาก…หากว่าข้าสำนึกผิด เอ็ดเวิร์ดจะได้รับการละเว้นโทษหรือไม่ เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เขาไม่รู้อะไรเลย” จู่ๆ สตรีผมทองก็มีท่าทางเหมือนกลับมาได้สติอีกครั้ง
พระบิชอปยังคงทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนอกต่อไป “พระองค์คือผู้เที่ยงธรรมที่สุด ตราบใดที่เอ็ดเวิร์ดมีชีวิตรอดจากกองไฟได้ มันก็จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของเขา”
สตรีผมทองหัวเราะด้วยความขมขื่น “ฮ่าๆๆ เช่นนั้นข้าขอตอบเจ้า ข้ายอมทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกเสียดีกว่าสูญเสียตัวตนอยู่บนสวรรค์!”
“นางคนบาป จงลงนรกและไปสำนึกผิดที่นั่นเสีย” พระบิชอปกล่าวเสียงเยียบเย็น พลางปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อจุดไฟตรงที่นางยืน
“ไม่นะ!” เอ็ดเวิร์ดกรีดร้องเสียงแหลมเสียดหู เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นดวงตาฉายแววอ่อนโยนที่มองมาทางเขาผ่านกองเพลิง
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เอ็ดเวิร์ดก็หมดสติไปทั้งที่ยังน้ำตาน้องหน้า แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังก้องอยู่ข้างใบหูของเขา “ขอโทษที่ข้ามาช้าไป”
เอ็ดเวิร์ดพยายามลืมตาขึ้น แล้วเขาก็ได้เห็นบุรุษผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้มารดาของเขาถูกเผาทั้งเป็น เขาขบกรามแน่น แล้วตอบกลับเสียงห้วน “มันเป็นความผิดของเจ้า หากมิใช่เพราะเจ้า มารดาข้าย่อมไม่มีทางถูกเผาทั้งเป็น!”
“ข้าขอโทษ ข้ามาช้าไป” สีหน้าไวเคานต์คาเรนเดียดูมืดครึ้มดั่งภูเขาที่เพิ่งเกิดหิมะถล่ำ
“เจ้ามาช้าไปงั้นรึ” เอ็ดเวิร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะหยันอย่างเกินอายุ “ช่างเป็นเหตุผลที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก!”
ก่อนที่เขาจะตะคอกออกมาทีละคำ “เจ้าสังหารมารดาข้า!”
ไวเคานต์คาเรนเดียถอนหายใจเฮือก “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็จะดูแลเจ้าอย่างดี”
เขาโน้มศรีษะลงมาโดยพุ่งเป้าไปที่ลำคอของเอ็ดเวิร์ด คมเขี้ยวทั้งสี่ของเขาพลันงอกยาว “นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือไวเคานต์คาเรนเดีย”
ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นบนลำคอของเขา พร้อมกับที่ใบหน้าของเอ็ดเวิร์ดชาหนึบ แต่ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
…
จันทราสีเงินดูเย็นเยียบทว่าชวนฝันลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ก่อกำเนิดคลื่นสีเงินไปบนทะเลสาบที่ราบเรียบดุจกระจก
ไวเคานต์คาเรนเดียผู้มีดวงตาและเส้นผมสีทองยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างโดยที่มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์ขณะชื่นชมทิวทัศน์
“นายท่านนึกถึงอดีตอีกแล้วหรือขอรับ” นี้ด พ่อบ้านชราของเขาเดินเข้ามาในห้อง
ไวเคานต์คาเรนเดียพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไม่มีทางลืมความเกลียดชังได้หรอก”
พ่อบ้านชราไม่รู้ว่าจะควรจะพูดอะไรต่อ เขาจึงทำได้เพียงพูดจากมุมมองที่เหมาะสม “นายท่าน ท่านเป็นเพียงมหาอัศวิน ในขณะที่อดีตไวเคานต์นั้นใกล้จะเป็นอัศวินอาภาขั้นที่แปดแล้ว”
“จะกลัวอะไรหากแม้แต่ความตายยังไม่ทำให้เจ้ารู้สึกหวาดเกรง” ใบหน้าหล่อเหลาสมชายชาตรีของไวเคานต์เดียพลันแย้มยิ้ม “บุรุษที่ไร้ความรับผิดชอบพรรค์นั้นย่อมถูกสังหารไม่ช้าก็เร็ว ในระหว่างนั้น ข้าจะฝึกฝนตนเองเพื่อเลื่อนระดับเป็นอัศวินอาภาให้เร็วขึ้น”
“แต่ว่า ในฐานะผู้สืบทอด ท่านไม่อาจต่อต้านเขาได้เลยยามเผชิญหน้ากับเขา” นี้ดกล่าวขึ้นอีกครา
ไวเคานต์คาเรนเดียทอดถอนใจแล้วเลิกพูดถึงเรื่องนี้ เขาหมุนตัวกลับและตรงไปยังห้องลับ ขณะจ้องมองบุรุษผู้มีผมและดวงตาสีเงินในภาพวาด เขาก็เอ่ยว่า “ท่านปู ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เจอกับท่านบ่อยนัก แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงความรักจากท่าน ข้าหวังว่าข้าจะสามารถติดตามท่านและได้รับคำสั่งสอนจากท่าน…”
หลังจากกล่าว ‘คำสวดอ้อนวอน’ ดวงตาของไวเคานต์คาเรนเดียก็พลันเพ่งจดจ่อ เพราะเขาเห็นแก้วอีกใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ของเหลวสีแดงข้นคลักลอยอยู่ในนั้น และสัญลักษณ์จำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลังหมุนวนขึ้นลงอยู่ ภายในนั้นราวกับภาพลวงตา
“นี่คืออะไรกัน” เขาถามด้วยความตกตะลึง
ดวงตาของนี้ดแทบจะถลนออกมา “นี่มัน…นี่มันโลหิตต้นกำเนิดของแวมไพร์รุ่นแรก หรือว่า…หรือว่าท่านเอิร์ลคนก่อนจะมาที่นี่กันขอรับ”
“ท่านปู่น่ะหรือ” ไวเคานต์คาเรนเดียกวาดสายตามองไปรอบๆ เพียงเพื่อจะพบกับความว่างเปล่า แต่ไม่นานเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ตราบใดที่ข้าผสานหลอมรวมกับเลือดในแก้วนี้ได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวการสะกดข่มทางสายโลหิตจากบุรุษผู้นั้นอีกแล้ว”
พ่อบ้านชรากล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “ท่านเอิร์ลคนก่อนไม่เปลี่ยนงานอดิเรกกับนิสัยเลยสักนิด เรื่องน่าโศกสลดเช่นนั้นจะไปสนุกได้อย่างไรกัน”
“คาโมเรย์ คุกย์ เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือไม่” ไวเคานต์คาเรนเดียถาม
เสียงฮัมทึบๆ ดังขึ้น ส่งผลให้ทั้งปราสาทสั่นสะเทือน “ไม่เลยขอรับ ข้าก็แค่…คันจมูก ฮัดชิ้ว!”
มันจามรุนแรงเสียจนบานหน้าต่างลั่นเปรียะประ
หลังจากเงียบไปครูสั้นๆ ไวเคานต์คาเรนเดียก็เอ่ยขึ้นกึ่งๆ หยอกเย้า “สิ่งที่ท่านปู่ทำให้ข้ารู้สึกประทับใจอย่างใหญ่หลวงก็คือการที่ท่านชอบสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ลับๆ นี่แหละ ท่านน่ะเหมือนกับพวกถ้ำมอง”
“ฮัดชิ้ว!”
ใครบางคนที่อยู่บนภูเขาห่างออกไปไกล จู่ๆ ก็จามลั่น
…………………………..