“นายท่าน” บรรดาชาวนาที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานบนที่นา ต่างหันไปแสดงความเคารพขุนนางผู้ปกครองด้วยท่าทางอ่อนน้อมเชื่อฟัง พวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยได้เห็นหน้าของท่านเอิร์ล แต่ก็รู้ว่ามีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะมีอัศวินรายล้อมรอบตัวมากถึงเพียงนี้ ทั้งยังควบขี่ม้าเกล็ดมังกรที่แสนสง่างาม และสวมเสื้อผ้าหรูหรา กับสร้อยคอเส้นใหญ่จากหลังศีรษะจนบดบังใบหูผู้นี้ก็คือท่านเอิร์ลผู้มีชื่อเสียงนั่นเอง นอกจากนี้ คนก่อนหน้าพวกเขาก็ทำความเคารพเช่นกัน
ขณะควบขี่ม้าเกล็ดมังกรและถือแส้อยู่ในมือ เอิร์ลแพฟอสไม่ได้ยินคำแสดงความเคารพจากชาวนาเลยสักนิด มันคืออภิสิทธิ์ที่เหล่าคุณนางสมควรได้รับและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้สึกประหลาดใจ
หลังออกจากเขตปกครองมาถึงทางหลวง เอิร์ลแพฟอสก็หวดแส้ใส่ม้าของตนอย่างแรงเพื่อกระตุ้นให้มันวิ่งเร็วขึ้นจนล้ำหน้าเกวียนและผู้เดินทางสัญจรไปตลอดทาง
เอิร์ลแพฟอสนึกดูถูกพวกขุนนางที่ใช้เกวียนมาโดยตลอด ขุนนางพวกนี้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากการกำจัดนักเวทและพวกลัทธินอกรีตอื่นๆ ไม่ควรจะละทิ้งความภูมิใจนี้และสัญชาตญาณความเป็นอัศวินของพวกเขา ความหยิ่งยโสก็คือเป็นบาปแห่งบรรพกาลเช่นกัน!
ตระกูลแพฟอสคือหนึ่งในตระกูลอัศวินเก่าแก่ที่ร่วมต่อต้านจักรวรรดิเวทมนต์กับศาสนาจักรและองค์ราชา ยศถาบรรดาศักดิ์แห่งเอิร์ลก็ได้รับมาจากความแข็งแกร่งอันโดดเด่นของทุกๆ รุ่น และความสำเร็จที่แสนน่าทึ่งของพวกเขา เขาได้กลายเป็นอัศวินอาภาก่อนวัยสี่สิบ จึงได้รับสมญานามว่า ‘มังกรผู้พิทักษ์’ สองมือของเขาเปรอะเปื้อนโลหิตของพวกนักเวทชั่วร้ายและลัทธินอกรีตอื่นๆ
ม้าเกล็ดมังกรนับสิบๆ ตัวควบวิ่งอย่างรวดเร็วจนเข้าไปในเมือง ทหารยามประจำเมืองเปิดทางให้เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลแพฟอสมาแต่ไกล ไม่กล้าหยุดยั้งหรือตรวจสอบพวกเขาเลยสักนิด
ฮูมมมมมมม!
เอิร์ลแพฟอสดึงบังเหียน ม้าเกล็ดมังกรจึงยกสองขาหน้าขึ้นเหมือนมนุษย์พร้อมกับร้องคำรามราวกับมังกร
อัศวินที่ติดตามมาก็ทำเช่นเดียวกัน ม้าทุกตัวจึงหยุดลงพร้อมกัน
“สายัณห์สวัสดิ์ขอรับนายท่าน” ที่หน้าทางเข้าบ้านพักชานเมือง มีสองขุนนางยืนรออยู่แล้ว
ทั้งสองคนสวมเสื้อเชิ้ตสองชั้นตามกระแสนิยม กระดุมบนเสื้อต่างทำมาจากอัญมณีทุกเม็ด ส่วนเสื้อโค้ทด้านนอกนั้นเป็นแบบคอปกสูงที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งมากมาย
เอิร์ลแพฟอสลงจากหลังม้าแล้วพยักหน้า “ขอบใจเจ้าที่เป็นธุระให้”
ทั้งสองคือบารอนที่อยู่ในเขตการปกครองของเขา วันนี้ทั้งคู่ช่วยเชิญเหล่าขุนนางที่สนิทชิดเชื้อกับเขาเพื่อมาประชุมเป็นการส่วนตัว
“เป็นเกียรติของพวกเราขอรับ” บารอนทั้งสองตอบด้วยท่าทางเคารพนบนอบ ก่อนจะนำทางเขาเข้าไปในบ้านพัก
เอิร์ลแพฟอสมิได้ส่งยิ้มให้หรือพูดอะไร แต่เขาก็ค่อนข้างพอใจกับท่าทีของบารอนทั้งสอง ซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงเกียรติและอำนาจของขุนนางชั้นสูง
โต๊ะตัวยาวหลายตัวตั้งอยู่กลางห้องโดยที่บนนั้นมีเนื้อเสต็ก ไก่อบ และอาหารอื่นๆ วาง ขุนนางหลายคนได้มานั่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้ว โดยมีแก้วไวน์อยู่ในมือ
“สายัณห์สวัสดิ์ขอรับนายท่าน” ขุนนางทุกคนทำความเคารพเอิร์ลแพฟอสทันทีที่ทำได้
เอิร์ลแพฟอสยกมือขวาขึ้นโบก “สายัณห์สวัสดิ์ ทุกคน”
เขาสุขใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ในช่วงเวลาเช่นนี้ อำนาจคือสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดเสมอ
หลังจากส่งแส้ในมือให้กับอัศวินที่เดินทางมาพร้อมกับเขา เอิร์ลแพฟอสก็พร้อมที่จะเริ่มต้นการประชุม แต่ในตอนนั้นเอง ทหารยามหน้าประตูก็เดินนำนักบวชในชุดเสื้อคลุมสีขาวดูศักดิ์สิทธิ์เข้ามา
“ท่านเอิร์ลที่เคารพ พระบิช็อปเชิญท่านไปพบที่อารามขอรับ” นักบวชหนุ่มมีท่าทางสุภาพอย่างยิ่ง ทว่าผิวหน้าของเขากลับตึงแน่นไร้ซึ่งรอยยิ้ม ให้ความรู้สึกหยิ่งยโส แต่ก็ไม่มีขุนนางคนใดรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม เขาคือลูกแกะของพระผู้เป็นเจ้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็ไม่อาจแสดงออกไปได้ มิเช่นนั้นเหล่าผู้พิทักษ์ราตรีจากคณะไต่สวนจะมาเยือน
“มีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ” เอิร์ลแพฟอสถามเสียงเอื่อยเฉื่อย
นักบวชหนุ่มคล้ายกับจะมองไปบนเพดาน “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก ท่านจะได้ทราบหลังจากที่ทานไปถึงอารามขอรับ”
เอิร์ลแพฟอสแอบรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจกับท่าทีของชายหนุ่ม ‘เดี๋ยวนี้พวกนักบวชจากศาสนจักรไม่มีมารยาทพื้นฐานกันแล้วหรืออย่างไร’
แต่เขาก็ควบคุมความรู้สึกของตนเองไว้และตอบด้วยสีหน้าไรอารมณ์ “ก็ได้”
“อ้อ ใช่ ท่านเอิร์ล ตอนนี้เลยหกโมงเย็นไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามขี่ม้าเข้าไปนอกจากอัศวินที่กำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่” นักบวชผู้นั้นกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
เอิร์ลแพฟอสกำหมัดแน่น รู้สึกได้ว่าโทสะได้พวยพุ่งขึ้นสู่สมองของเขา ในฐานะเอิร์ลและเจ้าผู้ครองเมือง เขากล้บไม่แม้แต่จะมีอภิสิทธิ์ในการขี่ม้าเข้าไปเลยหรือ
หลังจากส่งสารเสร็จ นักบวชคนนั้นก็ทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนอก “ข้าหวังว่าท่านจะไปถึงอรามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สัจจะคงอยู่นิรันดร์!”
“สัจจะคงอยู่นิรันดร์…” เอิร์ลแพฟอสตวัดมือทำสัญลักษณ์ไม้กางเขน ดวงตาของเขาฉายแววลึกล้ำและมืดทึบ เขาตัดสินใจข่มความรู้สึกกลับลงไป เขาจะทำอะไรได้อีก ท้าทายศาสนจักรเช่นนั้นหรือ เขาจะต้านทานมนุษย์ครึ่งเทพคนหนึ่ง พระคาร์ดินัลหลวงกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ชั้นตำนานห้าสิบคน รวมถึงทูตสวรรค์เสราฟิมที่อาจไม่เยือนได้ทุกเมื่อได้กระนั้นหรือ นั่นคือกองกำลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าอดีตจักรวรรดิเวทมนต์ทั้งสามเสียอีก!
นอกจากนี้ ในขณะที่กองกำลังของจักรวรรดิเวทมนต์ที่เหลืออยู่ค่อยๆ ถูกกำจัดไป ทางศาสนาจักรก็เริ่มพึ่งพาเหล่าขุนนางน้อยลง และมีท่าทีแย่ลงเรื่อยๆ
เกวียนค่อยๆ แล่นมาถึงอารามประจำเมือง ท้องฟ้าในยามนี้มืดสนิทและเต็มไปด้วยเมฆหนา บ่งบอกถึงพายุที่กำลังใกล้เข้ามา
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น พร้อมกับที่สายฟ้าแลบแปลบปลาบดูเหมือนฝูงงูสีเงินส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เอิร์ลแพฟอสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าขณะลงจากเกวียน ก่อนจะเข้าไปในอาราม
“สายัณห์สวัสดิ์ขอรับ ท่านผู้ทรงศีล โปรดอนุญาตให้ข้าสวดภาวนากับพระผู้เป็นเจ้าก่อนนะขอรับ” เอิร์ลแพฟอสกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ความไม่พอใจและโทสะในหัวใจเขาได้เลือนหายไปแล้ว
เมืองแห่งนี้เป็นเหมือนเมืองหลวงของเขตมณฑล มันตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญและค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นพระบิช็อปผู้ประจำอยู่ที่นี่จึงเป็นฟีลด์ พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้น เขาเพียงพยักหน้า “ท่านช่างเป็นผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้า”
หลังจากสวดภาวนาที่หน้าไม้กางเขนเสร็จ เอิร์ลแพฟอสก็แย้มยิ้ม “ท่านผู้ทรงศีลเชิญข้ามาด้วยเหตุใดหรือขอรับ”
ฟีลด์ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพอกัน “จากรายงานของผู้พิทักษ์ราตรี ดูเหมือนว่าช่วงนี้พวกนักเวทจะมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะทุ่มเทความสนใจให้กับการล่าพวกนั้นมากยิ่งขึ้น”
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วขอรับ” เอิร์ลแพฟอสตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ ขณะเฝ้ารอให้พระบิช็อปพูดถึงเรื่องที่สำคัญกว่านี้กับเขา
“ยอดเยี่ยม ช่วยดูให้แน่ใจว่ามันสำเร็จหลังจากที่เจ้ากลับไปด้วยล่ะ” ฟีลด์ส่งยิ้มให้
“ไม่มีเรื่องอื่นหรือขอรับ” เอิร์ลแพฟอสโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง
ฟีลด์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เราจำเป็นต้องมีเรื่องอื่นด้วยหรือ”
โทสะในใจเอิร์ลแพฟอสพลันระเบิดโพลง ‘นี่ท่านเรียกข้ามาเพื่อเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรือ แบบนี้ส่งใครสักคนให้ไปบอกก็ได้แล้ว ท่านคิดว่าข้าเป็นใครกัน สุนัขรับใช้ศาสนาจักรที่ท่านสามารถออกคำสั่งได้ตามใจเช่นนั้นรึ’
“หรือว่า เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญพอ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของฟีลด์ค่อยๆ อันตรธานหายไป
เอิร์ลแพฟอสพยายามข่มโทสะของตน “ข้าเพียงแต่กำลังจะช่วยเหลือพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้นอยู่แล้วขอรับ ท่านผู้ทรงศีล ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว ข้าจักกลับไปตรวจสอบเรื่องพวกนักเวทบัดเดี๋ยวนี้”
เขาตรงออกมาจากอารามและขึ้นไปนั่งบนเกวียนโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ขณะนั่งเป็นรูปปั้นหินโดยที่มีเกล็ดสีทองผุดขึ้นบนหลังมือ เขาก็ยังมิได้มีท่าทีมืดมน จนกระทั่งเกวียนแล่นจากมาไกลแล้ว พร้อมกับที่สายฟ้าฟาดลงมาไม่หยุด
“ให้ตายเถอะ! พวกนั้นไม่มองชนชั้นสูงอย่างเราว่าเท่าเทียมกับพวกเขาเลยสักนิด!” แพฟอสขบฟันกรอด
สายฝนเทลงมาอย่างหนัก ส่งผลให้ราตรีนี้ยิ่งมืดสนิด ภายใต้สายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ต้นไม้และกิ่งก้านปลิวไสวอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งบางคราว ใบไม้และฝุ่นก็จะปลิวเข้ามาในเกวียน
เปาะๆๆ
หยาดฝนตกกระทบหลังคาเกวียนราวกับกำลังเล่นเครื่องดนตรี ขณะมองความมืดมิดยามค่ำคืนที่นอกหน้าต่าง เอิร์ลแพฟอสกลับไม่อาจสงบจิตใจลงได้เป็นเวลานาน ‘หรือนี่คือฐานะที่แท้จริงของเหล่าชนชั้นสูงกันนะ’
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะเป็นจังหวะสามครั้งดังก้องอยู่ใกล้หน้าต่าง เอิร์นแพฟอสตกตะลึงเสียจนเขาต้องหัขควับแล้วร้องถาม “ผู้ใดกัน”
การเข้ามาใกล้อย่างไรซุ่มเสียงและไม่ทำให้อัศวินอาภาขั้นที่หกพบเห็น คนผู้นี้ย่อมแข็งแกร่งจนน่ากลัว
“แขกผู้มีประกาศตน” เสียงหัวเราะขบขันของสตรีดังแผ่วเบาอยู่นอกหน้าต่าง แต่คนขับรถม้าและอัศวินทางด้านหลังกลับไม่สัมผัสถึงสิ่งใด
“เจ้าคือผู้ใดกันแน่” เอิร์ลแพฟอสหรี่ตาลง เกล็ดมังกรสีทองปรากฏขึ้นบนผิวนอกร่มผ้าของเขา พร้อมกับที่นัยน์ตากลายเป็นสีทองรูปขีดแนวตั้ง
สตรีเจ้าของเสียงที่น่าดึงดูดใจหัวเราะขันอีกครา “ท่านกังวลเกินกว่าจะเชิญข้าเข้าไปเช่นนั้นหรือ นายท่าน หากว่าข้าตั้งใจจะลอบทำร้ายท่าน เมื่อครู่นี้ ข้าคงไม่เตือนท่านหรอก สำหรับผู้มีพลังชั้นสูงอย่างท่านและข้า เพียงผนังเกวียนกางกั้นจะเพียงพอแน่หรือ”
สตรีหยิ่งยโสผู้ชื่นชอบการเยาะหยันผู้อื่น…เอิร์ลแพฟอสสรุปในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปิดหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง
เงาร่างสีแดงก้าวพริบตาเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามเอิร์ลแพฟอส
นักเวทชั้นสูง…เอิร์ลแพฟอสกลับมาระแวดระวังตัวอีกครั้ง และพร้อมจะโจมตี ทว่า จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย นั่นเป็นเพราะนางคือหญิงสาวผู้งดงามที่ดูเจิดจ้าราวกับกองเพลิง นางดูตัวเล็กจ้อยยามสวมเสื้อคลุมเวทมนต์สีแดงเลือด ทั้งยังมีใบหน้าอันงดงามประณีต นัยน์ตาของนางเป็นสีแดงดั่งโลหิต ทำให้นางดูเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างยิ่งยวด
ข่าวลือที่ว่านักเวทเพศหญิงชื่นชอบการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใบหน้าของตนนั้นเป็นความจริง แต่มิใช่ว่านักเวทชั้นสูงมักจะกลายสภาพเป็นน่าสยดสยองเพราะการปรับเปลี่ยนสายโลหิตและมลพิษจากการทดลองหรอกหรือ เอิร์ลแพฟอสคิดถึงเรื่องนี้อย่างห้ามใจไม่อยู่ เหตุใดเขาจึงไม่รู้จักนักเวทชั้นสูงคนนี้เลยสักนิด หรือว่านางจะมาจากอาณาจักรอื่นกัน
“ความเหม่อลอยไม่มีทางช่วยแก้ปัญหาอันใดหรอกนะ” หญิงงามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาดูท่าทางใจร้อนมิใช่น้อย นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “นายท่าน ท่านไม่อยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้หรือ”
“สถานการณ์ในตอนนี้งั้นรึ” เอิร์ลแพฟอสทวนคำเสียงแผ่ว ก่อนจะกล่าวเสียงเหยียดหยัน “พูดคุยหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้กับพวกนักเวทที่ไม่ได้ดีไปกว่าสุนัขจรจัดเช่นนั้นหรือ ท่านหญิง เรามันคนละระดับกัน อ้อ ข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไรดี”
สีหน้าของหญิงสาวผู้น่ารักกลับกลายเป็นเคร่งขรึม “ท่านจะเรียกข้าว่า ‘สตอร์ม’ ก็ได้ ส่วนเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าเชื่อว่า แม้แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ก็ยังกังวลเกี่ยวกับฐานะของพวกมันในตอนนี้นะ”
‘นี่คือท่าทีที่ถูกต้องสำหรับการเจรจาเช่นนั้นหรือ’ เอิร์ลแพฟอสค่อนข้างรู้สึกขบขันกับสตรีที่ฝ่ายนักเวทส่งมา นางดูไม่เต็มใจจะยอมแพ้เลยสักนิด
ทว่า ใบหน้าเขากลับดูเคร่งเครียดถมึงทึงยิ่งกว่าเดิมมาก หากมองข้ามความหยาบคายของนางไป คำพูดของสตรีนางนี้ก็ตรงกับความกังวลทั้งหลายของเขาอย่างยิ่งยวด
“เราไม่มีเวลามากนัก บ้านพักของท่านอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เรามาพูดแบบตรงไปตรงมากันเถอะ” ท่านหญิงสตอร์มมิได้สนใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของเอิร์ลแพฟอส และพูดรัวเร็ว “หน้าที่ของชนชั้นสูงคือการช่วยศาสนาจักรต้านทานนักเวท เอลฟ์ มังกร และกลุ่มลัทธินอกรีตอื่นๆ เมื่อท่านสูญเสียคุณค่านี้ไป ท่านก็จะไม่ต่างอะไรจากคนทั่วๆ ไป และทางศาสนาจักรก็จะปฏิบัติกับท่านตามที่พวกเขาเห็นชอบ”
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ ทางศาสนาจักรก็หวาดระแวงชนชั้นสูงมากกว่าสามัญชน ดังนั้นท่านจึงจำเป็นต้องรู้ว่าหน้าที่ของท่านคืออะไรและห้ามสูญเสียมันไป”
หลังจากนั้น แทนที่จะรอคำตอบจากเอิร์ลแพฟอส นางกลับแปลงกายกลายเป็นเงาและหายตัวออกไปจากเกวียน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตกลงกันได้หลังจากพูดคุยต่อรองเพียงครั้งเดียว การเจรจายังจำเป็นต้องทำอีกหลายครั้ง
เอิร์ลแพฟอสตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดขณะมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิดที่นางหายตัวไป
ที่ด้านนอก พายุยังคงโหมกระหน่ำ สายฟ้ายังส่งเสียงดังชวนตกใจ และมันก็มืดมิดราวกับวันสิ้นโลก