ยิ่งตกดึก อากาศในสุสานกลางแห่งใหม่ก็ยิ่งเย็น ลมพัดพาเสียงดังสนั่นจากการพังทลายไปถึงสัปเหร่ออีกคนที่อยู่ไกลออกไป สัปเหร่อรีบวิ่งมาดู
สัปเหร่อตะโกน เรียกสติโอลิเวอร์ที่กำลังมึนๆ หลังกระเด็นออกมาไกล
“เจ้าโง่! ดูที่เจ้าทำสิ! ถ้าคืนนี้เจ้าไม่กลบหลุมให้เสร็จ ข้าจะโยนเจ้าลงไปแทน! โธ่เว้ย!”
คำพูดของเขาหยาบคาย ยิ่งเห็นโอลิเวอร์มึนๆ งงๆ ยิ่งทำให้เขาโกรธขึ้นไปอีก เขาถุยน้ำลายใส่โอลิเวอร์แล้วเดินกลับไปที่กระท่อม
เมือกน้ำลายเหนียวๆ แปะลงกลางหน้าผากโอลิเวอร์ แล้วเขาก็อ้วกแตกอ้วกแตนออกมา เขาอ้วกจนไม่เหลืออะไรในท้อง แล้วน้ำดีขมๆ ก็เอ่อขึ้นมา
ไม่ใช่เพียงเพราะเมือกน้ำลาย แต่ยังของเหลวเหนียวเหนอะหนะและเศษเนื้อเน่าเต็มตัวเขา มือซ้ายของเขายังคงมีอวัยวะภายในเน่าๆ คามือ ส่วนในมือขวาก็มีกระดูกโคนขาหนาๆ
ภาพตรงหน้าเลวร้ายยิ่งกว่าฝันร้ายทั้งหมดที่เขาเคยฝันมา มันเกินไปกว่าคำว่าน่าขยะแขยง!
โอลิเวอร์รีบโยนอวัยวะภายในและกระดูกทิ้งแล้วกลั้นหายใจ เขารู้สึกว่ากลิ่นเน่าอันน่าสยดสยองนี้ฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ
ตอนนั้นเอง มีแสงสีฟ้ากระพริบๆ และวาบผ่าน จนเขาต้องหันไปมอง
สายตาโอลิเวอร์มองไม่พลาด เขาหันตามไปและต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นว่ากระดูกโคนขาชิ้นนั้นแตก และภายในมีแสงสีฟ้าส่องแสงผ่านรอยแตกออกมา
ความอยากรู้อยากเห็นและความหวังอันยิ่งใหญ่ทำให้เขาลืมกลิ่นเหม็นและความโสโครกบนตัว เขาเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล
เขาขยับเข้าไปใกล้กระดูกโคนขาชิ้นนั้นอย่างระมัดระวังและหยิบขึ้นมาดู
มีแสงสีฟ้าเปล่งออกมาจริงๆ!
โอลิเวอร์ไม่ผลีผลาม เขาได้รับบทเรียนมาแล้ว แทนที่จะไต่ศพปีนขึ้นไปที่ปากขอบหลุม เขามองไปรอบๆ จนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ เขาก็ค่อยๆ หักกระดูกออกอย่างระมัดระวัง
เขาหักอย่างเบามือ แสงสีฟ้าก็ค่อยๆ โผล่มาทีละนิด เมื่อกระดูกชิ้นเล็กๆ ด้านนอกแตกออก จนในที่สุด โอลิเวอร์ก็ถือแท่งสีฟ้าอ่อนสั้นๆ อยู่ในมือ แท่งนั้นดูค่อนข้างละเอียดอ่อนและโปร่งใส
โอลิเวอร์ตกตะลึง ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แล้วเขาก็รีบซ่อนแท่งแสงไม่ให้จอร์จและสัปเหร่อคนอื่นๆ เห็น
อะไรก็ตามเจอจากศพต้องส่งให้กับจอร์จ ซึ่งจะเลือกและคัดเอาของมีค่าให้กับพนักงานศาลาว่าการที่ดูแลสุสานและนักบวช หลายครั้งที่จอร์จและลูกน้องดึงของโอลิเวอร์เจอไปทันทีพอเขาเจอของมีค่า ไม่เพียงเท่านั้น จอร์จยังไม่จ่ายเงินให้เขาตรงเวลา แล้วยังให้กินแต่อาหารห่วยๆ องมื้อต่อวันเท่านั้น
โอลิเวอร์ต้องแท่งแสงไว้ใกล้ๆ แล้วค่อยขุดออกถ้ามีโอกาสไปจากที่นี่ ถ้าขายมัน คงได้เงินมาสักก้อน แต่ในตอนนี้ เขาสังเกตอักขระเล็กจำนวนมากๆ สลักอยู่บนแท่งแสงสวยๆ แท่งนี้ ซึ่งสีฟ้าราวกับน้ำทะเล
ชายหนุ่มที่รักละครโอเปร่าเช่นโอลิเวอร์ใช้ศึกษาตัวอักษรและรู้วัฒนธรรมต่างๆ มากมาย เขาจึงจำตัวอักษรพวกนี้ได้ในทันที มันเป็นซิลวานาส หนึ่งในสามภาษาที่ใช้กันมากที่สุดในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ!
เอกสารของท่านหญิงออเดรย์ช่วยให้โอลิเวอร์เข้าใจอักขระซิลวานาสได้มาก โอลิเวอร์มีความคิดมากมายเต็มหัว เขาวิเคราะห์ลำดับการอ่านที่ถูกต้อง จนพบว่าเป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำสมาธิ! ตรงส่วนท้าย เจ้าของยังระบุบนแท่งแสงด้วยว่าเขาฝังสมบัติไว้ที่!
ดิน น้ำ ลม ไฟ… นี่ใช่วิธีการเข้าฌานสมาธิของนักเวทหรือเปล่านะ? โอลิเวอร์ได้ฟังเรื่องราวมากมายจากกวีและบทละคร ล้วนเล่าเรื่องความชั่วร้ายของนักเวทที่กระทำต่อขุนนางและสามัญชน แต่ในตอนจบ นักเวทก็พ่ายแพ้เมื่อนักบวชและขุนนางร่วมมือกัน เขายังคิดไปถึงที่มาของแท่งแสง เขาเชื่อว่ามันมาจากนักเวทที่ทิ้งไว้ก่อนตาย หรือนักเวทคนนั้นอาจตั้งใจทิ้งไว้ให้ใครสักคน แต่คนๆ นั้นไม่เคยมา…
โอลิเวอร์เป็นคนโรแมนติก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปรารถนาชีวิตลึกลับแบบนักเวทที่คอยหนีการไล่ล่าของศาสนจักรเสมอ ในฐานะคนเคร่งศาสนา ความละอายต่อบาปของเขาก็ขัดแย้งกันหลายครั้ง เขาจึงไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายหรือหาทางฝึกเป็นนักเวทด้วยตัวเอง
แต่ประสบการณ์ที่เขาเจอในเรนทาโตยิ่งทำให้ศรัทธาน้อยลงเรื่อยๆ
ทำไมพระเจ้าทรงไม่เคยช่วยเขาในยามที่ทุกข์ทรมานขนาดนี้? ทำไมนักบวชปล่อยให้จอร์จและสมุนทำอะไรตามใจชอบ มิหนำซ้ำยังคอยปกป้องพวกเขา? ทำไมนักบวช ขุนนาง และพวกเศรษฐีตายแล้วมีโลงศพและสุสานดีๆ แต่คนจนๆ ไม่ว่าจะเคร่งศาสนาขนาดไหน ต้องถูกโยนลงหลุดแบบนะหรือ?
พระเจ้า แบบนี้มันยุติธรรมไหม?
ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็ต้องช่วยตัวเองด้วยวิธีของนักเวทไปก่อน
ไม่มีใครรู้ ต่อไป เขาอาจร่ำรวยและกลับมาศรัทธาพระเจ้าเหมือนเดิม
ความรู้สึกและความคิดที่ขัดแย้งกันผุดขึ้นในใจโอลิเวอร์ จนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจฝังแท่งแสงซ่อนไว้เพื่อใช้ในอนาคต แต่ถ้าเลือกเป็นนักเวทแล้ว เขาคงต้องใช้ทั้งชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยความหวาดกลัว เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น
โอลิเวอร์ฝังแท่งแสงไว้ข้างๆ ป้ายหินหลุมศพ และทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้ แล้วเขาก็เดินโซซัดโซเซกลับไปที่หลุมที่ขายังต้องกลบให้เสร็จ ไม่งั้นจอร์จกับลูกสมุนคงเล่นงานเขาอีกแน่ๆ
โอลิเวอร์รู้ดีว่าคืนนี้เขาคงไม่ได้นอน
แล้วจู่ๆ เขาก็ถูกเตะเขากลางหลัง และถูกชกจนลงไปกอง โอลิเวอร์เจ็บปวดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะแผ่นหลัง
“ไอ้ตัวขี้เกียจ! ไม่ทำห่าอะไรเลยวะ! อยากตายมากใช่ไหม?!”
เขาคือโกลด์สัน สัปเหร่ออีกคน เขากระทืบโอลิเวอร์เต็มแรงทั้งหมดที่มี
โอลิเวอร์ทำได้เพียงยกแขนกันส่วนหัวไว้ เขาม้วนตัวเป็นกุ้ง ปิดป้องส่วนที่เปราะบางจากหมัดเท้าเข่าศอกที่ลงมาราวกับห่าฝน
ไม่นาน โกลด์สันก็เริ่มเหนื่อย “ลุกขึ้น ไปทำงานได้แล้ว! หรือจะให้ข้าโยนเจ้าลงหลุม!”
ก่อนที่โอลิเวอร์จะตอบอะไร โกลด์สันหันหลังเดินกลับกระท่อม เขาไม่รู้ว่าโอลิเวอร์กำลังจ้องมองไปที่ป้ายหินหลุมศพที่มีสัญลักษณ์พิเศษด้านหลัง ตาของโอลิเวอร์มีเลือดคั่ง
โอลิเวอร์รู้ว่าคงต้องตายในไม่ช้าถ้าไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าเขาต้องตาย พวกมันก็ต้องไปพร้อมกัน!
เขาค่อยๆ ปีนขึ้นมา และเดินไปยังป้ายหินหลุมศพ พอขุดแท่งแสงออกมา เขาก็ลงไปซ่อนในหลุมและค่อยๆ อ่านข้อความบนแท่งแสง หลังจากจำอักขระได้หมด เขาก็ซ่อนแท่งแสงไว้ตรงหน้าอก
แล้วก็ปีนออกจากหลุม หยิบพลั่วเหล็กที่โกลด์สันทิ้งไว้ขึ้นมา
เขาตักดินกลบหลุม ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น โอลิเวอร์เดินไปที่กระท่อมด้วยสีหน้าแดงระเรื่อๆ พร้อมกับพลั่วในมือ เขาย่องมาเงียบๆ ไม่อยากให้โกลด์สันตื่น
พอเข้าไปในกระท่อม โอลิเวอร์ได้ยินโกลด์สันถามขึ้นแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น “เสร็จแล้วรึไง?”
เร็วเกินกว่าจะทำเสร็จ
“อันนี้มันทื่อ ข้าจะมาเอาอันใหม่” โอลิเวอร์พูดให้ดูเหมือนไม่สู้คน
“ไอ้ตัวขี้เกียจ” โกลด์สันสบถอีก “เสร็จงานแล้วลับพลั่วทั้งสองอันด้วย”
ศาลาว่าการจัดหาพลั่วมาให้ ลำพังพวกเขาเองคงไม่มีปัญญาซื้ออุปกรณ์ที่ทำจากเหล็ก
“ขอรับ” โอลิเวอร์พูด
จังหวะนั้นเอง โอลิเวอร์ย่องเข้ามาใกล้ๆ โกลด์สันจนยืนจังก้าอยู่ข้างหลังเขา แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านหน้าต่างและทอดลงบนตัวเขาเป็นแสงขาวนวลผ่อง ภายใต้แสงจันทร์เปล่งประกาย เงาของโอลิเวอร์ทอดไปบนผนังฝั่งตรงข้าม ยกพลั่วขึ้นกลางอากาศ!
แล้วก็ฟาดลงเต็มแรง
“อ๊าา!!!”
เสียงร้องทรมานของโกลด์สันดังขึ้นแค่วินาทีเดียว ก่อนจะถูกแทรกด้วยเสียงลมหายใจสุดท้าย เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าหนุ่มขี้ขลาดไม่สู้คนจากครอบครัวเศรษฐีที่เก่งแต่เรื่องเอาใจผู้หญิงจะกล้าฆ่าเขา!
โกลด์สันสะพรึง เขาไม่เคยระวังตัว เมื่อเผชิญหน้ากับคนขี้ขลาดเช่นนี้!
ความกลัวเกาะกุมหน้าของโกลด์สัน ดวงตาที่เหม่อลอยของเขาก็เบิกโพลง
เลือดจากพลั่วของโอลิเวอร์หยดลงบนพื้น เขาถ่มน้ำลายลงบนหัวของโกลด์สัน
“เป็นไงล่ะ? เอาอะไรไปได้บ้าง? เจ้าบอกว่าจะฝังข้า? มาสิ! ข้าอยากเห็น!” โอลิเวอร์ตะโกนใส่ศพอย่างบ้าคลั่ง
ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็สงบสติลง หลังหยิบเอาเศษเงินจำนวนหนึ่งจากกระเป๋าของโกลด์สัน โอลิเวอร์ก็สวมเสื้อผ้าของโกลด์สัน
แล้วโอลิเวอร์ก็เดินออกจากกระท่อม พลั่วยังอยู่ในมือ มือซ้ายยังกำแท่งแสงไว้แน่นใต้เสื้อ แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในความมืดอย่างเงียบๆ
ลมโหมกระหน่ำ คืนนี้ดูมืดกว่าปกติ ตอนนี้ ในสุสานกลางแห่งใหม่เหลือเพียงซากศพเท่านั้น
…
เชอร์ลีย์กุลีกุจอกลับมาที่หมู่บ้าน ก่อนนางเดินเข้าบ้านวิเซนเต้ นางถูกหญิงชาวนาคนหนึ่งเข้ามาห้าม
“ท่านหญิงเชอร์ลีย์อย่าเข้าไปเลยนะคะ วิเซนเต้ วิเซนเต้เป็นนักเวทค่ะ!” หญิงชาวนาพูดแบบกลัวๆ “โชคดีแล้วที่ท่านสองคนยังไม่ได้แต่งงาน!”
เชอร์ลีย์มึนไปทั้งหมดราวกับว่าโดนฟ้าผ่า นางดึงแขนของหญิงชาวนาแล้วถามว่า “วิเซนเต้… เป็นไปได้ยังไง?!”
ผู้พิทักษ์ราตรีไปถึงแล้วเหรอ?
“ท่านหญิงเชอร์ลีย์ ท่านรู้ไหมว่ามันเลวร้ายแค่ไหน! มีศพเต็มห้องใต้ดินของเขา! เขาเป็นนักเวทจริงๆ! นักบวชมาตรวจสอบแล้ว…” หญิงชาวนาอธิบายให้เชอร์ลีย์ฟังค่อนข้างชัดเจน จนเชอร์ลีย์รู้สึกว่านางกำลังจะเป็นลม
“แล้ววิเซนเต้อยู่ที่ไหน? ถูกจับไปหรือยัง?”เชอร์ลีย์พยายามสงบสติอารมณ์
หญิงชาวนาดูกังวลมาก ”ไม่นะคะ พวกนั้นบอกว่าเขาไปที่บึงตั้งแต่เช้ามืด!”
เชอร์ลีย์ถอนหายใจออกมา ตราบใดที่วิเซนเต้ยังมีลมหายใจ ก็ยังพอมีโอกาส!
นางเชื่อว่าวิเซนเต้ไปหาสมุนไพรพิเศษที่บึง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขายังโชคดี!
เชอร์ลีย์ขอบคุณหญิงชาวนาแล้วรีบกลับไปที่คฤหาสน์ นางหวังว่าจะเจอวิเซนเต้ที่บึง แล้วบอกให้เขาซ่อนตัวสักพักจนกว่าพ่อของนางจะช่วยแก้ปัญหา เขาไม่ใช่นักเวท เขาก็แค่ต้องเอาตำราเวทมนตร์ออกมา แต่นางก็รู้ดีว่าในฐานะสตรีสูงศักดิ์ ไม่มีทางที่นางจะข้ามบึงและเจอวิเซนเต้ที่นั่น นางอาจหลงทางได้
นางคิดจะส่งคนรับใช้ไปที่บึง ก่อนที่คนรับใช้ของนางจะรู้ข่าวว่านักบวชกำลังไล่ล่าวิเซนเต้ นางจะบอกคนรับใช้ว่าวิเซนเต้กำลังถูกพวกขุนนางจ้องล้างแค้น
ทันทีที่นางเดินเข้าไปในสวนของคฤหาสน์ประจำตระกูล ร่างๆ หนึ่งก็กระโดดออกมา
“เชอร์ลีย์ เจ้าชอบดอกไม้นี่ไหม? ข้าไปเจอมาที่บึง!” วิเซนเต้ดูค่อนข้างตื่นเต้น ระหว่างรอคำชมจากเชอร์ลีย์ ขณะที่มือของเขามีช่อดอกไม้สีแดงสด
………………………………………………………………………………………………….