ในฐานะ “นักรบ” ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน โอลิเวอร์คุมสติไม่ให้ตื่นตระหนกในสถานการณ์วิกฤติ เขาค่อยๆ ถอยออกมาตามสัญชาตญาณ ตวัดดาบสั้นในมือไปมา และพยายามมองหาทางหนี
แต่ทักษะการรบเขาก็เป็นรองหัวหน้ากรีกรา ซึ่งกุมความได้เปรียบจากความยาวของดาบและยังกระหน่ำฟันไม่หยุด โอลิเวอร์เข้าใกล้ไม่ได้ เขาไม่อาจใช้ประโยชน์จากดาบสั้น และไม่อาจใช้ตั้งรับการโจมตีได้อีกด้วย
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
หลังจากเสียงดาบปะทะกันสองสามครั้ง ดาบสั้นในมือก็ร่วงลงพื้น มือขวาของโอลิเวอร์โชกเลือด
กรีกราแสยะยิ้มน่าสยอง เขาสืบเท้าเข้าหาและตวัดดาบในแนวระนาบ ยิ่งทำให้ระยะการตอบโต้ของโอลิเวอร์เหลือน้อยลงไปอีก
อีกเพียงชั่วอึดใจ โอลิเวอร์ก็รู้ตัวแล้วว่าเขาถูกต้อนเข้ามุม ไม่มีว่าเขาจะหลบไปทางไหน ก็ไม่พ้นวิถีของดาบยาวที่กำลังส่องแสงวาบวับ
ข้าจะตายแล้วเหรอนี่?
ในจังหวะที่ดาบยาวเสียบเข้ามาในตัว โอลิเวอร์ก็รู้สึกว่าหัวหนักอึ้ง และเหมือนมีอะไรบางอย่างหลุดออกจากร่างของเขา เขาตาแดงก่ำ มือของเขาคว้าเอาวัตถุอย่างเดียวที่อยู่ในมือตามสัญชาตญาณ และยกขึ้นสวนดาบยาว
ฟิ้ว
หลังสิ้นเสียงอะไรบางอย่างทุ้มๆ โอลิเวอร์ก็สืบเท้าถอย หลังพิงผนังเย็นๆ เลือดชโลมนิ้วของเขายิ่งกว่าเดิม จนแท่งแสงสีฟ้ากลายเป็นสีแดง
“ฮิฮิ!” กรีกราดูไม่รู้สึกรู้สา โอลิเวอร์สู้เขาแทบไม่ได้ตอนใช้ดาบสั้น แล้วตอนนี้ก็ยิ่งเป็นไปได้ เพราะเขามีเพียงแท่งไม้ประหลาดๆ ในมือ
เรื่องเดียวที่เขาลังเลคือแท่งไม้สั้นๆ อันนั้น ดูแพงทีเดียว เขาคงเสียดายแย่ถ้ามันหัก
แต่พอนึกถึงห้องที่เต็มไปด้วยเพชรพลอยและอุปกรณ์เวทมนตร์ ความลังเลใจก็หายไป ยังไงก็มีสมบัติเต็มห้อง พอจะชดเชยกับแท่งไม้ที่ต้องพังอันนี้ได้ ตราบใดที่เขารีบสังหารโอลิเวอร์ และปิดปากถ้ำไม่ให้คนอื่นมาแย่งสมบัติกับเขา!
พอตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ตวัดดาบยาวช้าๆ ฟันจนแท่งไม้กระเด็นออกไป แล้วแทงดาบเข้าเต็มแผ่นอกของโอลิเวอร์
โอลิเวอร์มองปลายดาบแวววับ เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบเนิบช้าลง ดาบพุ่งเข้าหาแผ่นอกของเขาเชื่องช้าราวกับหอยทาก เหลือเพียงจิตของเขาเท่านั้นที่ยังรวดเร็ว ร่างของเขาก็ “ช้า” ไม่ต่างกับเท่ากับดาบของกรีกรา เขาทำได้เพียงเฝ้าดูดาบยาวเสียบทะลุตัวโดยทำอะไรไม่ได้เลย
ข้าจะตายเหรอ?
ข้าไม่อยากตาย!
เพียงชั่วพริบตา โอลิเวอร์ก็รู้สึกเหมือนอยู่ในสภาวะกลวงๆ ประหลาด แล้วดูเหมือนบริเวณหัวของเขามีรอยแตกยาว เขารู้สึกว่าอะไรบางอย่างทะลักออกจากวิญญาณของเขาเข้าไปในแท่งแสงสีฟ้าในมือ
เปรี๊ยะ
จาก “รอยแตก” ประหลาดบนแท่งแสง โอลิเวอร์รู้สึกว่าประตูเปิดออก แล้วทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยมหาสมุทรแห่งอาร์คไฟฟ้าสีเงินเล็กๆ
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
อาร์คไฟฟ้าสีเงินที่ออกมาจากแท่งแสงก็พุ่งเข้าใส่อวัยวะส่วนสำคัญของกรีกราโดยไม่มีอะไรขวางไว้ได้
หน้าและช่วงอกของกรีกราไหม้ดำเป็นตอตะโก ดาบยาวของเขาแทงเข้าร่างโอลิเวอร์ แต่กลับมีเพียงบาดแผลตื้นๆ เท่านั้น
ข้าจะตายได้ไง… ทั้งตกใจและสับสน เขามองไปแท่งไม้สั้นๆ ตรงหน้าที่ยังปล่อยกระแสไฟฟ้า ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาตรวจสอบมาตั้งแต่แรกแล้วว่าโอลิเวอร์ไม่ใช่นักเวทฝึกหัด เขาไม่น่าจะใช้แท่งไม้นั้นเป็น แม้มันจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ก็ตาม!
เป็นไปได้ยังไง? กรีกราตาย ตาเบิกกว้างด้วยความผิดหวัง
โอลิเวอร์ถือแท่งไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง หายใจหอบ หลังของเขาโค้งงอเป็นกุ้ง เขาปวดหัวจนเกือบจะล้มใส่กำแพง
เวลาผ่านไปนาน เขาก็เรียกสติกลับมา เขาค่อยๆ ผงกหัวขึ้น มีรอยเลือดจางๆ ในดวงตา รูจมูก และมุมปากของเขา
ตอนที่กลายเป็นนักเวทฝึกหัด พลังวิญญาณหลั่งไหลกระตุ้นแท่งแสงหรือเปล่า? เขาคิดสับสน แต่ทำไมสัญลักษณ์ตรงกลางหายไป? มันถูกลบแล้วเหรอ?
เขาส่ายหน้าและมองที่กรีกรา จับไม้เท้าไว้แน่น หัวหน้าทหารรับจ้างผู้น่าหวั่นเกรงที่เขากลัวมาตลอดนอนแผ่หลาไร้ลมหายใจ หน้าของเขาไหม้ดำ ดวงตาเบิกกว้าง เขาก็ตายได้เหมือนกับทุกๆ คน
ยังไม่มั่นใจ โอลิเวอร์นั่งยองๆ สำรวจศพของกรีกราอย่างระมัดระวัง หลังจากยืนยันว่าตายสนิท เขามองที่ไม้เท้าด้วยความสับสนและความดีอกดีใจ
“นี่เหรอพลังเวทมนตร์?”
เขาสงบสติลงโดยเร็ว รีบปิดปากถ้ำและเจอทางออกอีกทางหนึ่ง แล้วเขาก็เก็บตำรา อุปกรณ์ และอัญมณีลงในกระเป๋าเวทมนตร์ที่นักเวททิ้งไว้ แล้วกลับออกจากถ้ำ
ไม่ใช่เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่และพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาก่อน แต่เพราะที่นี่ไม่มีอาหาร เขาจะอดตายในสองสามวัน สัตว์ในเขตป่าแถวนี้ พวกมัน 90% ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขา เว้นแต่พวกสัตว์ที่ชอบไล่ล่ากันเอง
…
สองวันต่อมา เฟอร์นันโดก็มาถึงที่นี่ และเจอกับกลุ่ม “ระบำสั่นประสาท” องค์กรที่อพยพมาที่นี่ เท่าที่เขารู้ แม้ช่วงนี้เนตรคำสาปจะซ่อนตัวเงียบ เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ และได้รวมองค์กรเล็กๆ ไว้มากมาย เพื่อสร้างกองกำลังขึ้นมาทดแทนความสูญเสียจากศึกครั้งก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น ก็เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะไปทิศทางไหน
จริงๆ แล้วเขาก็ไม่รู้แหล่งกบดานของ “กลุ่มระบำสั่นประสาท” แต่เพราะเขาเข้าสำรวจพื้นที่และผ่านการทดสอบของนักเวทที่ควรให้เขาได้เข้าไป
“อ้าวเฮ้ย ตรงนี้มีกับดักเวทมนตร์” เฟอร์นันโดเคลื่อนที่บนพื้นอย่างระมัดระวัง แทนการบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเนื่องจากพฤติกรรมบ้าคลั่งในช่วงนี้ของผู้พิทักษ์ราตรี ด้วยพลังวิญญาณของเขา เขาก็ตรวจเจอกับดักที่เห็นได้ชัดจากการซ่อนกับดักที่ไม่ได้เรื่อง เขารู้เลยว่าคนวางกับดักเป็นพวกมือใหม่
“นี่เป็นสมบัติที่นักเวททิ้งไว้สินะ?” เฟอร์นันโดอารมณ์ดีขึ้นทันที ไม่ใช่เพราะเขาโลภ แต่เพราะว่า “สภาแห่งเวทมนตร์” เพิ่งก่อตั้งขึ้น ขาดทั้งอุปกรณ์และเงินทุน สหภาพนักเวทก็เสียหายย่อยยับในศึกที่โคคัส รองประธานสองคนที่รอดตายมาได้ก็แบ่งทรัพย์สินขององค์กรแล้วหนีไป เหลือไว้เพียงนครลอยฟ้าที่กลายเป็นซากปรักหักพังในสายตาดักลาสและเฟอร์นันโด ถ้าไม่มีทุนรอนจากแฮททาเวย์ การไปเยือนองค์กรต่างๆ ของเฟอร์นันโดคงน่าขายขี้หน้ามาก
แล้วเขาก็หยุดนิ่ง ร่ายเวทสำรวจสภาพแวดล้อม หลังตรวจสอบว่าปลอดภัยแล้ว เขาก็เริ่มทำลายกับดักเวทมนตร์
ราวๆ ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากทำลายกับดักหมดแล้ว เนินเขาตรงหน้าก็พังทลาย แล้วก็มีประตูปรากฏออกมา
หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เฟอร์นันโดก็บินทะยานเข้าไปอย่างร้นราวกับไฟ แต่ก็พบว่าอัญมณี วัสดุ และอุปกรณ์เวทมนตร์ส่วนมากหายไปหมดแล้ว
“ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ถ้าบังเอิญเจอเด็กใหม่นั้น ข้าคงถูกโดนหลอกแน่ๆ… เอาล่ะ อยากแนะนำเขาให้กับสภาจัง” เฟอร์นันโดบ่นด้วยความเสียดาย
ตามตำราเวทมนตร์ที่ถูกหยิบไปและร่องรอยการต่อสู้ที่เหลืออยู่ เขาสรุปว่าน่าจะเป็นนักเวทฝึกหัดมือใหม่ที่ขนสมบัติไปและเลิกเชื่อในพระเจ้า
…
ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเต็มหุบเขาที่มีหมอกจางๆ ปกคลุม
เอริก้าถือหนังสือเล่มหนาสีดำ นางอ่านมันอย่างหลงใหลและหยุดคำนวณเป็นครั้งคราว
“งั้นเราอยู่บนดาวเคราะห์…”
“แรงโน้มถ่วงเป็นแก่นพลังของโลกงั้นเหรอ?”
“ธาตุดินเป็นแหล่งกำเนิดแรงโน้มถ่วงงั้นเหรอ?”
“ดาวเคราะห์ทำงานแบบนี้สินะ…”
“มิน่า เราถึงตกลงมาอีกเวลาเรากระโดด…”
เสียงความเห็นและการวิเคราะห์สะท้อนอยู่ทั่วตัวเอริก้า นักเวทต่างๆ กำลังพูดถึง “หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์” ด้วยความตื่นเต้นหรือการใคร่ครวญ
หนังสือเล่มนี้ทำให้ความเข้าใจโลกที่ผ่านมาปั่นป่วน จนพวกเขารู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักโลกมาก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนังสือเล่มนี้อธิบายความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โลกปัญญาของหลายๆ คนคงพังทลายหรือรวมเป็นหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น พวกเขากลับรู้สึกว่าความคิดสดใสขึ้นมา
โลกเป็นแบบนี้เหรอ?
โลกมันเป็นแบบนี้!
พวกเขาแหงนหน้ามองดวงดาวเหนือม่านหมอก ดูเหมือนพวกเขาจะมองเห็นวิถีดวงดาวลึกลับ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว!
เอริก้าอ่านหนังสืออยู่พักใหญ่ก่อนจะวางหนังสือลงและกุมขมับทำท่าเหมือนหมดแรง การอ่านหนังสือเล่มนี้เจ็บปวดเหลือเกิน โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่มีความรู้พอ!
ดักลาสเคยสอนนางเรื่องแคลคูลัสมาก่อน แต่มันเป็นเพียงรากฐาน และยังมีรายละเอียดมากมายที่นางยังไม่รู้ การศึกษาหลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์จึงเป็นเรื่องยากสำหรับนาง นางตั้งใจจะเขียนถึงดักลาส แต่ก็ไม่รู้จะติดต่อเขาอย่างไร
พอเห็นเอริก้ากำลังกุมขมับ นักเวทที่อยู่รอบๆ ก็รีบวิ่งมาหานางราวกับกระต่ายและขอร้องนาง
“เอริก้า ถึงเวลาสอนแคลคูลัสแล้ว!”
“เจ้าคิดว่าข้อนี้ต้องแก้ยังไง”
“รูปแบบเวทมนตร์นี้แก้ด้วยแคลคูลัสได้ไหม?”
คำถามพวกนี้รบกวนโสตประสาทของเอริก้าราวกับแมลงวันตอมหึ่งๆ ทำให้นางอารมณ์เสียมาก
แต่เมื่อนางมองดูใบหน้าที่จริงจังของพวกเขา นางก็ใจอ่อนลงอีกครั้ง นางค่อยอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเองจากแคลคูลัสพื้นฐาน แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องแคลคูลัสเลย และอ่านเข้าใจเฉพาะเรื่องแรงโน้มถ่วงเท่านั้น
ขณะเดียวกัน นางก็อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้ หลายๆ คนเป็นนักเวทอาวุโสที่แข็งแกร่งกว่านางมาก แต่พวกเขาต้องขอให้นางสอน แม้แต่ท่านแอตแลนต์ก็ต้องถามเรื่องแคลคูลัสกับนาง แคลคูลัสเป็นความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ที่จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์โดยสิ้นเชิง!
เอริก้ามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเป็นสุขอย่างเอ่อล้น หลังการล่มสลายของอัลโต้ บรรดาสหายของนางต่างก็เย็นชาและสิ้นหวังไม่ต่างจากผีดิบ แต่“หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์” เป็นเหมือนประภาคารยามราตรีที่ขับไล่ความมืดและความสิ้นหวัง ทำให้พวกเขามีความหวังอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเวทมนตร์มีพลังไม่มากพอ แต่เพราะเรายังทำได้ไม่ดีพอ! ความเข้าใจต่อโลกนี้ตื้นเขินเกินไป!
หากมีความหวัง การสืบทอดเวทมนตร์ก็ไม่มีวันหยุด
เอริก้าเบะปาก แม้จะทั้งสุขและกังวล นางก็เริ่มสอนวิชาแคลคูลัสให้กับสหายนักเวท
แล้วตอนนั้นเอง นักเวทคนหนึ่งก็บินเข้ามาและถามผู้วิเศษที่กำลังถามคำถามกับเหล่านักเวท “ท่านรองประธาน นักเวทอาวุโสชื่อเฟอร์นันโดขอเข้าพบท่านที่บ้านพักขอรับ เขาผ่านการทดสอบแล้ว ท่านอนุญาตให้เขาเข้ามาไหมขอรับ?”
ก่อนที่รองประธานจะตอบ เอริก้าก็ลุกขึ้นยืนทันที “ท่านเฟอร์นันโด? เขาเก่งแคลคูลัสมาก!”
ดักลาสเคยบอกไว้!
นักเวทส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าดักลาสขึ้นชั้นตำนานไปแล้ว
“อะไรนะ? เขาเก่งแคลคูลัสมากเหรอ?” นางก็พูดไม่ทันจบประโยค นักเวทที่รวมตัวกันบนหุบเขาก็แตกฮือออกไป เหลือเพียงนักเวทที่มาส่งสารคนเดียวกับเอริก้าที่มองหน้ากันแบบงงๆ
…………………………………………………………………………………………………