พืชพันธุ์แปลกๆ ขึ้นรกเต็มบึง บางต้นนอกจากจะมีกิ่งก้านแผ่เป็นมงกุฎปิดท้องฟ้าแล้ว ยังมี “ขา” เหมือนมนุษย์แต่พันด้วยเถาวัลย์แดงแทงลึกลงไปในดินและโคลน ต้นไม้พวกนี้ทำให้บึงดูน่าขนลุกและอันตรายอย่างยิ่ง
วิเซนเต้ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินใหญ่ สูงประมาณครึ่งหนึ่งของเขา ใต้พื้นที่เขาเหยียบค่อนข้างแข็งและแห้งซึ่งหาได้ยากในบึงแบบนี้ กลิ่นเหม็นเน่าอันสยองที่ทะลักเข้าจมูกทำให้เขาเวียนหัว
วิเซนเต้นั่งลงบนพื้น และกำลังจ้องอะไรบางอย่างตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว บนโคลนสีดำ มีงูเหลือมยักษ์ลำตัวหนาอย่างกับถังน้ำกำลังเลื้อยเข้ามาหาเขา ตาของมันส่องแสงสีเขียวประหลาดราวกับแสงจากเทียนสองเล่ม มวลอากาศอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกจากตัวงู ขับไล่สัตว์อื่นๆ ออกไปบึงทั้งหมด
วิเซนเต้ไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาอยู่กับศพมาตลอด ซึ่งช่วยหล่อหลอมความกล้าของเขา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับงูเหลือมตัวนี้ เขาก็กลัวลนลานจนไม่อาจขยับตัว เขาไม่ใช่อัศวินฝึกหัดหรือนักเวทฝึกหัด เขาปกป้องตัวเองยังไม่ได้เลย
ขาของเขาอ่อนปวกเปียก ร่างกายสั่นเทา ปากสั่นจนฟันกระทบกัน วิเซนเต้พยายามจะยืนขึ้น แต่ไม่มีเรี่ยวแรง เขาทำได้เพียงมองดูมันเลื้อยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เขาไม่เคยหลงเข้ามาในบึงลึกนานขนาดนี้ เมื่อก่อนหน้า เขาแค่เดินตามเส้นทางที่คุ้นเคย พอเขาพบสมุนไพรวิเศษที่ต้องการ เขาก็จะกลับออกไปทันที แต่ตอนนี้ เขาติดอยู่ที่นี่ห้าวันแล้ว ผลไม้ส่วนใหญ่ที่เขาเก็บกินระหว่างทางก็หมดแล้ว แล้วตอนนี้ เขาก็ต้องมาเจอกับสัตว์ร้ายที่อันตรายที่สุดในบึง
เจ้างูเหลือมค่อยๆ คืบคลาน ดูเหมือนมันไม่เร่งรีบเขมือบมื้อกลางวัน มันเข้ามาใกล้วิเซนเต้เรื่อยๆ วิเซนเต้ได้กลิ่นเหม็นเน่าจากปากของมันและเห็นเกล็ดงูเรียงตัวเป็นลวดลายประหลาดๆ
วิเซนเต้หมดหวัง งูเหลือมสีดำก็ยกร่างส่วนหน้าขึ้นจากพื้น ตาโตจ้องไปที่ดินโคลนข้างหลังหิน แล้วลิ้นสองแฉกสีแดงเข้มก็ยื่นออกมา มีแสงสีเขียวปกคลุม
เพียงชั่วครู่ เจ้างูเหลือดำก็ม้วนหัวกลับและรีบหนีไป!
วิเซนเต้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย!
และแล้ววิเซนเต้ก็มีคำอธิบายที่เป็นไปได้ เขาฝังตำราเวทมนตร์และมือซีดๆ ไร้ชีวิตชีวาข้างหลังไว้หลังก้อนหิน หรือมันไล่เจ้าปีศาจไป?
แต่มันฝังอยู่ใต้ดิน!
เขาค่อยๆ ปะติดปะต่อทีละน้อย งูเหลือมสีดำอาจสัมผัสถึงอะไรบางสิ่งที่เขาสัมผัสไม่ได้ เจ้างูเหลือมอาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความตายรังสีมรณะ!
บางทีในสายตาของงูเหลือ อาจมีนรกฝังอยู่ในหิน!
หลังจากฟื้นสติขึ้นมาได้ วิเซนเต้ก็ฝืนใจทิ้งตำราเวทมนตร์และซากมือฝังไว้ที่เดิม และค่อยๆ ขยับเข้าไปที่ริมบึง
เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งวันกว่าจะไปถึงริม แต่ก็ไม่เห็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอะไร
วิเซนเต้ค่อนข้างผิดหวัง เขาคิดไปเองว่าปัญหาครั้งนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ท่านบารอนเจอปัญหาเหมือนกัน เพราะถึงยังไงก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วย การทารุณกรรมศพก็ถือเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย แม้แต่คนธรรมดาก็อาจถูกจับใส่ตะแลงแกง
เขาถอนหายใจและตัดสินใจว่าจะรอไปอีกห้าวัน ระหว่างทางกลับที่ซ่อน เขาก็เก็บของกินไปเพิ่ม
……
“เชอร์ลีย์ตายแล้วเหรอ!” บารอนเบรนเซลล์ตาเบิกกว้าง เขารู้สึกว่ากำลังฝันร้ายที่ไม่ใช่เรื่องจริง
ผู้พิทักษ์ราตรีคนนี้มีสองตากลมโต หน้าผากกว้าง ฟันก็ยังแหลม ถ้าเขาไม่พูด ก็ดูน่าจะไว้ใจได้ แต่พอยิ้มหรือพูดเท่านั้นแหละ ฟันแหลมๆ ก็โผล่ออกมา ทำให้เขาดูน่ากลัวทีเดียว ในสายตาของบารอน เขาดูไม่ต่างกับปีศาจ
หมาบ้าตอบ “ตายแหละ แค่อยากรักษาความลับของนักเวทชั่วๆ นางยอมตายด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์”
“เจ้าบ้าไปแล้ว! พวกเจ้าทุกคน! กล้าดียังไงถึงทรมานนาง!” ภริยาท่านบารอนกรีดร้องโวยวาย
บารอนจับใจความเหตุผลสุดท้ายเขาอ้าง และจ้องหน้าผู้พิทักษ์ราตรี “เจ้าจะบอกว่า… เชอร์ลีย์ไม่พูดอะไร! ก่อนตาย นางก็ยังเป็นผู้ศรัทธาพระเจ้า! ไม่มีหลักฐานอะไรเลยด้วยซ้ำ!”
ไฟแห่งความโกรธแค้นและเจ็บปวดกำลังแผดเผาเขา ถ้าทำได้ เขาอยาจะเอาหัวโขกประตูเมืองโคคัสจนตาย เพื่อฟ้องร้องกับแกรนด์ดยุกและขุนนางทั้งหลายว่าผู้พิทักษ์ราตรีพวกนี้บ้าคลั่งไร้สติ และต้องถูกกำจัด!
หมาบ้าตอบ “พระผู้เป็นเจ้าบอกเราว่ามีเพียงพลังชั่วร้ายเท่านั้นที่ทำให้นางทนถูกทรมานโดยไม่สารภาพอะไรออกมาได้ และพลังชั่วร้ายก็ปลิดชีพนางก่อนจะสารภาพ ลูกสาวของเจ้าถูกปีศาจเข้าสิงและมีสัมพันธ์สวาทกับนักเวท”
“บ้าไปแล้ว… พวกเจ้าทุกคน… บ้าไปแล้ว…” พอได้ฟังเหตุผลประหลาดๆ บารอนก็รู้สึกว่าทั้งโลกไม่ใช่เรื่องจริงอีกแล้ว เขายังบ่นต่อไป
หมาบ้าแสยะยิ้ม “ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีเหตุผลให้สงสัยว่าครอบครัวของเจ้ามีส่วนพัวพันกับนักเวทด้วยเพราะเจ้าสองคนยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับนักเวทชั่ว ตามเรากลับไปที่คณะไต่สวน นี่คือประสงค์ของพระเจ้าและคำสั่งจากพระคาร์ดินัล”
โลกของบารอนและภริยาพังทลาย ลูกสาวคนเดียวเพิ่งตายไป ทั้งสองยังเจ็บปวดไม่ทันหาย แล้วผู้พิทักษ์ราตรีที่ไร้สติยังมายุ่มย่ามกับทั้งสองอีก
กลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีนำขบวนตัดผ่านฝูงชน จับตัวบารอนและภริยาไป
“ปล่อยพวกเรา! เราเป็นขุนนาง!”
“พวกเราเป็นขุนนาง!”
……
ณ บ้านหลังหนึ่งภายในเมือง แอนดรูว์และสหายอีกสองคนต่างตกใจ เมื่อได้ยินรู้เรื่อง
“เป็นไปได้ยังไง? เชอร์ลีย์… นางตายแล้วเหรอ?”
“พวกมันจับบารอนกับภริยาโดยไม่มีหลักฐานเลยรึ?”
“ต่อไปพวกมันคงทำกับเราเหมือนกัน…”
พวกเขาหน้าซีดเผือด ควบคุมไม่ให้ตัวหยุดสั่นไม่ได้ ข้อกล่าวหาปลอมๆ สร้างปีศาจที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจจริงๆ ปีศาจตัวนั้นชื่อว่า “ผู้พิทักษ์ราตรี”!
……
“ไม่ใกล้เคียงลูกสาวเลย” เจ้าหน้าที่สืบสวนเดินออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
“ได้อะไรบ้างไหม” หมาบ้าถาม
เจ้าหน้าที่สอบสวนพยักหน้า “สองสามปีก่อน ตอนที่ศึกอัลโต้ยังคุมเชิงกันอยู่ พวกมันเคยแอบติดต่อนักเวท แต่ก็เลิกยุ่งเกี่ยว หลังจากพระคุณเจ้าสังหารเจ้าแห่งความตาย”
“ดี นี่พิสูจน์ว่าวิธีการของเราได้ผล พวกมันซ่อนตัว แต่เราก็ยังหามันเจอ” หมาบ้าพูดอย่างภาคภูมิใจ เขาเชื่อว่าด้วยความศรัทธาที่บริสุทธิ์ ผู้พิทักษ์ราตรีสามารถชี้คนผิดได้โดยใช้สัญชาตญาณ แม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ
เจ้าหน้าที่สืบสวนยิ้มออกมา “ข้าไม่เคยชอบพวกขุนนางที่ย้ายฝั่งไปมา”
“แขวนศพลูกสาวพวกมันไว้ที่ตะแลงแกงสักอาทิตย์ รอดูว่าวิเซนเต้จะออกมาไหม?” สีหน้าของหมาบ้าดูป่าเถื่อนเหมือนๆ กับคำพูดของเขา “ส่วนผัวเมียคู่นี้ ข้าว่าเพชฌฆาตคงรอนานพอแล้ว…”
……
แอนดรูว์เดินวนไปวนมาในห้องโถงอย่างกระวนกระวาย รอข้อมูลจากเมืองโคคัส สหายสองคนของเขาเป็นลมอยู่ในรถม้า เรื่องที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมายไปหมด
“นายน้อยขอรับ ทางโคคัสแจ้งให้ขุนนางอยู่ในความสงบขอรับ…” พ่อบ้านกระหืดกระหอบเดินเข้ามา
แอนดรูว์รู้สึกว่าเขากำลังจะหมดแรง “ข้าว่าแล้ว ข้าว่าแล้ว…”
ในภาวะตื่นตระหนก แม้ขุนนางทุกคนเต็มใจที่จะรวมใจกันเป็นหนึ่ง ก็ไม่ได้เป็นเพียงภัยต่อศาสนจักรแม้แต่น้อย!
ตอนนั้นเอง มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู
“ใครกัน?” พ่อบ้านถามด้วยความประหม่า
“ข้ามารับรางวัล” หมาบ้าที่เพิ่งเดินเข้ามาพูด
แอนดรูว์กัสหายสะดุ้งโหยงกระโดดตัวลอย “เจ้า?!”
“จะเบี้ยวกันเหรอไง?” หมาบ้ายิ้มเจ้าเล่ห์
“เปล่า เปล่า… นี่เงินส่วนที่เหลือ” แอนดรูว์หยิบถุงเงินหนักๆ ออกมา
หมาบ้าลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็ยิ้ม “ดี เจ้าเป็นหุ้นส่วนที่ดี”
จากนั้นเขาพูดพร้อมกับยิ้มอ่อน “ขอบคุณเจ้ามาก ท่านแอนดรูว์ เจ้าทำให้เราเข้าใจว่าเรามีอำนาจแค่ไหน”
แล้วหมาบ้าก็หันหลังจากไป แอนดรูว์ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน ลมพัดเข้ามาทางประตูทำให้เขารู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ
……
สองสามวันต่อมา วิเซนเต้ก็กลับมาที่ริมบึงอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย
เขาเป็นกังวลหนัก จนตัดสินใจเสี่ยงแอบกลับเข้าเมือง
ท่ามกลางความมืดมิด เขาย่องกลับไปที่หมู่บ้าน ขณะที่กำลังจะ “ลากตัว” เด็กคนหนึ่งมาถามข้อมูล ก็ได้ยินเสียงหญิงชาวนาสองคนคุยกัน
“ท่านหญิงเชอร์ลีย์ผู้น่าสงสาร ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางถูกปีศาจเข้าสิง…”
จากการโฆษณาชวนเชื่อของศาสนจักร แม้แต่หญิงชาวนาก็ยังเคยได้ยินเรื่องปีศาจเข้าสิง
“ข้าก็คิดเหมือนกัน ท่านหญิงเชอร์ลีย์เป็นหญิงสาวที่จิตใจดีราวกับนางฟ้า เพราะเจ้าวิเซนเต้! มันหลอกท่านหญิงเชอร์ลีย์! ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ท่านหญิงเชอร์ลีย์คงไม่ต้องมาตายในการสอบสวนและยังถูกใส่ตะแลงแกงอีก!” หญิงชาวนาอีกคนเห็นด้วย
เชอร์ลีย์… ตายแล้ว?
บทสนทนาของผู้หญิงทั้งสองเป็นเหมือนค้อนอันใหญ่ทุบสมองวิเซนเต้เข้าอย่างจึง ตาเขาเบลอทันที จนเกือบเสียการทรงตัว
ผู้หญิงสองคนนั้นยังพูดคุยกัน เขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขามัวซ่อนตัวอยู่ที่บึง
วิญญาณของเขาถูกทุกข์ทรมานดึงออกจากร่าง จิตใจของเขาก็ว่างเปล่า เขาเดินกลับไปที่บึงในสภาพราวกับผีดิบ
เขาอาจได้รับพรจากเทพีแห่งโชคชะตา ระหว่างทางกลับ ไม่มีใครเห็นเขาเลย และยังก็ไม่เจอสัตว์ประหลาดสักตัว
“ไม่!!!”
ไม่นาน ก็มีเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสดังออกมาจากที่ไหนสักแห่งในบึง เสียงนั้นขมขื่นยิ่งกว่าเสียงหมาป่าเดียวดายหอนเย้ยพระจันทร์เสียอีก
น้ำตาเต็มหน้าวิเซนเต้ ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยเพลิงแค้น เขาคุกเข่าลงกับพื้น มือขุดลงไปในดินราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บปวด เขาขุดดินจนเล็บหักหมด เลือดของเขาก็ชโลมดิน
ไม่กี่นาทีต่อมา หนังสือสีดำสองเล่มและซากฝ่ามือซีดขาวก็ถูกขุดออกมา
เขาหยิบมันขึ้นมา ใบหน้าของเขาเหลือเพียงความเกลียดชัง
……
“เขายังไม่มาอีก?” หมาบ้าถาม เขาซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่ง และจ้องศพที่แขวนบนตะแลงแกง
เทมเมอร์ยิ้ม “มันชัดเกินไป พวกนักเวทนั้นรู้ทัน”
“สาวน้อยผู้น่าสงสาร นางยอมตายเพื่อเขา” หมาบ้ายักไหล่
ตะแลงแกงมีไว้เพื่อ “ชำระบาป” คนเป็น นางจึงไม่ถูกเผา
ผู้คนมากมายหยุดและด่าประณามหญิงชั่วที่สมรู้ร่วมคิดกับปีศาจและนักเวท มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักเชอร์ลีย์จริงๆ และรู้เรื่องจริง แต่พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร
ท่ามกลางฝูงชน ชายผิวคล้ำจ้องร่างของเชอร์ลีย์แต่ยังคงนิ่งเงียบ สายตาที่เขามองนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพราะเขานึกภาพไม่ออกว่าคนรักของเขาต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน เขาหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ในที่สุด เขาก็หันหลังกลับมุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง เขาไม่เคยหันกลับมามองเลยด้วยซ้ำ
เขาเดินออกประตูไป แล้วเขาก็ถอดไม้กางเขนที่สวมออก เขาทรงถือไม้กางเขนไว้ในมือและให้สัตย์ปฏิญาณออกมา ปลายไม้กางเขนทิ่มทะลุผิวหนัง เลือดท่วมมือ
เขาวางไม้กางเขนไว้ที่ผนังข้างประตูเมืองเงียบๆ แล้วเดินหายเข้าไปในความมืด
“ข้าจะกลับมา!”
“ข้าจะกลับมาชุบชีวิตเจ้า!”
“ข้าจะกลับมา พร้อมกับความพินาศและความตาย!”