เธอคิดว่าระยะหลังนี้เขามักจะปรากฏตัวอย่างลึกลับเสมอ และมักจะตามหลอกหลอนเธออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนจนเธอรู้สึกปวดหัว
สะบัดหัว ข่มความรู้สึกเหนื่อยหน่ายไว้ในใจ ช่างเถอะ ก็แค่กินข้าวมื้อเดียว กลัวอะไร
นอกหน้าต่าง อากาศกำลังดี แสงอาทิตย์สาดส่องพื้นโลก สามลมพัดแผ่วเบา ทำให้ผ้าม่านในออฟฟิศของฉู่เจียเสวียนพริ้วไหวบางๆ
เที่ยงครึ่ง ที่ร้านอาหารเก๋อหลิน
ฉู่เจียเสวียนปรากฏตัวที่ร้านอาหารตรงเวลา มองเห็นเงาที่คุ้นเคยมาแต่ไกล เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินเข้าไป ท่าทีสง่างามและสูงส่งนั้นดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
“ประธานเผย” เมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเผยหนานเจวี๋ย ฉู่เจียเสวียนเอ่ยอย่างมีมารยาท
มองสีหน้าที่เย็นชาของเผยหนานเจวี๋ยด้วยแววตาเยือกเย็น
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉู่เจียเสวียน ริมฝีปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย ความยินดีวูบผ่านส่วนลึกในแววตา “นั่งสิ”
ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้ฉู่เจียเสวียนนั่ง ฉู่เจียเสวียนก็ไม่เกรงใจ พยักหน้าให้เผยหนานเจวี๋ย จากนั้นก็นั่งลงอย่างสง่างาม
ผลักเมนูให้ฉู่เจียเสวียน “ดูสิว่าคุณอยากกินอะไร”
“วันนี้ทำไมประธานเผยอารมณ์ดีจังเลย เลี้ยงข้าวฉันด้วย?” ฉู่เจียเสวียนหยิบเมนูขึ้นมา พลิกดูรายการอาหารด้านใน
“เชิญคุณกินข้าวต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” เผยหนานเจวี๋ยถามกลับ แววตาเปื้อนยิ้ม
บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบมาก มีเพลงเปิดคลอเบาๆ
สายตาของแต่ละคนหยุดอยู่ที่เผยหนานเจวี๋ยกับฉู่เจียเสวียน เวลาที่สองคนอยู่ด้วยกัน มันช่างน่าทึ่งจนผู้คนไม่สามารถละสายตาได้ ชายหล่อสาวสวย ช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
เดิมทีบรรยากาศของทั้งสองค่อนข้างกลมกลืนกันดี แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ฉู่เจียเสวียมองดูสายเรียกเข้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกงจวิ้นฉือ
“เบาะแสที่คุณให้ผม ตอนนี้ผมหาเจอแล้ว” เสียงที่อบอุ่นของกงจวิ้นฉือดังขึ้น เพียงแต่น้ำเสียงนั้นมีความอ่อนล้าเล็กน้อย
“ใช่เธอหรือเปล่า”
“ใช่ เจียเสวียน ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก ในที่สุดก็หาหนอนบ่อนไส้เจอ ไม่งั้นขืนปล่อยต่อไป บริษัทกงของพวกเราก็จะล้มแน่” น้ำเสียงของกงจวิ้นฉือเผยความยินดี ในที่สุดเขาก็โล่งใจได้แล้ว
“มั่นใจแล้วก็ดี ฉันยังนึกว่าเบาะแสของฉันพลาดซะอีก”
“จะเป็นไปได้ยังไง ผมเชื่อในความสามารถของคุณมาโดยตลอด”
“ฉันกะว่าจะกลับไปช่วยที่ร้านชุดแต่งงาน ตอนนี้บริษัทกงก็หมดเรื่องแล้ว และมีประธานหยางอยู่ด้วย” ฉู่เจียเสวียนทำให้งานที่ร้านชุดแต่งงานล่าช้านานเกินไปแล้ว
ช่วงนี้เธอทำงานที่บริษัทกงตลอดเวลา ไม่เคยกลับไปที่ร้านชุดแต่งงานเลย กิจการเป็นอย่างไรบ้างเธอก็ไม่รู้ แม้เธอจะรู้ว่าถังถังจะจัดการงานที่ร้านชุดแต่งงานเป็นอย่างดีแน่นอน แต่ว่าถึงอย่างไรเธอก็เป็นหนึ่งในเจ้าของร้าน และต้องทำในสิ่งที่ควรทำ
“คุณจะไม่กลับมาที่บริษัทกงแล้วเหรอ” กงจวิ้นฉือเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ คิ้วขมวดกัน
“ถ้าฉันมีเวลาฉันจะกลับไปดู ฉันอยากใช้ตั้งใจกับร้านชุดแต่งงานสักหน่อย”
“ก็ได้ ร้านชุดแต่งงานคุณทางนั้นก็ต้องมีคนดูแล อีกอย่าง…” กงจวิ้นฉือพูด พอพูดถึงประโยคสุดท้ายก็หยุด
เขาจะพูดเรื่องนี้กับฉู่เจียเสวียนอย่างไรดี ก่อนหน้านี้เขาส่งคุณย่าไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเนื่องด้วยอาการของโรคหัวใจ ตอนนี้คุณย่าของเขากลับมาแล้ว กลับมาครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะต่อต้านฉู่เจียเสวียนหรือเปล่า แม้จะบอกว่าคุณย่าเห็นด้วยที่เขาคบกับฉู่เจียเสวียนแล้ว แต่ว่าเธอรบเร้าให้พวกเขาสองคนแต่งงานกันมาเป็นเวลานาน แต่พวกเขาไม่ยอมแต่งมาโดยตลอด ตอนนี้คุณย่าของเขาจึงมีอคติกับฉู่เจียเสวียนเล็กน้อย
กลับไปครั้งนี้ เขากลัวว่าคุณย่าจะต่อต้านฉู่เจียเสวียน
คุณย่าเขาไม่ได้ชอบฉู่เจียเสวียนตั้งแต่แรก ต่อมาอุตส่าห์รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว อุตส่าห์เห็นด้วยแล้ว แต่ว่าพวกเขาทั้งสองไม่ยอมรับปากเรื่องแต่งงาน จึงเริ่มมีอคติกับฉู่เจียเสวียนอีกครั้ง เขากังวลว่าคุณย่าจะทำให้ฉู่เจียเสวียนลำบากใจ
“จวิ้นฉือ เป็นอะไรไป มีอะไรคุณก็พูดมาเถอะ” พูดกันอยู่ดีๆ ทำไมเงียบไปซะล่ะ อีกอย่างอะไรเหรอ เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอหรือเปล่า
“คุณย่าผมกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาอาจจะอยากเจอคุณ” อย่างไรเสียก็บอกเธอดีกว่า ให้เธอได้เตรียมใจ
“คุณย่ากลับมาแล้วเหรอ” ฉู่เจียเสวียนพูดด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี ควรจะดีใจหรือว่าควรจะตื่นเต้น เธอไม่ได้เจอคุณย่าของกงจวิ้นฉือนานแล้ว
จำได้ว่าคุณย่าของกงจวิ้นฉือบอกให้พวกเขาแต่งงานโดยเร็วที่สุด แต่พวกเขาไม่เคยรับปากเธอเลย เธอโกรธจนแทบหัวใจวายแล้ว
“ใช่” กงจวิ้นฉือพยักหน้า
ฉู่เจียเสวียนรู้สึกปวดหัวทันที ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคุณย่าของเขาได้อย่างไร เธอกลัวจริงๆ ว่าเธอจะให้เธอแต่งงานกับกงจวิ้นฉือ
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันวางสายก่อน ฉันกำลังกินข้าวเที่ยง”
“ได้”
หลังจากวางหู ฉู่เจียเสวียนมองอาหารบนโต๊ะ จู่ๆ ก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาหาร
เผยหนานเจวี๋ยเห็นว่าฉู่เจียเสวียนวางสายแล้วคิ้วขมวดกัน ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “กับข้าวไม่ถูกปากเหรอ”
ฉู่เจียเสวียนส่ายหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วลงมือกิน
“คืนนี้ผมจะบินไปอเมริกาแล้ว ผมไม่อยู่หลายวัน คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี” มองฉู่เจียเสวียน เผยหนานเจวี๋ยกล่าวด้วยความรักลึกซึ้ง
“อ่อ เดินทางปลอดภัย” ฉู่เจียเสวียนพูดอย่างมีมารยาท ที่แท้เขาเชิญเธอมากินข้าวเพราะว่าจะออกนอกประเทศแล้ว
ในใจรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด พูดไม่ออกว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีความรู้สึกแบบนี้ อาจเป็นเพราะคุณยาของกงจวิ้นฉือใกล้จะกลับมาแล้วล่ะมั้ง
มองดูฉู่เจียเสวียนที่มีท่าทีเย็นชาและห่างเหิน เผยหนานเจวี๋ยพ่ายแพ่ให้กับท่าทางของเธอแบบนี้จริงๆ
ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เธอก็มักจะเย็นชากับเขาเช่นนี้เสมอ
เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเธอกับเขาดูเหมือนจะยิ่งไกลออกไปทุกที เฮ้อ ถอนหายใจในใจ ทันใดนั้นรู้สึกว่าอาหารนั้นไม่อร่อยอย่างยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าฉู่เจียเสวียนอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาเหมือนมีภูเขามากั้น ไม่ว่าคุณจะเอื้อมมือออกไปเท่าไรก็ไม่ถึง
หลังจากกินข้าว ทั้งสองคนก็ยืนอยู่หน้าประตูร้านอาหารเก๋อหลิน
ดวงอาทิตย์ส่องสว่างอยู่ด้านนอก และส่องกำลังประกายอยู่บนตัวทั้งสองคน ให้ความรู้สึกสงบอย่างมาก ผู้ชายมีสีหน้าเย็นชา ส่วนผู้หญิงมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ฉู่เจียเสวียนหมุนตัวมาหาเผยหนานเจวี๋ย ก่อนที่เธอจะเอ่ยปาก เผยหนานเจวี๋ยยื่นมือดึงฉู่เจียเสวียนเข้ามากอด “เจียเสวียน ดูแลตัวเองให้ดี”
“เผยหนานเจวี๋ย ปล่อยฉันนะ!” คิดไม่ถึงว่าเผยหนานเจวี๋ยจะกอดเธอกะทันหัน เธอตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผลักเขา
“อย่าดิ้น แค่กอดนิดเดียว นิดเดียว” เผยหนานเจวี๋ยกอดเธอแน่นไม่หยุด
เขาไปต่างประเทศครั้งนี้ ก็ต้องจากเธอไปอีกหลายวัน
ฉู่เจียเสวียนได้ยินน้ำเสียงที่สิ้นหวังของเผยหนานเจวี๋ย รู้สึกปวดใจเล็กน้อยและลืมที่จะดิ้นรน จนกระทั่งเผยหนานเจวี๋ยคลายกอด มองเธออย่างลึกซึ้ง ไม่รอเธอตอบก็หันหลังจากไป
ทุกครั้งเขาจะเป็นฝ่ายมองดูเธอจากไป ครั้งนี้ก็ให้เธอมองดูเขาบ้างเถอะ
ฉู่เจียเสวียนยืนอยู่ที่เดิม มองดูเงาที่สูงตรงของเผยหนานเจวี๋ยที่ไกลออกไปเรื่อยๆ บอกไม่ได้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นแววตาก่อนจะจากไปของเขาหมายถึงอะไรกันแน่
เธอไม่ต้องการไปค้นหาความจริง ยิ่งไม่ต้องการจะสนใจ หันหลังกลับ ขึ้นรถแล้วจากไป
กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
บนเครื่องบิน เผยหนานเจวี๋ยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆที่อยู่นอกหน้าต่างดูเหมือนว่าสามารถเอื้อมถึงได้ ก็เหมือนกับฉู่เจียเสวียน ที่เดิมทีนึกว่าเพียงเอื้อมก็สามารถคว้าเอาไว้ได้ แต่ว่าระหว่างพวกเขากลับมีแม่น้ำขวางกั้น ไม่ว่าเขาจะเอื้อมสุดแขนแค่ไหนก็ไม่สามารถโอบกอดเธอได้