บทที่ 340 หวนคิดถึงอดีต
เจียงซิ่วลงจากภูเขาเทพ ตอนที่อยู่บนภูเขาเทพ เขาแทบจะคาดการณ์เวลาไม่ได้เลย และไม่มีแสงแดดด้วย ในที่สุดเขาก็สัมผัสถึงแสงแดดสักที เขาเงยหน้าขึ้น แสงแดดที่อบอุ่นทำให้เขาหรี่ตาทั้งสองดวง
ไม่เจอกันนานเลย
เมื่อกวาดตามอง ทุกๆอย่างล้วนเป็นซากปรักพัง บนพื้นดินไม่มีหญ้าเล็กๆเลย ทุกอย่างรอบตัวเงียบอย่างน่ากลัว แม้แต่เสียงยังไม่มี
นี้เป็นสภาพหลังระเบิดนิวเคลียร์ของเมืองฮ๋า
เจียงซิ่วคิดในใจ ถ้าเป็นเขาในตอนนี้ เขาสามารถอุ้มอาวุธจากไปอย่างปลอดภัย โดยร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆได้ เพราะความสามารถของเทพระดับล่างกับเทพระดับกลางไม่ใช่แตกต่างแค่หลายร้อยเท่า แต่เป็นความแตกต่างของระดับขั้น
สายลมจากท้องฟ้าพัดมาอย่างอบอุ่น ชวนให้นึกถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิในตอนนั้น แต่ตอนนี้น่าจะผ่านไปหลายปีแล้ว เขาคาดการณ์ว่าอากาศประมาณนี้น่าจะเป็นช่วงเดือนเมษายนหรือไม่ก็พฤษภาคม
เมื่อเดินตามทางไปสักหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ยังไม่เห็นเงาใครสักคน แม้แต่อสูรก็ไม่เห็นสักตัว ประเทศฮวาคงไม่สนใจพื้นที่นี้แล้วแหละ ช่างเถอะ เพราะขนาดอสูรยังรังเกียจ แสดงว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่เหมาะแก่การใช้ชีวิตแน่เลย
อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน จะได้ห้อยตัวเล่นบนต้นไม้ แต่ถ้าหากมีคนเห็นเข้าคงเก้อเขินน่าดู
เขาเดินตามความจำตลอดทาง จนในที่สุดก็เดินมาถึงสถานีสำรองสิ่งของที่เจอกับไกด์ตอนแรก รถจี๊ปคันเก่าก็ยังจอดอยู่ที่เดิม เมื่อเดินเข้าไปในสถานีสำรองสิ่งของ เขาก็หาประตูทางออกของตัวเองเมื่อตอนนั้นเจอ และเจอกระเป๋าเดินทางที่เฉิ่นหลิงซู่จัดเตรียมให้เขาไว้ด้วย เขารีบหาเสื้อสักตัวสวมใส่
ดูเหมือนว่าเหลียวต่งจะเป็นนรกสำหรับเจียงซิ่ว ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้ ครั้งนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อีก ทั้งตัวของเขาไม่มีเงินสักเมา โทรศัพท์มือถือก็ทำหาย
แต่ครั้งนี้ พลังของเจียวซิ่งเพิ่มขึ้นมาก เขาทะยานขึ้นท้องฟ้า และบินตรงไปทางพื้นที่ห่างไกล การโบยบินก็ถือว่าเหนื่อยเหมือนกัน ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็พบเมืองแห่งหนึ่ง เพียงแวบเดียวเขาก็ร่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็ว
ความวุ่นวายในเมืองดังในหูอีกครั้ง ตึกสูงตระหง่าน กลุ่มคนที่แน่นหนา เสียงบีบแตรรถยนต์เอะอะโวยวาย
บนหน้าจอในที่สาธารณะกำลังถ่ายทอดข่าวสาร คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครสนใจ แต่เจียงซิ่วกลับตั้งใจฟังอย่างละเอียด เขาอยากรู้ว่าหนึ่งปีมานี้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
เป็นดั่งที่เขาคาดการณ์ไว้ตอนแรก ดูเหมือนกลุ่มสิ่งมีชีวิตจะมีการพัฒนาด้านขุดเจาะบ่อน้ำมัน แล้ว วิวัฒนาการของนักพรตและเทพกลายเป็นผู้ควบคุมหลัก โดยเฉพาะเทพที่มีพลังแข็งแกร่ง ที่เปรียบตัวเองเหมือนดั่งเทพเจ้า เพราะมีอำนาจทำลายล้างที่รุนแรง อาจจะรุนแรงกว่าการเมืองเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังเป็นการจุดชนวนการเกิดอิทธิพลของนายทุน เริ่มมีการจ้างทหารเป็นของตัวเอง ตอนนี้กับปีที่แล้วโลกเปลี่ยนแปลงแทบทุกอย่างแล้ว ประเทศฮวานับว่าเป็นประเทศที่ควบคุมได้ดีที่สุดแล้ว ไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆที่ปล่อยให้อสูร เทพ มนุษย์อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันอย่างอลหม่าน
ข่าวสารในโทรทัศน์กำลังรายงาน หลังจากเมืองฮวาต่งถูกยึด อสูรหลากหลายประเภทก็เข้ามารุกรานและแอบอ้างความเป็นเจ้าของ จนเมืองฮวาต่งกลายเป็นถิ่นฐานขนาดใหญ่ของอสูรไปแล้วรูปภาพผู้ยึดเมืองต่งฮวาปรากฏบนโทรทัศน์อย่างชัดเจน เป็นอสูรนกขาวตัวหนึ่ง นกขาวลึกลับ นักข่าวสาวสวยเรียกชื่อว่าคุณไป๋
เป็นเขา
ตอนที่เห็นเขา เจียงซิ่วก็เผยรอยยิ้ม ที่แท้ก็คือไป๋เจวนทีเขาเคยเห็นตอนอยู่บนเครื่องบินนั้นเอง ชายที่มีกลิ่นอายเทพที่ถูกนกนับร้อยล้อมรอบ
นักข่าวที่อยู่ที่สูงในโทรทัศน์ก็พูดว่าไป๋เจวนเหมือนกัน ภูมิศาสตร์ของเมืองฮวาต่งเป็นภูเขาส่วนใหญ่ แต่ที่น่าแปลกใจคือมีเทือกเขาจำนวนมากด้วย เพียงแต่ตอนที่ระเบิดตอนนั้น มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก ตอนนี้ในสถานที่ยังมีมนุษย์อยู่อีกหลายคน
ตอนนี้เหมือนกับอยู่ต่างประเทศเลย ภูเขาสูงตระหง่านฟ้าเทียบฟ้า และมีเสียงดังกระหึ่ม แต่พื้นที่ในเมืองรถโดยสารจะขับตามเดิม ส่วนรถยนต์จะยังคงเคารพไฟสัญญาณจราจร ตึกร้างสูงไม่ได้ลดลงเลย แต่ในหนึ่งปีมานี้กลับมีการก่อสร้างมากขึ้น มีการพัฒนาที่ทันสมัย และเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ พิธีกรคิดว่าเป็นผลมาจากไป๋เจวน
“พี่ชาย ฉันขอยืมโทรศัพท์สักครู่ได้ไหม?”
คนนั้นมองเจียงซิ่วที่ในมือกำลังลากกระเป๋าเดินทางอยู่ ดูเหมือนจะเป็นคนนอกพื้นที่ “คุณทำโทรศัพท์หายหรอ แล้วไม่ทราบว่าคุณมาหาเพื่อนหรือมาเยี่ยมญาติ?”
“ใช่ ให้ผมยืมใช้โทรศัพท์หน่อยได้ไหม”
เมื่อคนนั้นเห็นว่าเจียงซิ่วมีหน้าหล่อเหลา และดูไม่มีท่าทีอันตราย อีกทั้งเสื้อผ้าก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ จึงยื่นโทรศัพท์ให้ และพูดว่า : “นี้”
“ขอบคุณ”
เจียงซิ่วรับโทรศัพท์มือถือไว้ และรีบโทรหาน่านกงโค่วเออร์ทันที ภาพบาดตาที่ทำให้โค่วเออร์เสียใจยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ถ้าเธอรู้ว่าฉันยังไม่ตาย เธอต้องดีใจมากแน่
เสียงในสายดังขึ้น : ขออภัย หมายที่คุณเรียกยังไม่เปิดใช้บริการค่ะ
จำผิดหรอ?
เป็นไปไม่ได้
เขาพยายามทบทวนเบอร์โทรศัพท์อีกครั้ง ก็ไม่ได้ผิดนะ เป็นเบอร์นี่แหละ และโทรไปด้วยความกังวลอีกครั้ง ผลปรากฏว่าเหมือนเดิม เป็นหมายเลขที่ยังไม่เปิดใช้บริการ
คาดการณ์ในใจเงียบๆ หรือว่าโค่วเออร์จะปิดบัญชีเบอร์โทรศัพท์แล้ว?
“เป็นไงบ้างน้อง?”
“โทรไม่ติดเลย ผมจะลองโทรเบอร์อื่นดูนะ” เมื่อได้บทเรียนจากเมื่อกี้ เจียงซิ่วก็พยายามนึกเบอร์โทรศัพท์ของคนสำคัญไม่กี่คน ครั้งนี้เขาลองโทรเบอร์ของหลินเหย่วหลิงผู้เป็นแม่ แต่หลังจากโทรไปก็เป็นหมายเลขยังไม่เปิดใช้บริการเหมือนกัน เจียงซิ่วโทรหาหวางซินโทงต่อ แต่ก็เป็นหมายเลขยังไม่เปิดใช้บริการเหมือนกัน
“ทำไหมโทรไม่ติดเลยสักเบอร์?”
เจียงซิ่วรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก โทรไม่ติดแค่สายเดียวยังพอว่า แต่โทรไม่ติดทั้งสามคนนี้ยังไง
“น้องชาย โทรศัพท์ใช้เรียบร้อยยัง ผมยังต้องใช้”
เจียวซิ่วทำได้เพียงคืนโทรศัพท์ให้พี่ชายคนนั้น แล้วพูดว่าขอบคุณอย่างเหม่อลอย คนนั้นรับโทรศัพท์มือถือคืน ตอนแรกเหมือนมีเรื่องจะพูด แต่พอเจียงซิ่วโทรไม่ติด เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและจากไป
“ไปก่อนนะ”
เทียบกับความสามารถของเจียงซิ่วแล้ว การนั่งรถไฟความเร็วสูงฟรีสักเที่ยวไม่ใช่เรื่องยาก เขาเดินลากกระเป๋าเดินทางเพื่อหาสถานีรถโดยสารประจำทาง แต่ไม่รู้ว่าสถานีรถโดยสารประจำทางอยู่ไหน เมื่อมองถนนข้างหน้าก็เห็นป้ายเขียนว่าโรงรับจำนำ เขาก็รีบไปและนำเสื้อผ้าและสิ่งของทุกอย่างในกระเป๋าจำนำไว้ และได้เงินค่าจำนำสามร้อยหยวน
จากนั้นก็ไปร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางกินก๋วยเตี๋ยวสองชาม เมื่ออิ่มแล้ว ก็โบกเรียกรถที่สถานีรถโดยสารประจำทาง
ภายในรถยนต์ติดใบประกาศว่า : ลด 20% สำหรับเทพ
เจียวซิ่วพูดในใจ ยังมีโปรโมชั่นแบบนี้ด้วย ฐานะทางสังคมของเทพสูงขนาดนี้เชียว : “คุณลุง ใบประกาศนี้จริงหรือเปล่าที่ลด 20% สำหรับเทพ?”
คุณลุงคนขับพูดว่า : “แน่นอน จริง คุณ คุณเป็นหรอ?”
เพราะเทพใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ
ตอนที่น่านกงโควเออร์ทำวิจัยในตอนนั้น อัตราส่วนของเทพมีจำนวนหนึ่งในหนึ่งแสนคน แต่ตอนนี้ใกล้จะเข้าหนึ่งล้านคนแล้ว แต่อัตราส่วนจำนวนเทพในประเทศฮวาเป็นคิดเป็นหนึ่งในไม่เกินหนึ่งแสนคน
ปกติแล้วเทพมักจะชอบอยู่รวมกัน ส่งนคนก็อยู่ร่วมกัน บนท้องถนนเลยพบเจอเทพสักองค์ยากมาก
ถ้าคุณเป็นเทพ ค่าโดยสารเที่ยวนี้ ฉันจะไม่คิดเงิน!
จริงหรอ?
แน่นอน แล้วตกลงคุณเป็นไหม?
แล้วจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าเป็นเทพล่ะ? ไม่สามารถให้คนขับรถหยุดรถได้ด้วย งั้นโชว์ลวกๆให้เขาดูล่ะกัน
คุณจะพ่นน้ำแข็งหรือพ่นไฟอะไรก็ได้ คนขับรถหันหน้ามองเจียงซิ่วด้วยใบหน้าคาดหวัง ใบหน้าของเจียงซิ่วหล่อเหลาราวกับแกะสลัก ดวงตาเปล่งประกาย มองเพียงหน้าตาก็แทบจะไม่ธรรมดาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขายิ่งคาดหวังสูงมากขึ้น
เจียวซิ่วยิ้มและส่ายหน้า
เปล่า!
เจียงซิ่วพูดว่า : พี่ชาย ขอสอบถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม พี่เคยได้ยินกลุ่มสิ่งมีชีวิตโดยธรรมชาติมาบ้างไหม?
คนขับรถพูดว่า : กลุ่มสิ่งมีชีวิตเทียนซี่งผมเคยได้ยิน เมื่อก่อนมีชื่อเสียงเลื่องลือมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แต่กลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้คือกลุ่มสิ่งมีชีวิตเทพ กลุ่มสิ่งมีชีวิตเทพแห่งสงคราม กลุ่มสิ่งมีชีวิตโบราณ กลุ่มสิ่งมีชีวิตสมัยประวัติศาสตร์…
เจียงซิ่วพูดว่า : “ทำไหมกลุ่มสิ่งมีชีวิตเทียนซี่งถึงดับไปล่ะ?”
คนขับรถพูด : “คุณนี่ช่างไม่รู้อะไร ผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังของกลุ่มสิ่งมีชีวิตเทียนซี่งคือเจียงโหลวเซี่ย ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งของประเทศจีนในตอนนั้นที่เกิดโศกนาฏกรรม เจียงโหลวเซี่ย กอดอาวุธนิวเคลียร์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อเสียสละตัวเองแก่ประชาชนจำนวนมากของเมืองฮ๋า ทำให้ผู้อาศัยทั่วทั้งเมืองฮาสูญเสียเจียงเล่อเซี่ย ผู้เป็นกองกำลังหลักของสิ่งมีชีวิตเทียนซี่ง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปไม่นานเหล่าผู้มีอำนาจของไต๋ยัวไท๋ต่างรำลึกถึงคุณูปการของเจียงโหลวเซี่ยอยู่ และให้การสนับสนุน แต่พอเวลาผ่านล่วงเลยไป เจียงโหลวเซี่ยก็ค่อยๆถูกหลงลืม สุดท้ายสิ่งมีชีวิตเทียนซี่งก็ไปต่อไม่ได้”
สายตาของเจียงซิ่วมองออกนอกหน้าต่าง เทียบทิวทัศน์เมื่อปีที่แล้วมีความเปลี่ยนแปลงไม่ถือว่ามาก แต่เขามีความรู้สึกหวนคิดถึงวันเก่าๆ ส่วนเรื่องกลุ่มสิ่งมีชีวิตเทียนซี่งเขาไม่ใส่ใจ เขาคิดแค่เรื่องผลกระทบของกลุ่มสิ่งมีชีวิตเทียนมากกว่า เพราะมันมีผลกระทบต่อพ่อแม่ของเขา และความปลอดภัยของเฉิ่งหลิงหราน
ข้างหน้าเป็นสถานีรถโดยสารประจำทางแล้ว เจียงซิ่ววางแผนว่าจะไปหาเฉิ่งหลิงหรานที่เมืองหลวงก่อน คนขับรถพูดว่า เป็นนักเรียนหรือครู อัตราส่วนจำนวนเป็นเทพมีน้อยมาก คนที่รู้ตัวก็จะลาออกจากโรงเรียน ส่วนคนอื่นๆ ก็ใช้ชีวิตตามเดิม