The King of the Battlefield – ตอนที่ 207

ตอนที่ 207

บทที่ 207: ความจริงหรือ…(4)

จี๊ด-! จี๊ด-!

มูยองสังเกตเห็นสัตว์ตัวเล็กๆที่อยู่ในเสื้อของหญิงสาว

มันเป็นหนูตัวขนาดเท่าสองกำปั้น แน่นอนว่ามันคือจักรพรรดิหนูสามขา

ช่งหลางที่กำลังฉุนเฉียวจึงถูกทำให้ชะงักอย่างช่วยไม่ได้

“หยุด”

มูยองพูดเบาๆ

กรรรรร!

ซ่งหลางเต็มไปด้วยความเดือดดาล ในขณะที่จิ้งจอกเก้าหางก็มีสภาพไม่ค่อยดีนักเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขามีทักษะเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามช่งหลางยังตั้งใจจะโจมตีต่อ

หมับ!

มูยองจับฟันซี่หนึ่งของซ่งหลางแล้วบีบแน่น

แคร๊ก!

“ ฉันบอกว่าหยุด”

ช่งหลางรู้สึกตกใจกับการกระทำของมูยองเป็นอย่างมากในขณะที่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

มูยองค่อยๆคิดได้ทีละนิด

‘การฆ่าไม่ใช่วิธีเดียว’

มีหลายอย่างที่ทำเพียงลำพังไม่ได้ ดังนั้นมูยองจึงรวมมนุษยชาติ และพยายามฝึกฝนพวกเขารวมไปถึงการกระตุ้นอย่างเหมาะสม ทั้งหมดที่มูยองต้องทำคือสร้างความสามัคคี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าบทบาทของเขาจะต้องโหดร้ายขนาดนั้นและฆ่าทุกคนทั้งหมด

‘เบซูจี’

หน้ากากที่เปิดขึ้นครึ่งหนึ่งทำให้ใบหน้าของเธอเผยออกมา เด็กที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายที่ห้องสมุดลอยฟ้า เธอโตเป็นวัยรุ่นแล้วเหรอ? แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะเปลี่ยนไปมาก แต่มันก็ยังดูคุ้นเคยสำหรับมูยอง

เขาไม่เคยคาดหวังว่าเธอจะเติบโตมากจนสามารถก้าวผ่านไปได้แม้กระทั่งซ่งหลางและจิ้งจอกเก้าหาง แต่มูยองจำได้ว่าซูจีมีอะไรบ้าง

‘ในร่างของเธอมีสายเลือดแห่งแสง’

พลังที่ใกล้เคียงที่สุดกับพลังแหล่งกำเนิด!

แม้ว่าช่วงแรกการเติบโตจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่มันเป็นพลังที่สามารถพัฒนาได้อย่างไม่จำกัดหากทุกอย่างผลิบาน

พลังที่ดูเหมือนจะถูกหล่อหลอมเข้าจนถึงแกนกลาง แผ่ออร่าความแข็งแกร่งออกไปด้านนอกราวกับดวงตะวันอันเจิดจ้า นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับโชควาสนาอื่นอีก นั่นจึงอธิบายว่าทำไมเธอถึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

‘เทวะพร’

จากมือของมูยองแสงอันเข้มข้นส่องออกมา เทวะพรเป็นทักษะการรักษาซึ่งสามารถฟื้นพลังชีวิตของคนที่ยังไม่ตายได้ เนื่องจากเป็นทักษะอันเยี่ยมยอดที่กาเบรียลมอบให้บาดแผลของซูจีจึงได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์

จากนั้นมูยองก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง และมอบคำสั่งให้กับจิ้งจอกเก้าหาง

“ ทำลายที่นี่ทิ้งซะ พังกำแพงทิ้งให้หมด ให้พวกเขารู้ว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัย”

“รับทราบ” จิ้งจอกเก้าหางเปลี่ยนกลับไปเป็นร่างมนุษย์ก่อนจะคุกเข่ารับคำสั่ง

มูยองหันหลังกลับ และอีกครั้งที่เขาคิดถึงบทบาทของตัวเอง

มูยองไม่ได้ต้องการให้มนุษยชาติสูญพันธุ์ และเพื่อทำลายเทพปีศาจมนุษย์จึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่จำเป็น

แม้เขาจะรู้เงื่อนไขในการสังหารเทพปีศาจบางตน แต่เขายังไม่มีความคิดโดยเฉพาะเจาะจงกับเรื่องนี้

บาอัล

เทพปีศาจที่นั่งลำดับ 1

วิธีที่จะเอาชนะบาอัลนั่นจำเป็นต้องอาศัยอการรวมตัวกันของมนุษยชาติหลังจากทำลายเทพปีศาจที่เหลือ

“ไปกันเถอะ”

เพื่อสิ่งนั้น มูยองจึงต้องทำลายกำแพงของพวกเขา แม้ว่ากำแพงจะให้ความปลอดภัย แต่มันก็ทำให้พวกเขาอ่อนแอและแตกแยก

***

ทุกคนหยุดชะงัก

แม้แต่แมงมุมก็หยุดสิ่งที่พวกมันทำ แทนการเข้าห้ำหั่นกับมนุษย์พวกมันหันไปมองด้านนอกของตัวเมือง

ดูเหมือนตรงนั้นกำลังมีดวงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้น

มันคือดวงอาทิตย์ที่เกิดจากบอลเพลิงขนาดใหญ่

“นั่น นั่นมันคืออะไร?”

“ เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก!”

ผู้คนตื่นตระหนกกับพลังรุนแรงที่ผิวหนังของพวกเขาสามารถสัมผัสได้!

และในขณะที่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุด

แซ่ดด! เปรี้ยงงง!

สายฟ้าสีดำภายในความโกรธเกรี้ยวก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และผสานเพิ่มเข้าไปยังเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์

นั้นยิ่งทำให้เปลวไฟที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดยิ่งเดือดดาลไม่ต่างอะไรกับระเบิดนิวเคลียร์

จากนั้นลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาก็เริ่มพุ่งเข้าหากำแพงของพวกเขา

“ เราต้องต้านมันไว้! ทุกคนใช้ทักษะการโจมตีระยะไกลทั้งหมดออกไป!”

“หยุดมัน!”

ทักษะการโจมตีหลายร้อยรูปแบบหลั่งไหลเข้าสู่ลูกบอลแห่งเปลวเพลิง

อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็น ‘นักเวทย์’ ในเกรทซิตี้

หากมีบททดสอบ ‘หอคอยแห่งปัญญา’ ของอามอนคงจะมีอาร์คเมจผู้ที่ตระหนักถึงแก่นแท้ของเวทมนตร์อยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่มันอยู่อีกด้านหนึ่งของเมืองนี้

ฟูมมมมมมมม!

บอลเพลิงค่อยๆกลืนกินกำแพง และในที่สุดกำแพงทั้งหมดก็พังทลาย อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนี้ และหลังการโจมตีดังกล่าว ชายคนหนึ่งที่มีปีกหกปีกก็ปรากฏตัวขึ้น

ชายที่บางคนรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างช่วยไม่ได้

“ เขาคือ…?”

“เป็นไปได้ยังไง…”

จากสองปีที่แล้วผู้ที่เคยเห็นมูยองตอนการทดสอบของปีศาจนภาเกิดขึ้นต่างกระซิบกระซาบกันด้วยความไม่น่าเชื่อ พวกเขาไม่เคยคิดว่ามูยองจะอยู่เบื้องหลังแมงมุมพวกนี้

ด้วยการแสดงออกอย่างจริงจัง มูยองพูด

“ สงครามเริ่มขึ้นแล้ว พวกนายมีเวลา 5 ปีสำหรับการเตรียมตัว จงสู้เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ หากพวกนายยังมัวแต่ยืนหลบอยู่หลังกำแพงมนุษยชาติจะต้องล่มสลาย”

นี่คือเป้าหมายของเขาตั้งแต่จุดเริ่มต้นเพื่อถ่ายทอดคำเหล่านี้ และปลูกฝังความระมัดระวังไปในตัว แต่แค่บอกให้พวกเขารู้มันจะเพียงพอหรือไม่?

มูยองส่ายหัว

หากคำพูดได้ผลสำหรับคนเกียจคร้าน พวกเขาคงไม่ถูกผลักดันให้สูญพันธุ์ในอดีต พวกเขาต้องการการกระตุ้นในระดับหนึ่งรวมถึงวิกฤตการณ์ด้วย

แน่นอนว่าเกรทซิตี้ยังถือว่าดีกว่าสถานที่อื่นๆ อย่างไรก็ตามถ้าทุกคนเชื่อว่าตนปลอดภัยพวกเขาก็มักเลือกที่จะอยู่อย่างสงบ

เหตุผลเดียวที่เทพปีศาจและราชาปีศาจยังไม่ได้โจมตีมนุษยชาติเพราะพวกมันกำลังขัดแย้งกันเอง เมื่อการขัดแย้งของพวกมันได้รับการแก้ไขเมื่อไหร่ทุกสายพันธุ์จะต้องดับสูญ

มูยองวางแผนที่จะหยุดมหาภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้

‘ฉันจะซื้อเวลาให้พวกนายเอง’

เขาคิดว่าเวลาห้าปีเวลามากพอที่จะซื้อได้หลังจากเทพปีศาจหยุดการขัดแย้งภายใน

‘การปรากฏตัวของเดียโบลกลายเป็นตัวแปรสำคัญ’

แต่เดิมพวกเขาควรมีเวลามากกว่านี้ แต่ด้วยการปรากฏตัวของเดียโบลความขัดแย้งของเหล่าเทพปีศาจดูเหมือนจะถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

เดียโบลเป็นศัตรูของพวกมันทุกตน ดังนั้นพวกมันจึงมีแนวโน้มที่จะถูกบังคับให้ร่วมมือกันในการทำสงคราม

ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ด้วยการกำหนดเวลาแก่พวกเขาใน 5 ปีจะทำให้เกิดแรงผลักดันให้พวกเขาทำหน้าที่เร็วกว่าเดิม เมื่อเป้าหมายและวัตถุประสงค์ชัดเจนแล้ว ความเกียจคร้านก็จะหายไปในระดับหนึ่ง

“ ไอ้สารเลว! แกทำอะไรกับลูกศิษย์ของฉัน!”

ชายสวมหน้ากากร่างกายใหญ่โตกระโจนขึ้นไปบนอากาศ และหลังจากรวบรวมพลังงานได้เขาก็เหยียดกำปั้นออก

แม้ใบหน้าจะถูกปกปิด แต่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างพลังงานจำนวนมากได้ด้วยมือเปล่าเช่นนี้

‘ราชานักสู้’

ไม่มีใครอีกแล้ว

มูยองเหยียดมือออกไปรับ

ตูม!

“อ๊อก!”

อากาศระเบิดออก

เนื่องจากเลเวลทั้งหมดของมูยองเกินขีดจำกัดของมนุษยชาติในปัจจุบันไปแล้ว คนที่ต้องกระเด็นถอยไปจึงเป็นราชานักสู้

“ ไม่มีที่ปลอดภัยในอันเดอร์เวิลด์”

ปัง!

หลังมูยองสยายปีกออกกว้างหอคอยสูงใหญ่ก็ตกลงมากลางเมืองเกรทซิตี้

ตูม!

มันเป็นหนึ่งใน 45 หอคอยจากโนเบิลคาสเซิล มูยองเรียกมันมายังเกรทซิตี้เพื่อแทนสัญลักษณ์บางอย่าง

ทุกคนหันมองไปยังหอคอยสีดำที่แผ่พลังแห่งลางร้ายออกมา และเมื่อพวกเขาหันหลังกลับมาอีกครั้งมูยองก็หายตัวไปแล้ว

***

ไม่ใช่แค่เกรทซิตี้ เมืองและหมู่บ้านทุกแห่งที่มีขนาดกลางต่างก็มีหอคอยสีดำร่วงหล่นลงมา หอคอยหยั่งรากฝังลึกและกลายเป็นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่

ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่เมืองศักดิ์สิทธิ์มูลาลัน

“ หลังจากการโจมตีของพวกแมงมุมก็เป็นหอคอยสีดำ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

พระคาร์ดินัลนั่งถอนหายใจอยู่ในโบสถ์ ผู้พิพากษาทุกคนรวมไปถึงพระคาร์ดินัล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหมดต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ด้านในยังมีหญิงสาวรูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆพระสันตะปาปา

ไฮซินท์ เด็กผู้หญิงที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น และกลายเป็น ‘นักบุญแห่งบุปผา’ ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว

ด้วยความแข็งแกร่งและพลังอำนาจอันสูงส่งทำให้เธอได้รับตำแหน่งเท่ากับพระสันตะปาปา และเนื่องจากเธอมูลาลันจึงประสบกับความสับสนภายในอย่างมาก

โดยปกติแล้ว ราชาสององค์ไม่สามารถปกครองประเทศเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมันยังคงเป็นเช่นเดียวกันสำหรับทุกกลุ่มก้อน ไม่มีเหตุผลที่มูลาลันจะต้องต่างไปจากนั้น

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไฮซินท์แข็งแกร่งเกินไปที่จะไปต่อต้าน แม้กระทั่งพระสันตะปาปาก็ยังหลงมนต์เสน่ห์ของบุปผาเช่นเธอ

จากนั้นพระสันตะปาปาก็พูด

“ อืม ดูเหมือนว่ามันจะเหมือนกับหอคอยที่ปรากฏในโนเบิลคาสเซิล สาวกที่เราส่งไปยังไม่กลับมารายงานข่าวหรือ?”

“ น่าเสียดายที่เราขาดการติดต่อกับโนเบิลคาสเซิลไปแล้ว”

“ จากข่าวที่ได้ยินภายในหอคอยมีแต่ความว่างเปล่า แต่ยังไงมันก็ยังดูเป็นปัญหาสำหรับเรา…”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหากับพระสันตะปาปาอย่างมาก

เมื่อพวกเขาสามารถหยุดการโจมตีของแมงมุมได้ หอคอยแห่งหนึ่งก็ถูกตั้งกลางเมืองทว่าไม่พบอะไรในหอคอยนอกจากความรู้สึกน่ากลัวอย่างแปลกประหลาดเท่านั้น

ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ และตั้งแต่ต้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น

พวกเขารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ก็เพื่อขอความคิดเห็นจากพระสันตะปาปา ทว่าตัวพระสันตะปาปาเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ซึ่งหากเป็นยามปกติเขาคงไม่ลังเลอย่างนั้น

เซราฟีน่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยสังเกตท่าทีของไฮซินท์

‘เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของพระสันตะปาปา’

และมันคือเซราฟินาที่เป็นผู้นำตัวไฮซินท์มาที่เมืองมูลาลัน การที่ไม่สังหารเธอตั้งแต่แรก และยังส่งเธอไปหาพระสันตะปาปาเป็นต้นเหตุของปัญหานี้

เอี๊ยด!

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก และนักบวชก็เข้ามา

“ นักบวชอาแลนซ์! คุณเพิ่งกลับมาถึงเหรอ!”

พระคาร์ดินัลตะโกนขึ้นราวกับมีความสุขหลังจากเห็นคนของตัวเองกลับมา

ทว่าสภาพของอาแลนซ์ดูสาหัสมาก เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดและมียาดแผลที่เห็นถึงกระดูก

เขารีดเค้นพลังที่มีทั้งหมดเพื่อพูด

“ เขา…เขากำลังมา เขากำลังมา”

“ใจเย็นๆก่อน เขาที่ว่าหมายถึงใคร?”

“มูยอง! ชายที่มีหกปีก! เขา…เขาคือราชาแห่งขุมนรก เขาคือราชาแห่งขุมนรกที่ปกครองนรกภูมิทั้งหมด! เขากำลังมาที่นี่…”

โครม!

สิ้นคำพูดเขาก็เป็นลมหมดสติไปทันที

หลังจากนั้นก็มีข้อมูลอื่นตามมาอย่างรวดเร็ว

“ สายข่าวแจ้งมาว่าชายคนหนึ่งชื่อมูยองปรากฎตัวที่เกรทซิตี้! ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของพวกแมงมุม … ”

จากข่าวที่ได้ยินทุกคนก็ทำได้แค่กระพริบตา

มูยอง! มันเป็นชื่อที่พวกเขาคิดว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

อย่างไรก็ตามไม่มีใครแน่ใจในเรื่องดังกล่าวนอกจากเธอทั้งสอง

“อ่า!”

ริมฝีปากของไฮซินท์ขยับขึ้น

เธอปล่อยเสียงที่ฟังดูมีความสุขแปลกๆ

มันเป็นรอยยิ้มที่เธอไม่เคยแสดงให้ใครเห็นในมูลาลัน

ทุกคนต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ของเธอ และเสียงแห่งความสุขของเธอ

มีแต่เซราฟิน่าเท่านั้นที่ยังมีสติครบถ้วน

‘มูยอง…!

เธอรู้จักมูยองเป็นอย่างดี

เธอค้นหาเขามาสองปีแล้วและพบกับความล้มเหลว แต่เขากลับมาปรากฏตัวที่เกรทซิตี้ด้วยตนเอง?

The King of the Battlefield

The King of the Battlefield

ในตอนที่มนุษยชาติอยู่ในสภาวะที่ใกล้ล่มสลาย มูยองมือสังหารอันดับหนึ่งของ ‘ป่าแห่งความตาย’

กำลังนั่งคุกเขารอรับความตายเนื่องจากเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยากแก่การรักษา เขากวาดสายตามองไปรอบๆตัวซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยซากศพมากมาย เขาเคยทำงานอย่างหนักเพื่อคนพวกนี้

และในวันนี้เขาก็เป็นคนจบทุกอย่างด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อมูยองลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าปาฏิหาริย์นั้นมีจริง ตัวเขายังไม่ตาย! นอกจากนี้มูยองยังพบว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับมายัง 40 ปีที่แล้ว

เขาเลือกที่จะเดินสู่หนทางใหม่ และต่อสู้กับเหล่าเทพปีศาจทั้ง 72 ตน….

Show more

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท