ความสามารถในการควบคุมและกลืนกินเปลวเพลิงแบบนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือเธอใช้พลังของมูยองได้อย่างไร?
‘การเลียนแบบ’
มันเป็นแค่การลอกเลียนแบบ นั่นไม่ใช่พลังที่แท้จริงของมูยอง ถ้าเป็นมูยองเปลวเพลิงจะถูกกลืนกินเข้าไปแทบจะทันที แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เหมือนเธอกำลังผนวกใช้บางอย่างจากคุณสมบัติของธาตุแสง
แม้จะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับที่มูยองครอบครอง แต่มันก็เป็นอะไรที่คล้ายกัน
“ช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันคงป้องกันไฟทั้งหมดไม่ได้”
เบซูจีมองไปที่เบซองมิน
เปลวเพลิงแห่งการเผาไหม้ เพลิงที่ดูเหมือนว่าจะสามารถทำลายโลกได้ บาร็อกเป็นสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณ พลังงานที่มันเก็บสะสมไว้และปล่อยออกมาจึงสุดที่จะคะนึงคิด
‘จะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้านายแน่’
ซองมินหาข้อสรุปออกมาด้วยตนเอง
สามารถสั่งการอันเดธและเหล่าวิญญาณ รวมถึงเลียนแบบพลังแห่งเพลิงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำก็ทำได้
แม้ว่าตอนแรกมูยองยังไม่สามารถถ่ายทอดพลังให้ใครได้ก็ตาม
แต่ด้วยพลังที่ไม่เหมือนใคร และมีเอกลักษณ์เช่นนี้ ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น
และนั่นต้องหมายความว่า มูยองอนุญาตให้ใช้พลังนั้นได้
‘แต่ทำไม?’
เขาไม่เคยเห็นทำอะไรแบบบนี้มาก่อน
มูยองขังตัวเองไว้และห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน
แล้วเธอไปติดต่อกับมูยองได้ยังไง…โดยที่ซองมินยังไม่รู้
ซองมินไม่ชอบสิ่งนี้ เพราะคนที่ใกล้ชิดมูยองที่สุดคือทาร์แคนไม่ก็ตัวเขาเอง แต่เธอเป็นแค่ใครก็ไม่รู้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวมา
“ ฉันต้องการคำอธิบายหลังจากที่ทุกอย่างจบลง”
เสียงของซองมินเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาอย่างที่ควรจะเป็น มูยองเป็นผู้ที่ช่วยเขา สร้างเขาขึ้นมา และมอบทุกสิ่งในปัจจุบันนี้ให้แก่เขา ความจริงนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกเขาจะห่างกันไปถึง 2 ปี
ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ติดตาม และสนับสนุนอยู่เคียงข้างเขา เหตุผลที่ซองมินพยายามแข็งแกร่งขึ้นทุกวันก็เพราะรอมูยองผู้เป็นเจ้านายกลับมา
‘เหมือนจะมีบางอย่างที่ฉันไม่รู้’
สิ่งนั้นรบกวนเขา และเธอก็เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกประสาทเสีย เธอยังคงรบกวนจิตใจของเขาแม้ว่าเขาจะพยายามเลิกคิดไปแล้วก็ตาม ตัวตนของเธอดูจะรบกวนจิตใจเขาอย่างรุนแรง จนทำให้ซองมินไม่อยากเข้าใกล้เธอ
ซูจียิ้มร่าจากการสัมผัสรสชาติของไฟครั้งแรก
แม้ว่าเธอจะ ‘ได้รับ’ พลังของมูยองมา แต่เทียบกับมูยองแล้วสิ่งที่ซูจีสามารถใช้ได้มีขีดจำกัด
มูยองเป็นดั่งเขื่อนเก็บน้ำ นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่ตัดสินใจว่าจะได้ปล่อยน้ำออกไปมากแค่ไหน
หากเปรียบมูยองเป็นเหมือนทะเล และซูจีก็เป็นเพียงแค่บึง ถ้าเธอรับพลังมามากเกินไปร่างกายของเธอคงจะไม่ไหว
“ฉันเข้าใจแล้ว”
“Καλην?χτα.”
“Καλην?χτα”
ซองมินสร้างบาเรียออกไปป้องกันอีกครั้ง มันคือโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีแล้ว
นอกจากนั้นซองมินยังสังเวยไฮดร้าเพื่ออัญเชิญแม่มด ‘เบียทริซ’ ออกมาด้วย
“ กันไฟนั่นเอาไว้”
กรี๊ด! แม่มดกรีดร้อง ลำแสงพุ่งออกจากดวงตาและปากของเธอแยกกันไปหยุดเปลวเพลิง
คฑาของซองมินสั่นอย่างรุนแรงเนื่องจากเริ่มถึงขีดจำกัด
อย่างไรก็ตามความสามารถของซองมินในการควบคุมเวทย์มนตร์แทบจะไม่มีใครเหมือน นี่หมายความว่ารากฐานในฐานะนักเวทของเขามาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ถ้าเป็นพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ ซองมินมั่นใจว่าตนไม่เป็นรองแม้จะเทียบกับเอนโรธหรือกระทั่งอามอน
เวทมนตร์ของเขายังคงระเบิดตัวขยายพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ค่าพลังเวทของเขาจึงทะลุ 700 หน่วยไปแล้วในชั่วพริบตา
“จงพลิกกลับ”
สิ้นคำพูดผืนดินก็พลิกคว่ำกลืนกินเปลวเพลิงรอบๆทันที
ถ้าซูจีรับหน้าที่ในการจัดการช่วงแรก สิ่งที่เหลือหลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ดูแลของซองมิน
วูบ!
ร่างของซองมินไหวเอน
“ เหมือนสถานการณ์จะยากลำ…คุณโอเคไหม?”
ซูจีเอ่ยถาม
ลิชคือสิ่งชั่วร้ายโดยธรรมชาติ แต่มันกลับมาเป็นผู้ติดตามของมูยอง ทว่าไม่ใช่แค่ลิชเท่านั้น ยังมีพวกอันเดธ วิญญาณ และอื่นๆอีกมากมายที่ติดตามมูยอง
ซูจียังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรให้มูยอง และอยู่ที่ไหนกันแน่
แต่เธอคิดว่ามูยองจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
สำหรับซูจี มูยองเป็นคนดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยเย็นชาก็ตาม
“ พักกันซักหน่อยเถอะ”
ซองมินใช้คฑารักษาสมดุลของร่างตัวเองเอาไว้
จากนั้นสุนัขตัวโตตัวหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาให้ซองมินขี่
ซูจีมองไปที่ซองมินซึ่งกำลังขี่สุนัขสีดำตัวโตด้วยสายตาแปลกๆ
‘ไม่น่าเชื่อว่าระดับจอมเวทจะติดตามพี่ชาย … ‘
กล่าวโดยสุจริต นี่เป็นครั้งแรกที่เจอนักเวทที่มีพลังในระดับนี้
ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำสิ่งที่ลิชพึ่งทำไปได้ แม้แต่อาร์ชเมจที่ได้รับ ‘อามอนสตาร์’ ก็ไม่สามารถแสดงปาฏิหาริย์แบบนั้นได้
และแม้ว่าเธอจะไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่ความแข็งแกร่งของเหล่าอันเดธและวิญญาณ รวมถึงมอนสเตอร์ต่างๆที่ติดตามมูยองต่างก็แข็งแกร่งกว่าปกติทั้งสิ้น
แม้แต่เกรทซิตี้ก็ยังต้องตกอยู่ในอันตรายต่อหน้าพวกมันเหล่านี้
คิดได้ดังนั้นซูจีก็ถึงกลับต้องเผลอกลืนน้ำลาย
‘…’
แค่เพียงไม่กี่ปี
มูยองที่ประสบความสำเร็จหลายอย่างในเวลานั้น จะต้องทำงานหนักกว่าใครแน่ๆ
ซูจีกำหมัดแน่น
เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่เธอตัดสินใจจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้
เธอคิดกับตัวเองเช่นนั้น
* * *
ปัง!
เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงกับพื้น
มันเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับบาร็อก
เอนโรธเฝ้าดูทุกอย่างด้วยความรู้สึกอันท้วมท้น ตั้งแต่บาร็อกถูกโจมตีด้วยวิธีต่างๆกระทั่งทำลายตัวเองลง
‘เจ้าเอลเดอร์ลิชนั่นรับมือได้ยากจริงๆ’
ถึงจะเป็นเพียงชั่วครู่หนึ่ง แต่พลังของเอลเดอร์ลิชกระทั่งสามารถต่อกรกับมันได้
ขนาดรับแรงโจมตีจากการระเบิดตัวเองของบาร็อกก็ยังไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่
ว่าแต่มนุษย์ผู้หญิงที่จู่ๆปรากฏตัวขึ้น มาจากไหน?
‘เธอเป็นผู้สังหารชาร์ซาซ่าหรือเปล่า?’
ชาร์ซาซ่าเสียชีวิตลงด้วยมือของมนุษย์ มันเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นเหรอ?
ผู้ที่สามารถควบคุมไฟ
ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งได้เมื่ออยู่ในเงื่อนไขพิเศษ
หากชาร์ซาซ่าตกหลุมพราง มันอาจพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนนั้นได้
‘แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่’
มันไม่ได้มากอย่างที่เขาคาดไว้
เขาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเอลเดอร์ลิชมากกว่า
คุณสามารถพูดได้ว่าเวทที่ใช้ขยายเวทเป็นศิลปะ แม้แต่เอนโรธก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
‘ข้าต้องการลิชนั่น’
ราชาปีศาจ 3 ตนสิ้นชีพ
มันต้องการราชาปีศาจตนใหม่เพื่อปกป้อง และช่วยเหลือตน
ลิชถือเป็นราชาตั้งแต่แรกแล้ว มันไม่รู้ว่าทำไมราชาถึงไปติดตามสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยเช่นมนุษย์ และมันคิดว่าอาจนำพาเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ นอกจากนี้ มันยังคิดว่าปีศาจสามตนรวมกันยังไม่คุ้มค่าเท่ากับลิชตนเดียวเลย
เอนโรธคิดว่าเอลเดอร์ลิชตนนั้นยังเติบโตได้อีก แต่เนื่องจากไม่มีนักเวทคนไหนสามารถชี้แนะเรื่องพลังเวทให้ มันจึงดูยังไม่สมบูรณ์
และเอนโรธคิดว่าตนเหมาะสมในด้านนั้น และถ้าความสามารถของลิชโดดเด่นพอ มันสามารถพาเขาไปหาอามอนเพื่อรับความรู้เกี่ยวเวทมนตร์เพิ่มเติมได้
บางทีลิชตนนี้อาจโดดเด่นกว่า ‘ราชาแห่งความตาย’ เสียอีก
ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งสี่ หากเขาได้รับสิ่งมีชีวิตที่สามารถเอาชนะราชาแห่งความตายได้ พลังของอามอนก็จะยิ่งมากขึ้น
มันเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียราชาปีศาจทั้งสามตนรวมถึงบาร็อก แต่การได้รับลิชนั้นสามารถชดเชยสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดได้ ลิชนั้นมีค่ามากกว่านั้น จริงๆแล้วถือว่าสูญเสียน้อยไปด้วยซ้ำหากได้รับลิชมา
“ เพิ่มความเร็ว”
เอนโรธสั่ง
จากนั้นปราสาทลอยฟ้าก็เคลื่อนตัวเร็วขึ้น
* * *
มูยองลอยอยู่กลางอากาศในท่าคุกเข่า เขาหลับตาและกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมด
พลังเทวะ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงครึ่งเดียว แต่ตอนนี้เขาก็เป็นผู้อมตะแล้วครึ่งหนึ่ง
โลกดูแตกต่างออกไปตั้งแต่ที่เขากลายเป็นอมตะ
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะใช่สิ่งมีชีวิตหรือไม่ แต่พวกมันล้วนอยู่ในการ ‘เวียนว่าย’
มูยองเองก็เป็นเพียงหน่วยๆหนึ่งของการเวียนว่ายเหล่านั้น
บางทีการเป็นพระเจ้าก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย สำคัญคือเราสามารถตระหนักได้ถึงสุขทุกข์ของการเวียนว่ายเหล่านั้นได้ดีเพียงใด สิ่งเหล่านั้นยังรวมไปถึงเช่น อากาศ และพลังเวทมนตร์ที่อยู่บนโลกด้วย
‘แล้วปีศาจเป็นตัวตนแบบไหนกันนะ?’
ทันใดนั้นเขาก็อยากรู้
ปีศาจก็นับเป็นเทพเหมือนกัน แต่พวกมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเวียนว่าย
‘พวกมันไม่สามารถมีความรู้สึกทุกข์สุข’
แม้ว่าจะเป็นเทพ แต่พวกมันไม่มีความสามารถที่จะรู้สึกทุกข์สุข นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงชั่วร้าย และโลกถึงไม่ยอมรับพวกมัน
มูยองเข้าสู่การเวียนว่าย เขาคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่รอบๆของการเวียนว่ายเหล่านี้
ระหว่างตกอยู่ในตะกอนความคิด วิญญาณของมูยองก็เริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ
และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเขาก็หลุดเข้าไปใน ‘ช่องโหว่ของรอยแตก’
ช่องโหว่…หรืออาจเป็นประตูสู่อีกมิติหนึ่ง
ทันทีที่เขาเปิดประตูนั้น เขาก็พบกับตัวตนของบางสิ่ง
“ เจ้าไม่ใช่ผู้ได้รับเชิญ”
“คุณเป็นใคร?”
มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
วิญญาณของมูยองนั้นหดเล็กลงจนสามารถผลัดหลงเข้าสู่ช่องโหว่ดังกล่าว ทว่ามีผู้ที่อยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
“ ข้าเป็นผู้ดูแลความว่างเปล่า และนี่คือชั้นล่างสุดของทั้งหมด นี่คือสถานที่ของผู้ที่ไม่สามารถเป็นเทพเจ้า หรือไม่ก็สูญเสียพลังเทวะของตนไป แต่เจ้า…ไม่ใช่ทุกอย่างที่กล่าวมา”
มันเป็นเสียงของผู้ชาย แต่ก็ฟังเหมือนผู้หญิง
‘ความว่างเปล่า’
มูยองย้ำคำพูดนั้น
ความว่างเปล่า หรือ ความไม่มีอะไร
มีหลายคนพูดถึงสถานที่นี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นสถานที่แบบไหน
ผู้ดูแลพูด
“ เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ตกลงสู่บาป ถ้างั้นเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเองหรือ? ข้าเคยเห็นใครบางคนเช่นเจ้าอยู่ครั้งหนึ่ง”
“ คุณบอกได้ไหม?”
“ ชื่อของคนๆนั้นถูกเรียกว่าโซโลมอน เขาต้องการกุญแจ เจ้าต้องการกุญแจด้วยหรือไม่?”
มูยองขมวดคิ้ว
เขาบอกว่าโซโลมอนมาที่นี่เพื่อค้นหากุญแจ นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้อมตะที่พบพื้นที่แห่งความว่างเปล่า
‘แต่ถ้าโซโลมอนเป็นอมตะ….’
นั่นหมายความว่าเขายังไม่ตายใช่ไหม?
“กุญแจอะไร?”
“ กุญแจที่มีอยู่เพื่อเปิดสิ่งต่างๆที่ถูกปิด กุญแจที่ผู้นั้นต้องการคือกุญแจในการเปิดประตูแห่งความว่างเปล่า และโลกปีศาจ
ประตูแห่งความว่างเปล่า และประตูโลกปีศาจ!
นี่คือเหตุผลว่าทำไม ทางเชื่อมต่อโลกกับโลกปีศาจจึงปรากฏขึ้นในสักแห่งหนึ่ง
แต่ทำไมเขาถึงต้องการกุญแจแห่งความว่างเปล่า?
“ ผมจะขอรับกุญแจพวกนั้นได้ด้วยหรือเปล่า?”
“ ย่อมได้ แต่เจ้าต้องมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดตอบแทน เพราะนั่นคือกฎของความว่างเปล่า”
“ คุณหมายถึงผมต้องตัดแขนสักข้างเหรอ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ของที่ต้องแลกเปลี่ยนคือสิ่งที่เจ้ารัก ความรู้สึกนึกคิด หรือชื่อของเจ้าเป็นต้น สิ่งที่จับต้องได้ไม่มีความหมายใดๆในความว่างเปล่า”
“ ดังนั้นโซโลมอนจึงโยนของสองสิ่งออกไปเพราะต้องการกุญแจสองดอก”
โซโลมอนได้รับกุญแจสองดอก
นั่นหมายความว่าผู้อมตะที่มีพลังเทวะ โยนของมีค่าสองอย่างออกไปเพื่อรับกุญแจ
มูยองส่ายหัว เขาไม่ได้วางแผนที่จะทิ้งสิ่งสำคัญของตัวเองเพื่อรับกุญแจจากใครบางคน
“ ผมไม่ต้องการมัน”
“ อืมเจ้านี่แปลกจริงๆ แต่ก็ดีเพราะข้าคิดว่าเจ้าสามารถให้สิ่งมีค่ากับข้าได้มากกว่านั้น”
“ ผมไม่ได้ต้องการอะไร”
“ แล้วถ้าเป็นหนังสือเวท อัลโนวา ล่ะ? ”
มูยองตกใจ
อัลโนวา!
มันเป็นหนังสือที่มีพลังเวทย์เพียงพอที่จะทำลายอารามสีคราม
ในอดีตอัลโนวาตกอยู่ในมือของเหล่าเทพปีศาจ
และพอนักเวทผู้ยิ่งใหญ่ ‘เมอร์ลิน’ เสียชีวิตด้วยมือของปีศาจ โลกก็ตกสู่หายนะ
แต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าเมอร์ลินยังเป็นตัวตนเช่นเดิมหรือไม่
“ โซโลมอนบอกข้าให้มอบมันกับคนต่อไปที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ นั่นอาจเป็นเทพฝ่ายดีหรือชั่วร้าย หรือบางทีอาจเป็นมนุษย์ เขายังบอกข้าว่าสามารถตัดสินใจเองได้ ว่าจะให้สิ่งนี้กับพวกเขาหรือไม่”
ปัญหาคือโซโลมอนมอบความรับผิดชอบนี้ให้กับเขา
อย่างไรก็ตาม อัลโนวาเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ
“คุณต้องการอะไรจากผม?”
ผู้ดูแลพูดโดยไม่แสดงสีหน้า
“ บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องราวประสบการณ์ที่เจ้ามีกับโลกอีกแบบหนึ่ง เจ้าเป็นผู้ที่หาเจอได้ยาก ถ้าข้าได้ฟังเรื่องราวของเจ้า ข้ารู้สึกว่าคงมีอะไรเพิ่มเติมลงไปในความว่างเปล่าได้อีกสักหน่อย”
“…… !”